อย่างที่เรารู้กันดีว่า SEO คือ วิธีการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับใน Ranking ดีๆ บน Search Engine (ซึ่งในที่นี้เราจะขอเน้นไปที่ Google) แต่ก็ใช่ว่าทุกหน้าของเว็บไซต์ที่ตั้งใจทำ SEO จะติดอันดับแรกๆ อย่างที่หวังไว้ เราจึงต้องพึ่งพาวิธีการที่เรียกว่า “SEO Audit” ซึ่งการทำ SEO Audit คืออะไร ช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับได้ยังไง รวมถึงต้องทำอะไรบ้างถึงจะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืนยาว
ตาม NerdOptimize ซึ่งเราเป็นบริษัทรับทำ SEO และรับทำ Backlink ที่เชี่ยวชาญในการทำ Website Audit ไปดูพร้อมๆ กันเลยว่า เราใช้เทคนิคอะไรในการทำกันบ้าง
ทำความรู้จักกับ SEO Audit คืออะไร
ที่มาภาพ: learn.g2.com
SEO Audit คือ การตรวจสอบประสิทธิภาพเนื้อหาและปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ โดยเน้นให้เว็บไซต์มีโครงสร้างต่างๆ ที่ถูกต้องตามหลักของ SEO เพื่อที่จะทำให้เว็บไซต์ในหน้านั้นๆ ติดอันดับต้นๆ ของ Search Engine ตามที่ต้องการได้นั่นเอง
ซึ่งการทำ SEO Audit นั้นจะทำบ่อยๆ เป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนก็ได้ แต่ทุกเว็บไซต์ควรเข้าใจเทคนิคการทำ Website Audit เพราะเป็นวิธีดันอันดับเว็บไซต์ที่ต้นทุนต่ำและการเน้นปรับแก้หน้าเดิมๆ ที่มีอยู่ให้ดีขึ้นได้ยังช่วยลดระยะเวลาในการผลิตคอนเทนต์ใหม่ๆ ลงได้อีกด้วย
SEO Website Audit สำคัญกับการทำเว็บไซต์อย่างไร
การทำ SEO Audit จะเป็นการตรวจเช็กเว็บไซต์ว่ามีจุดไหนที่ต้องปรับปรุง แก้ไข หรือทำการพัฒนาให้ดีขึ้นบ้าง เหมือนกับการที่คุณหมอทำการตรวจร่างกายของคนเราว่ามีโรคอะไรที่ต้องทำการรักษาบ้าง โดยการทำ SEO Audit อาจจะไล่ดูในแต่ละหน้าเพจที่มี Keyword สำคัญๆ ที่ต้องการทำอันดับเลยก็ได้ เพื่อดูว่าหน้านั้นๆ จะต้องทำอะไรเพิ่มเติมบ้างจึงจะพุ่งขึ้นสู่อันดับที่ต้องการ และในปัจจุบันนี้หน้านั้นๆ มี Performance ในภาพรวมเป็นอย่างไร อีกนานแค่ไหนหน้านั้นๆ ถึงจะทำอันดับได้ดีขึ้นบ้าง ซึ่งก็ต้องใช้ข้อมูลจากหลังบ้านประกอบกันในการพิจารณา แต่เดี๋ยวเราจะบอกในหัวข้อถัดๆ ไปทีละ Step เลยว่าคุณจะต้องเช็กจากอะไร
วิธีการทำ SEO Audit
ที่มาภาพ: www.bluehillsdigital.com
มาเริ่มต้นทำ SEO Audit กันดีกว่า โดยในบทความนี้จะขอแบ่งออกเป็น 10 เรื่องด้วยกันที่คุณต้องให้ความสำคัญ ซึ่งจะมีอะไรบ้างตามไปดูกันเลย
ทำ SEO Audit Report
ก่อนที่จะเริ่มต้นปรับปรุง เราอยากให้คุณเข้าใจก่อนว่าหน้าเว็บไซต์ไหนที่ควรจะทำ SEO Audit โดยเริ่มต้นจากการทำ SEO Audit Report เพื่อที่จะได้เห็นภาพรวมของเว็บไซต์ และค้นหาหน้าเพจน่าจะนำมาปรับปรุงด้วยเกณฑ์ต่างๆ ให้ถูกต้องตามหลัก SEO โดยคุณสามารถตรวจสอบ Performance ของเว็บไซต์ได้จาก Google Analytics และ Google Search Console ซึ่งสิ่งที่คุณจะนำมาใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาจะมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง ดังนี้
- Traffic: เป็นยอดของคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ โดยคุณสามารถใช้ Google Analytics ดูได้ว่าหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้ามีคนเข้าชมเท่าไหร่ ซึ่งคุณอาจจะเลือกหน้าเว็บไซต์ที่มี Traffic สูงแต่อาจจะยังไม่ติดอันดับที่ดีมากนักมาทำการปรับปรุงส่วนต่างๆ ของหน้านั้นๆ ให้ดีขึ้น
- Conversion Rate: จะเป็นตัวเลขที่บอกว่า Event ที่ตั้ง Goal เอาไว้ตัวไหนที่ประสบความสำเร็จบ้าง เช่น คุณอาจจะทำ Conversion Event เอาไว้ใน Google Analytics เกี่ยวกับการคลิกปุ่ม Call To Action ในหน้าเว็บไซต์ คุณก็อาจจะรวบรวมหน้าเพจที่เกิด Conversion Rate ใน Event ดังกล่าวมาปรับปรุง SEO Audit เพิ่มเติม เพื่อทำให้มีโอกาสที่จะเกิด Conversion Rate สูงขึ้นจากการติด SEO ที่ดีในอนาคต
- Keyword Ranking: คุณอาจจะต้องเข้าไปที่ Google Search Console เพื่อดูว่า Keyword ของหน้าเพจใดที่มีอันดับร่วงลงบ้าง แล้วหยิบหน้าเพจนั้นๆ มาปรับปรุงเพิ่มเติม
- Backlink: เลือกหน้าเว็บไซต์ที่ได้รับ Backlink ที่เป็นเหมือนการได้รับการอ้างถึงจากเว็บไซต์อื่นๆ มาพัฒนาเพิ่ม เพราะหน้าเว็บไซต์นั้นๆ แสดงให้เห็นว่ามีประโยชน์มากพอที่จะได้รับการอ้างอิงถึงนั่นเอง
หลังจากได้แล้วก็อย่าลืมทำการ Tracking หน้าเว็บไซต์ที่เลือกมาเอาไว้ด้วย เพื่อที่จะได้นำผลลัพธ์มาตรวจสอบดูอีกทีว่า หลังจากทำ SEO Audit ไปแล้วมีผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ซึ่งการ Tracking แบบฟรีๆ ทำได้โดยการใช้ Google Analytics และ Google Search Console แต่ถ้าใครเสียเงินซื้อ SEO Tools เช่น ahrefs ก็สามารถทำการสร้างแคมเปญเพื่อ Tracking เว็บไซต์นั้นๆ เอาไว้ได้เลย
On-Page SEO Audit
On-Page SEO คือ การปรับปรุงทุกอย่างที่มองเห็นได้บนเว็บไซต์ให้ถูกใจ Search Engine อย่าง Google จนได้รับการจัดอันดับใน Ranking ที่สูงขึ้น ซึ่ง Checklist ในการตรวจสอบ On-Page SEO ว่าคุณควรปรับหน้าเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง จะมีดังต่อไปนี้
- มี Keyword ในแต่ละหน้าเพจอย่างชัดเจน โดย Keyword ที่เลือกใช้ควรที่จะมีปริมาณการค้นหา (Search Volume) ประมาณหนึ่ง, เป็น Keyword ที่สามารถทำการแข่งขันได้ และควรมีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ เช่น คุณทำเว็บไซต์ท่องเที่ยวก็ควรเลือกเฉพาะ Keyword ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว แต่ไม่ใช่เลือกคีย์เวิร์ดด้านการตลาดมาใช้ เป็นต้น
- ใส่ Keyword เข้าไปในแต่ละตำแหน่งที่ช่วยทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น โดยตำแหน่งที่ต้องใส่ Keyword จะมีดังนี้
- Title
- Description
- Heading Tag
- URL
- เนื้อหาในบทความ (โดยกระจาย Keyword Density ให้ทั่วทั้งบทความ และใส่ไม่ควรเกิน 1-2 % ของเนื้อหาโดยรวมทั้งหมด)
- ปรับปรุง Title Tag และ Meta Description ให้ถูกต้องตามหลักการทำ SEO ทั้งการใส่ Keyword และการเขียนในความยาวที่เหมาะสม ไม่โดนตัดตกประโยคจาก Google
- ปรับปรุง Heading Tag หรือหัวข้อในบทความให้เรียงตาม SEO Structure โดยเริ่มจาก H1, H2, H3,… อย่างเป็นลำดับ เพื่อให้ Google Bot เข้าใจเนื้อหาในแต่ละหัวข้อ รู้ว่าหัวข้อไหนสำคัญที่สุด อะไรสำคัญรองลงมา รวมถึงอย่าลืมใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องเข้าไปใน Heading ด้วย
- ใส่ Internal Link คือ ลิงก์เชื่อมโยงเนื้อหาภายในเว็บไซต์ เพื่อพาคนอ่านไปอ่านหน้าเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และยังทำให้ Google Bot มองเห็นถึงการเชื่อมโยงเนื้อหาในแต่ละหน้าเพจได้ด้วย
- ใส่ External Link คือ การทำลิงก์เชื่อมโยงออกไปนอกเว็บไซต์ เช่น การเขียนอ้างอิงถึงเว็บไซต์อื่นๆ ที่คุณนำเนื้อหามาเป็นข้อมูล โดยเลือกเฉพาะเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องเท่านั้น
- ทำ ALT Text ให้กับรูปภาพ เพื่อจะบอกให้กับ Google รู้ว่า รูปภาพนี้คืออะไร ซึ่งช่วยทำให้เพิ่มโอกาสในการติด Image Search มากขึ้น
Technical SEO Audit
การทำ Technical SEO Audit จะเน้นไปที่การปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ดีขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน แต่สิ่งที่จะพบและต้องทำการ Audit บ่อยๆ เลยจะมีอยู่ด้วยกัน 8 เรื่องด้วยกัน คือ
- การทำ SEO Site Structure
ที่มาภาพ: https://www.semrush.com
Site Structure คือ การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ เพื่อทำให้ Bot รู้ว่าเว็บไซต์เกี่ยวกับเรื่องอะไรและเชื่อมโยงถึงกันอย่างไร ซึ่งถ้าออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ก็เหมือนกับการสร้างบ้านผิดแบบ แน่นอนว่า Bot จะเข้าถึงข้อมูลได้ยาก การจัดอันดับทำได้ยาก ส่วนในฝั่งของ User เองก็อาจจะเสีย User Experience ในการใข้งานและออกจากเว็บไซต์ไป ในการทำ SEO Audit จึงต้องให้ความสำคัญกับการทำ Site Structure ด้วย
- การทำ Schema Markup
การทำ Schema Markup จะใช้เพิ่มข้อมูลให้กับเว็บไซต์ เรียกว่าเป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเจอสิ่งที่ต้องการเมื่อทำการค้นหาบน Google ได้ง่ายและเร็วขึ้น โดย Schema Markup จะมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท เช่น
-
- How-To Schema (เนื้อหาที่เป็นวิธีทำ)
- Carousel Schema (เนื้อหาที่เป็นคอร์สต่างๆ หรือบทเรียน)
- Book Schema (เนื้อหาที่ขายหนังสือหรือเป็นหนังสือ)
และนอกจากการช่วยทำให้ User ค้นหาเว็บไซต์เจอได้ง่ายแล้ว ยังช่วยหา CTR หรือ Click Through Rate เพราะการติด Schema Markup จะช่วยให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น พร้อมแสดงผลตรงกับความค้นหาของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นด้วย
ลองดูรายละเอียดของ Schema Markup แบบละเอียดที่ >> https://schema.org/docs/gs.html
- การทำ Sitemap
แผนที่เว็บไซต์หรือแผนผังของเว็บไซต์ (Sitemap) จะช่วยทำให้ Google รู้ว่าเว็บไซต์ของคุณทำเกี่ยวกับอะไร มีหน้าเพจทั้งหมดเท่าไหร่ หน้าไหนเชื่อมโยงกัน หรือหน้าไหนสำคัญบ้าง พูดง่ายๆ เลยการทำ Sitemap ก็คงเหมือนกับการทำสารบัญให้กับเว็บไซต์ เพื่อให้มีระเบียบและเข้าถึงได้ง่ายนั่นเอง
ที่มาภาพ: www.searchenginejournal.com
การทำ SEO Audit จึงมีส่วนช่วยปรับปรุง Sitemap ที่ไม่ดีให้มีประสิทธิภาพ ครบถ้วน โอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับต้นๆ ของหน้าค้นหา (SEO) ได้มากขึ้น (ลองอ่านเนื้อหาและวิธีการทำแผนผังเว็บไซต์ที่ดีได้เลยที่ Sitemap คืออะไร ? ศึกษาความสำคัญของ Sitemap อีกหนึ่งองค์ประกอบของการทำ SEO)
- การทำ Robot.txt
Robots.txt คือ วิธีการกำกับให้ Google Bot รู้ว่า ในเว็บไซต์มีหน้าไหนที่สามารถเข้ามา Crawl เก็บข้อมูลได้บ้าง และหน้าไหนที่ห้ามเข้าไปเก็บข้อมูล อย่างเช่น หน้ารายชื่อสมาชิก หน้าเอกสารภายใน หน้าข้อมูลส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งถ้าเว็บไซต์ไหนยังไม่ได้ทำก็ควรรีบทำ SEO Audit ในส่วนนี้ เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้ Google Bot ทำการ Index หน้าที่ไม่ควรจะขึ้นไปแสดงผลบน SERP ช่วยป้องกันไม่ให้ Google มองว่ามีการ Duplicate Content เกิดขึ้นในเว็บไซต์ อีกทั้งยังทำให้บอทเก็บข้อมูลได้ดีขึ้นและมีความเจาะจงมากขึ้นด้วย
- การทำ Redirect 301
การทำ Redirect 301 คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยการเปลี่ยน URL หรือเส้นทางของหน้าเว็บนั้นๆ ไปยังหน้าที่ต้องการ เพื่อบอก Google ว่าหน้า URL นั้นๆ ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป ซึ่งถ้าคุณทำการเปลี่ยน URL ไปแล้วแต่ไม่ได้ทำ Redirect 301 จะทำให้เกิดหน้า 404 not found ขึ้นมา แน่นอนว่าส่งผลต่ออันดับของ SEO อย่างแน่นอน หากหน้านั้นๆ ติดอันดับบน SERP ไปแล้ว
- การแก้หน้า 404 not found
จากข้อที่แล้วจะเห็นว่าหน้า 404 not found คือ หน้า Error ที่ Google Bot เข้ามาเก็บข้อมูลแล้วแต่ไม่พบ URL บนเว็บไซต์ จึงแสดงผลออกมาในรูปแบบของหน้า 404 not found ซึ่งคนทั่วไปก็จะเข้าใจว่า ลิงก์หรือเว็บไซต์ในหน้านี้เสียหรือมีปัญหา ทำให้คนที่เคยเข้าใช้งานเว็บไซต์ของคุณบ่อยๆ หนีไปใช้เว็บไซต์อื่นแทน ส่งผลให้สูญเสียทั้ง Traffic, รายได้ และยังเสียค่าโฆษณาฟรีด้วย หากคุณทำการยิง Google Ads ในหน้าเหล่านี้ด้วย
- การทำ Canonical Tag
Canonical tag คือ การบอกให้ Google รูปว่าหน้าไหนคือหน้าต้นฉบับด้วยการทำโค้ด (rel=“canonical”) ไปยังหน้าที่ต้องการ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้แก้ไขปัญหาหน้าเว็บไซต์ที่ดูจะมีเนื้อหาคล้ายๆ กันและเสี่ยงต่อการโดนมองว่า Duplicate Content ได้ จึงต้องทำ SEO Audit ให้กับหน้าเหล่านี้ (ส่วนใหญ่จะเจอกับเว็บไซต์ E-Commerce ที่มีหน้าตาคล้ายๆ กันนั่นเอง)
ที่มาภาพ: https://agencyanalytics.com
- การทำ Breadcrumb
ที่มาภาพ: https://usersnap.com
การทำ Breadcrumb คือ การทำป้ายนำทางบนเว็บไซต์ทำให้ผู้ใช้งานมองเห็นความเชื่อมโยงของหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์และรู้ด้วยว่าตอนนี้อยู่ในหน้าเว็บไซต์ส่วนไหนแล้ว ทำให้เวลาต้องการจะกดกลับไปยังหน้าอื่นๆ ได้ง่าย ส่งผลดีกับประสบการณ์การเข้าชมเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน (User Experience) เพราะเว็บไซต์ดูเป็นระเบียบ เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และดีต่อการทำ SEO ด้วย ดังนั้น เว็บไซต์ใครที่มีหน้าเยอะๆ ดูซับซ้อนอย่าลืมทำ Breadcrumb ไว้บนเว็บไซต์ด้วย
Off-Page SEO Audit
Off-Page SEO คือ การทำ SEO Audit ในฝั่งอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากเว็บไซต์ หรือที่เรียกกันว่าการทำ Backlink นั่นเอง อย่างเช่น ในปัจจุบันเว็บไซต์ของคุณอาจจะยังไม่มี Backlink ที่ดีและมีคุณภาพ ก็ต้องเริ่มทำสิ่งที่เรียกว่า Link Building อย่างเช่น
- ทำการแลกลิงก์กับเว็บไซต์ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
- ทำ PBN หรือ Private Blog Network ขึ้นมาหลายๆ เว็บไซต์ เพื่อทำ Backlink มายังเว็บไซต์หลัก
- การซื้อ PR จากเว็บไซต์ใหญ่ๆ เพื่อให้เว็บไซต์เหล่านั้นเขียนถึงเว็บไซต์ของคุณและทำ Backlink กลับมา
ส่วนใครที่ทำเว็บไซต์ได้ดี มี Backlink เข้ามาบ้างแล้วอาจจะเจอกับ Bad Backlink ซึ่งลิงก์เหล่านี้ไม่ดีต่อการทำเว็บไซต์ จึงต้องทำสิ่งที่เรียกว่า Disavow links เพื่อกำจัดลิงก์ที่ไม่ดีออกไปจากเว็บไซต์ให้หมด
User Experience (Ux)
การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ User Experience (Ux) ตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานเว็บไซต์เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะถ้าหากเว็บไซต์ของคุณใช้งานยาก หาอะไรก็ไม่เจอ ย่อมส่งผลให้คนใช้งานเว็บไซต์ไม่กลับมาใช้บริการซ้ำสอง
ทำให้ CTR ของเว็บไซต์ลดลง และเกิด Bounce Rate สูงจากการที่คนไม่อยู่ในหน้าเว็บไซต์นานๆ ซึ่งการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มี UX ที่ดีและดีต่อ SEO จะขึ้นอยู่กับทั้งการปรับปรุง On-Page ให้ดี, การปรับ Page Speed ของเว็บไซต์ให้เร็วขึ้น ไปจนถึงการปรับปรุงด้านดีไซน์ของเว็บไซต์ให้รองรับการใช้งานในทุก Device และแสดงผลได้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น มี Menu Bar หรือ Navigator ที่ใช้งานง่าย, ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย, มีปุ่ม CTA ที่เหมาะสม เป็นต้น
ที่มาภาพ: https://blog.prototypr.io
Content Audit
ต่อมาจะเป็นส่วนสำคัญอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือ การปรับปรุงคอนเทนต์ให้มีคุณภาพและทำอันดับบนหน้า Google ได้ดีขึ้น รวมถึงควรเลือกหยิบประเด็นที่เหมาะกับ Keyword ที่ใช้ หรือเสริมเนื้อหาต่างๆ ให้คอนเทนต์ดูสดใหม่มากยิ่งขึ้น เช่น หากคุณทำการเขียนบทความเรื่อง ไอเดียแต่งห้องนอน แน่นอนว่า มีคนเขียนเรื่องนี้อยู่เป็นร้อยเป็นพันเว็บไซต์ หากคุณต้องการทำให้คนค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอ อาจจะใส่ Long-Tail Keyword เพิ่มเติมเข้ามา อย่าง ไอเดียแต่งห้องนอน 2023 เพื่อทำให้คอนเทนต์นี้ดูเป็นปัจจุบันมากขึ้น หรืออาจจะเพิ่มเทรนด์การแต่งห้องนอนที่นิยมอยู่ในช่วงนั้นๆ เข้ามาอีก อย่างเช่น ไอเดียแต่งห้องนอน 2023 เทรนด์มูจิมูใจที่ใครๆ ก็ชอบ ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยทำให้บทความมีโอกาสทำอันดับใน Long-Tail Keyword มากขึ้น แถมคอนเทนต์ก็ยังดูสดใหม่เหมือนได้ทำการอัปเดตมากขึ้นด้วย
Competitor Analysis
อย่าลืมที่จะทำการวิเคราะห์คู่แข่งด้วยว่า SEO ของคู่แข่งเป็นอย่างไร ติดอันดับใน Keyword ไหนบ้าง และคุณสามารถทำการแข่งขันได้หรือไม่ ถ้าหากทำการแข่งขันได้ก็ควรที่จะลิสต์ Keyword เหล่านั้นเอาไว้ทำบทความ SEO ของคุณด้วย ซึ่งวิธีนี้จะช่วยย่นระยะเวลาในการทำ Keyword Research ได้ค่อนข้างดี อีกทั้งยังเป็นการตรวจสอบคู่แข่งด้วยว่ามีอะไรที่คุณทำได้ดีกว่า หรือคู่แข่งทำได้ดีกว่าบ้าง
Security
ความปลอดภัยในการใช้งานเว็บไซต์ก็เป็นส่วนหนึ่งที่คุณจะต้องจัดการให้ดีขึ้นด้วย โดยสิ่งที่คุณต้องทำเป็นอันดับแรกๆ เลย ยกตัวอย่างเช่น การทำ https คือ การทำ Secure Socket Layer หรือ SSL ที่ทำให้เว็บไซต์ถูกดักจับข้อมูลได้ลำบากขึ้น จากการที่เว็บไซต์มีการเข้ารหัสข้อมูล ซึ่งเว็บไซต์ไหนที่ยังคงเป็น http อยู่ จะขึ้นคำว่า not secure ด้านหน้า url ทำให้เว็บไซต์นั้นๆ ดูไม่น่าเชื่อถือ เป็นต้น
Mobile Friendly
Mobile Friendly คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะกับการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น แท็บเล็ต, สมาร์ตโฟน ให้สามารถใช้เว็บไซต์ได้ง่ายโดยไม่ต้องการการขยายหน้าจอ เรียกว่า ใช้งานได้เทียบเท่ากับการท่องเว็บไซต์บนคอมพิวเตอร์ โดยการทำให้เว็บไซต์เป็น Responsive Website ที่ขนาดของเว็บไซต์ก็จะหดแคบลงพอดีกับความกว้างของจอแบบอัตโนมัติ โดยการทำ Mobile Friendly มีความสำคัญทั้งในแง่ของการใช้งาน รวมถึง Google เองก็ให้ความสำคัญกับการทำ Mobile Friendly มาก หากเว็บไซต์ไหนไม่รองรับการใช้งานด้วยมือถือก็อาจจะทำให้อันดับไม่ดีหรือตกลงได้
Page Speed Optimization
Pagespeed ของเว็บไซต์คือ อีกหนึ่งปัจจัยที่ Google ให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะเว็บไซต์ที่โหลดเร็วย่อมทำให้ประสบการณ์ใช้งานของ User ดีขึ้น โดยแก้ไข้ปัจจัยต่างๆ ให้หมดไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เร็วขึ้น เช่น
- การเลือก Hosting ที่มีคุณภาพ
- บีบอัดขนาดรูปภาพให้มีขนาดเล็ก
- ไม่ใส่ Effect บนหน้าเว็บไซต์มากเกินไป
- ใช้ Google Fonts ในการแสดงผล
- ติดตั้ง Plug-in เท่าที่จำเป็น
- ลบโค้ด CSS หรือ Javascript ที่ไม่จำเป็น
ที่มาภาพ: https://www.quattr.com
เครื่องมือที่ใช้ในการทำ SEO Audit
สำหรับใครที่ต้องการทำ SEO Audit จะต้องใช้เครื่องมือต่างๆ ในการตรวจสอบ Performance ทั้งก่อนและหลังปรับปรุง โดยเครื่องมือที่ใช้กันบ่อยๆ ก็มีอยู่หลายตัวด้วยกัน เช่น
- Google Search Console >> ใช้ดูอันดับ Keyword และปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่บนเว็บไซต์
- Google Analytics >> ใช้ดูประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในหน้าต่างๆ
- SEO Tools เช่น ahrefs >> ใช้ในการ Tracking การทำ SEO Audit
- Page Speed Insight >> ใช้ตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ พร้อมบอกปัญหาที่ต้องแก้ไข
สรุป
SEO Audit คือ วิธีการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและถูกใจ Google มากขึ้น โดยการแก้ไขด้วยวิธีต่างๆ ที่เราได้รวบรวมมาให้แล้ว ซึ่งการทำ SEO Audit จะช่วยแก้ปัญหาที่เว็บไซต์หลายเว็บไซต์ที่กำลังเผชิญอยู่ เช่น แก้ปัญหาคอนเทนต์ที่ไม่มีคุณภาพ, แก้ปัญหาหน้าเว็บไซต์หรือคอนเทนต์ที่ค้นหายาก, แก้ปัญหาเว็บไซต์อันดับตกหรือทำแล้วไม่ติดอันดับ เป็นต้น ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้การปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณทำได้ง่าย จากการที่มีหลักการให้ยึดถือมากขึ้นไม่มากก็น้อย