Keyword Research เป็นพื้นฐานของการทำ SEO ที่สำคัญมากที่สุด บ่อยครั้งที่ผมเห็นนักทำ SEO โชว์ของแต่เอาคีย์เวิร์ดที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีปริมาณการค้นหา ไม่มีการแข่งขันมาเป็น Report
SEO คือ กระบวนการที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาของ Search Engine อย่างมีประสิทธิภาพ และ Keyword Research ถือเป็นกุญแจสำคัญในการเริ่มต้น SEO อย่างถูกต้อง
ในบทความนี้ผมจึงจะมาอธิบายความหมายของ Keyword Reserach แบบไหนที่เรียกว่าดี มีคุณภาพ พร้อมวิธีการหาคีย์เวิร์ดคุณภาพ ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจ โดยใช้ Keyword Research Tools พร้อมแนะนำไอเดียการหาคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจ
Keyword Research คืออะไร
Keyword Research คือ กระบวนการที่ใช้สืบหาคำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูล สินค้า บริการ และ คอนเทนต์ บนเครื่องมือค้นหา (Search Engine) เช่น Google, Bing, Youtube และนำมาวิเคราะห์ เปรียบเทียบ จัดลำดับความสำคัญ เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ในบทความ SEO
นักทำ SEO จะทำ Keyword Research เพื่อใช้ตอบคำถามต่อไปนี้ครับ
- หาปริมาณคำค้นหาต่อเดือน (Search Volume) ของคีย์เวิร์ดที่ต้องการทำอันดับ
- วิเคราะห์การแข่งขันของคีย์เวิร์ด (Keyword Difficulty)
- วางแผน และกำหนดกลยุทธ์คอนเทนต์ เพื่อเพิ่มยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ (SEO Content Strategy)
- หาคีย์เวิร์ดที่มีความสำคัญมากที่สุด (Prioritizing Keywords)
Keyword คือ คำหรือวลีที่ผู้ใช้ค้นหาบน Search Engine ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังต้องการอยากได้ประกันให้กับรถยนต์คันใหม่ แล้วต้องการค้นหาข้อมูลบน Google ด้วยการพิมพ์คำว่า “ประกันรถยนต์” คำว่า “ประกันรถยนต์” ก็คือคีย์เวิร์ดนั้นเอง
ทำไม Keyword Research ถึงสำคัญกับการทำ SEO
ถึงแม้เรื่อง Keyword Research จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็มักจะพบผู้เริ่มต้นทำ SEO หรือผู้ประกอบการบ้างท่านที่ยังไม่รู้จักการทำ Keyword Research เลือกคีย์เวิร์ดตามใจฉัน หรือตามความเชื่อ โดยที่ไม่มีหลักฐานมาอ้างอิง เมื่อทำไปแล้ว มาพบว่าไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ ก็จะทำให้เสียทั้งเงินและเวลา ไปฟรีๆ ได้ครับ
ยกตัวอย่าง
[ หัวหน้า ] “ เห่ยย ผมคิดว่า ลูกค้ามันจะต้อง ค้นหา Keyword ด้วยคำ ๆ “ keyword แปลว่า “ นี้แน่ ๆ งั้นเราทำ SEO ให้กับคำ ๆ นี้ไปเลย รับลองคนเข้าเว็บไซต์เพียบ ! ”
[ สมพงศ์ ] แต่หัวหน้าครับ ! เราควรที่จะ Research keyword ให้แน่นอนก่อนดีไหมครับ จะได้ไม่พลาดตกม้าตายตอนหลัง
[ หัวหน้า ] : เอาน่า เชื่อผมซี่ คำ ๆ นี้ยังไงก็ต้องมีคนค้นอยู่แล้ว ทำตามที่ผมบอกก็พอ . .
หลังจากนั้น 8 เดือน … ! ! !
[ หัวหน้า ] นี่สมพงศ์ ทำไมเราขึ้นอันดับ 1 แล้วแต่ทำไมคนเข้าเว็บไซต์น้อยจัง เอ๊ะ หรือว่า เราทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่านะ
[ สมพงศ์ ] ผมก็บอกหัวหน้าแล้วไงครับ ว่าอย่าเลือก Keyword ตามใจตัวเอง เป็นไงละ จะกลับไปเริ่มก็ไม่ทันละ
keyword คือ : มีคำค้นหาต่อเดือน 1,600 ครั้ง << ทีอย่างงี้ไม่เลือก
คีย์เวิร์ด คือ : มีคำค้นหาต่อเดือน 720 ครั้ง << ทีอย่างงี้ไม่เลือก
keyword แปลว่า : มีคำค้นหาต่อเดือน 590 ครั้ง “ ก็ได้ไป 100 กว่าคนไง (หักลบกับค่า CTR บนหน้า SERP ไปอีกประมาณ 32% โดยเฉลี่ย) ”
เป็นไงละ ขาดทุนไหม .. แทนที่จะได้ คนเข้าเว็บไซต์มากขึ้น กลับได้ อะไรมาก็ไม่รู้
Keyword Research ก็เหมือนกับการสำรวจความต้องการของตลาด ก่อนลงมือทำจริง เพื่อให้เราไปได้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ทำฟรี เป็นพื้นฐานแรกสุดของการทำ SEO ที่ช่วยให้เราเข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่ค้นหาสินค้า บริการ คอนเทนต์ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา
การทำ Keyword Research เป็นตัวกำหนดรายละเอียดงาน ในหลายส่วนของการทำ SEO เช่น
- การกำหนดแผนการทำ SEO
- การกำหนดหัวข้อคอนเทนต์
- การปรับแต่ง On-Page
- การทำ SEO Content
- การวางโครสร้างเว็บไซต์ (site structure)
- การโปรโมทคอนเทนต์
- การทำ Link Building
- การเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์
- การเพิ่มโอกาสการเติบโตของธุรกิจ
ถือเป็นขั้นตอนแรกๆ ที่มีความสำคัญอย่างมากครับ สิ่งที่ทำให้คนทำ SEO ส่วนนึงทำแล้วไม่สร้าง Oraganic Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ มาจากการที่ไม่ได้เริ่มต้นทำความเข้าใจการทำ Keyword Research ก่อนครับ
เมื่อรู้แล้วการไปให้ถึงเป้าหมายของเราก็จะชัดเจนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และจะตอบคำถามหลายๆ อย่างได้มากขึ้น เช่น
- เว็บไซต์ควรให้ความสำคัญกับคีย์เวิร์ดคำไหนเป็นพิเศษ
- กลยุทธ์เว็บไซต์ในการสร้าง Organic Traffic ต้องทำอย่างไร
- ควรสร้างคอนเทนต์แบบไหน ให้ตอบโจทย์ Search Intent ของผู้ค้นหา
- คีย์เวิร์ดที่ต้องการให้ติดบนหน้าแรกของกูเกิลมีการแข่งขันมากน้อยแค่ไหน มีโอกาสในการแข่งขันไหม
- เลือกคีย์เวิร์ดแบบไหนที่จะเปลี่ยนจากผู้ใช้มาเป็นลูกค้าได้มากที่สุด
และในปัจจุบันนี้ การทำ Semantic SEO ก็เริ่มมีบทบาทสำคัญ เนื่องจากการเข้าใจเจตนาของผู้ค้นหามากขึ้น ไม่เพียงแค่เลือกคำค้นหาที่ตรง แต่ยังต้องคำนึงถึงการทำให้เนื้อหามีความเกี่ยวข้องและตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยให้ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้นและรองรับการค้นหาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
หากใครที่ยังไม่รู้จักการทำ Keyword Research ผมแนะนำว่าอย่าเพิ่งเริ่มต้นทำ SEO ให้กลับมาทบทวนเรื่องนี้ ก่อนศึกษาการทำ SEO ส่วนอื่นๆ ครับ
ชนิดของ Keywords
ความหมายของคีย์เวิร์ด ระหว่างคำที่มีความหมายกว้างๆ อย่างเช่น “Keyword” และ ความหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นอย่าง “Keyword คืออะไร” นักทำ SEO หลายคนมักจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1 คำ, 2 คำ และมากกว่า 3 คำ บ้างท่านก็เรียกว่า Seed Keyword (1 คำ), Niche Keyword (2 คำ) และ Long tail Keyword (มากกว่า 3 คำ)
ซึ่งในบทความนี้ผมขอแบ่งเป็น Head Terms, Body Keywords และ Long tail Keywords
Head Terms
Head Terms เป็นคำที่มีความหมายกว้างๆ มีเพียง 1 คำ มักจะมีปริมาณการค้นหา และการแข่งขันสูง ถึงแม้จะเป็นชนิดของคำที่น่าสนใจ เนื่องจากมีปริมาณการค้นหาที่สูง แต่คีย์เวิร์ดลักษณะนี้กลับไม่สามารถบอกความต้องการจริงๆ ของผู้ที่ค้นหาได้
ยกตัวอย่างเช่นคำว่า “Keyword” ซึ่งสามารถตีความหมายออกมาได้หลากหลายมาก ผู้ที่ค้นหาด้วยคำนี้อาจจะกำลังมองหาคีย์เวิร์ด เช่น “Keyword คืออะไร” หรือ “วิธีการหา Keyword” เรามักพบว่าคำหลักประเภทนี้ให้ ค่า conversions rate ที่น้อยกว่าคีย์เวิร์ดชนิด body keywords และ long tail keywords แต่ด้วยที่มี Volume สูงจึงทำให้มีโอกาสที่จะเกิด conv. ได้พอสมควรครับหากสินค้าหรือบริการ เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดคำนั้น โดยการใช้ Heading Tag ในการจัดโครงสร้างเนื้อหาสามารถช่วยให้การค้นหาเหล่านี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Body Keywords
Body keywords มักมีจำนวนคำ 2-3 คำ ถึงแม้จะมี Search Volume น้อยกว่าคีย์เวิร์ดชนิด Head Terms แต่ก็เป็นคำที่ทำให้เรารู้ความต้องการของผู้ค้นหาได้มากกว่า และมีการแข่งขันที่น้อยกว่าด้วยครับ
กลุ่มคำชนิดนี้ เรามักพบว่าสามารถสร้าง conversions rate ได้มากกว่า ยกตัวอย่างเช่นคำว่า SEO กับคำว่า รับทำ SEO คำที่สองจะเป็นชนิดคำที่เรารู้ความต้องการของคนที่ค้นหาได้มากกว่าคำแรกครับ ดังนั้นเมื่อเราทำหน้า landing page หรือ content ที่ตรงกับคำนั้นโอกาสที่จะเปลี่ยนมาเป็น conv. จึงค่อนข้างสูง
Long tail Keywords
Long tail Keywords เป็นคำที่มีมากกว่า 4 คำขึ้นไป มักเป็นคำที่มี Seach Volume น้อยกว่าชนิดของคีย์เวิร์ดอื่นๆ แต่ก็เป็นกลุ่มคำที่ทำให้เรารู้ความต้องการของผู้ค้นหาได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น และมีการแข่งขันที่น้อยกว่า
ถึง long tail keywords จะมีปริมาณการค้นหาน้อย แต่รู้ไหมครับ? ว่าการค้นหาส่วนใหญ่ มักเป็นชนิด Long Tail Keywords เมื่อรวมเข้าด้วยกันหลายๆ คำก็จะทำให้มี Search Volume ที่สูงมากกว่าเดิมได้เช่นกันครับ ดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Title tag คือ การใช้คำเหล่านี้ใน title tag จะช่วยให้การจัดอันดับ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แล้ว 3 ชนิดนี้เราควรให้ความสำคัญกับชนิดไหนเป็นพิเศษ สำหรับผม เราควรให้ความสำคัญกับทั้ง 3 ชนิดครับ เพราะแต่ละชนิด มีข้อดีแตกต่างกันไป
Keyword Research Tools
Keyword research tools คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ปริมาณการค้นหา การแข่งขัน คุณภาพของคีย์เวิร์ด และต้นทุนค่าเฉลี่ยในการโฆษณา (Cost Per Click) ของคีย์เวิร์ดที่ผู้ค้นหาใช้ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ ในการเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับทำการตลาดผ่านเสิร์ชเอนจิ้นมาร์เก็ตติ้ง
Keyword research tools ในประเทศไทย เราอาจจะคุ้นในชื่อของโปรแกรมค้นหา Keyword ซึ่งมีหลากหลายจ้าวให้เลือกใช้ครับ แต่ของประเทศไทย เราจะต้องหาโปรแกรมค้นหา Keyword ที่รองรับกับภาษาไทย เพราะบ้างเครื่องมือก็ไม่มีข้อมูลคีย์เวิร์ดของภาษาไทยอยู่ จึงไม่สามารถใช้ได้หรือใช้ได้แต่ไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งโปรแกรมค้นหา Keyword ที่ผมจะใช้ประจำๆ จะมีดังนี้
- Google Keyword Planner
- Ubersuggest
- Keywordtool.io
- Kwfinder.com
ตามปกติแล้วทุกเครื่องมือมักจะมี Metrics ที่ใช้วิเคราะห์ใกล้เคียงกันครับ ก็จะมี
- Search Volume ปริมาณที่ผู้ใช้ค้นหาคีย์เวิร์ดในแต่ละเดือน ส่วนนี้ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะได้จำนวนผู้เข้าใช้ตามจำนวนนี้ทั้งหมดนะครับ เนื่องจากไม่ได้แสดงถึงว่ามีคนคลิ๊กมายังเว็บไซต์เราเท่าไหร่ สมมุติ คีย์เวิร์ด 1 คำ มีคำค้นหา 100 เมื่อเราอยู่ที่ 1 แล้วได้ CTR (Click-through rate) เท่ากับ 30% แล้วเราก็จะได้ยอดผู้เข้าใช้ 30 ครับไม่ใช่ 100 และก็จะลดลงมาเรื่อยๆ ตามตำแหน่ง
(***Position มีผลต่อ CTR เยอะมากครับ อันดับ 1 กับ 2 จะให้ CTR ที่แตกต่างกันเกือบเท่าตัวได้เลย) - Cost Per Click คือ ราคาที่ต้องจ่ายสำหรีบคีย์เวิร์ดเพื่อให้แสดงผลในหน้า SERP (search engine result pages) ที่แสดงผลในรูปแบบของ Ads ยิ่งมีค่าสูงยิ่งจ่ายแพง ยิ่งค่าน้อยยิ่งจ่ายถูก
- Keyword Difficulty ค่าที่แสดงความยากง่ายของคีย์เวิร์ดแบบ Organic Keyword ที่ไม่ใช่ Ads ซึ่งแต่ละสำนักก็มีการคำนวณแตกต่างกัน สำหรับตัวผมเอง ค่านี้เอามาดูจริงจังไม่ได้เท่าไรครับ วิเคราะห์คู่แข่งในหน้าผลการค้นหาเองจะละเอียดมากกว่า
- Search Result แสดงเว็บไซต์ที่ติดอันดับของคีย์เวิร์ดคำนั้น
สำหรับผมตัวที่ใช้จริงๆ จะมีแค่ค่าเดียวนั้นคือ Search Volume กับดู Related Keyword ที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดคำนั้น
สำหรับส่วนที่โฟกัสเป็นพิเศษก็คือ บริบทของคีย์เวิร์ด ตามในหัวข้อ วิธีเลือกคีย์เวิร์ดคุณภาพ
เราอาจจะใช้เครื่องมืออื่นๆ ประกอบตามไปด้วย เช่น
- Answerthepublic.com
- Ahref.com
- Related keywords
- Google Search Console
- Youtube Suggestions
เพื่อนำมาเป็นไอเดียในการคิดหัวข้อของคอนเทนต์ การหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมาเสริมประสิทธิภาพในการทำ SEO Content แตกออกมาจากคีย์เวิร์ดที่รีเสิร์ชเพิ่มเติม
วิธีการหา Keyword เพื่อนำมาใช้ในการทำ SEO
1. อันดับแรก ให้เข้าเว็บไซต์ https://neilpatel.com/ubersuggest/ ก่อนครับ เพื่อใช้งานโปรแกรมค้นหาคีย์เวิร์ด เมื่อกดคลิ๊กที่ลิงค์แล้วจะได้หน้าตาแบบนี้
2. เปลี่ยนภาษา จาก English / United States เป็น Thai / Thailand แล้วใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงไป อย่างในรูป สมมุติว่าผมทำธุรกิจขายบ้านน็อคดาวน์ ผมก็จะใส่คีย์เวิร์ดบ้านน็อคดาวน์ลงไป แล้วกดปุ่มคำว่า search
3. ผมก็จะได้ ข้อมูลของคีย์เวิร์ดคำที่ใส่ลงไปครับ
4. เพื่อให้เราดูข้อมูลคีย์เวิร์ดได้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดที่เราใส่ลงไป เราสามารถใช้ตัวเลือก keyword ideas ทางด้านซ้ายมือได้ครับ ให้กดคลิ๊กไปได้เลย
5. โปรแกรมก็จะแสดงคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักที่เราใส่ลงไป มาให้เราวิเคราะห์ต่อครับว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ค้นหาบนกูเกิลเขาค้นหาอะไรบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา ถ้าจำนวนคีย์เวิร์ดยังน้อยไปให้เรากดคลิ๊กที่เมนู Related เพิ่มเติมได้ครับ ระบบก็จะแสดงคีย์เวิร์ดเพิ่มเติมขึ้นมา
เท่านี้คุณก็จะรู้วิธีการทำ Keyword Research ไม่เลือกคีย์เวิร์ดแบบมั่วๆ ที่ไม่มีการค้นหา
แต่เมื่อคุณได้คีย์เวิร์ดมาแล้วมันยังไม่จบเพียงเท่านี้นะครับ
ส่วนที่สำคัญคือ การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เราได้มามากว่า ว่าเราจะจัดการยังไงต่อ
จุดนี้ผมมีวิธีในการดูความยาก ง่ายของคีย์เวิร์ด มาฝากครับในหัวข้อถัดไป
วิธีการเลือก Keyword คุณภาพ
การคัดเลือกคีย์เวิร์ด ที่จะมาทำ SEO นั้นมีความสำคัญมากครับ เพราะรายละเอียดงาน SEO ที่ต้องทำนั้น จะอยู่กับคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดในตอนแรก ซึ่งการทำ SEO ตัวตัดสินว่าเว็บไซต์จะสามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชมได้ไหม หรือเพิ่มยอดขายได้ไหม ก็อยู่ที่คีย์เวิร์ดที่เลือก
แล้วเราควรเลือก คีย์เวิร์ดแบบไหนมาทำ SEO กันก่อนดี ผมมีแนวทางมาให้ดังนี้ครับ
- เลือกกลุ่มคำคีย์เวิร์ดที่ตรงกับสินค้าหรือบริการของเราก่อนเป็นอันดับแรก เช่น คุณมีบริการรับสร้างเว็บไซต์ คีย์เวิร์ดแรกที่ควรเริ่มต้นทำก็คือ “รับสร้างเว็บไซต์”
- ปริมาณของ Search Volume ต้องไม่น้อยเกินไป อย่างน้อยควรเลือกคีย์เวิร์ดที่มี Search Volume ประมาณ 1,000 ขึ้นไปก่อนครับ
- เลือกคีย์เวิร์ดที่รู้ความต้องการของผู้ค้นหาอย่างชัดเจน เช่น รถยนต์ไฟฟ้า, สร้างเว็บไซต์, บ้านน็อคดาวน์, โต๊ะทำงาน ไม่เลือกคีย์เวิร์ดที่มีความหมายกว้างจนเกินไป เช่น โต๊ะ, เก้าอี้, รถ, เว็บ, บ้าน จะสังเกตเห็นว่าเราไม่รู้ความต้องการของผู้ค้นหาเลย มันกว้างมากครับ
- ตรวจสอบ Search Intent ให้เหมาะสมกับคอนเทนต์ ดูว่าคีย์เวิร์ดที่ต้องการทำอันดับ อันดับในหน้าแรกของผลการค้นหาเป็นแบบไหน สามารถใช้คอนเทนต์เพื่อไปอยู่อันดับต้นๆ ได้ไหม ในกรณีหน้าแรกของผลการค้นหาเป็น VDO จาก Youtube ทั้งหมด การสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์เพื่อให้ติด ก็จะไม่เหมาะสมเท่ากับการสร้าง VDO Cotent
- เน้นทำอันดับคีย์เวิร์ดที่เป็น Buyer’s Keywords ก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะแปลงผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นลูกค้า มาเพิ่มยอดขาย เช่น กลุ่มคีย์เวิร์ดที่มีคำว่า ราคา, ที่ไหนดี, รับทำ, รับสอน, ชื่อแบรนด์, รีวิว ที่เป็นกลุ่มคำที่ผู้ใช้รู้จัก สินค้า บริการ มาในระดับนึงแล้ว เราจะเรียกกลุ่มคำประเภทนี้อีกอย่างว่า Commercial Keyword
- ความยากง่ายของ Keyword ในการทำ SEO ให้ดูว่าคีย์เวิร์ดที่เราเลือก มีการแข่งขันที่สูงไหม ถ้าดู Top 10 ในหน้าแรกของกูเกิล แล้วพบว่าคู่แข่งแต่ละคนโหดๆ ทั้งนั้น เราอาจเลือกโฟกัสคีย์เวิร์ดตัวอื่นก่อนครับ ค่อยกลับมาลุยตัวที่การแข่งขันสูงๆ ที่หลัง เช่น คอนโด, ซื้อบ้าน, ประกันรถยนต์ คีย์เวิร์ดกลุ่มนี้คู่แข่งแต่ละเจ้านี้ระดับประเทศทั้งนั้นครับ
ในส่วนของการปรับปรุง SEO ให้สมบูรณ์แบบ การใช้ Meta Description คือ การเขียนคำอธิบายที่สรุปเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์อย่างกระชับเพื่อดึงดูดให้ผู้ค้นหาคลิกเข้ามา ซึ่งมีบทบาทในการเพิ่ม CTR และช่วยให้ SEO ทำงานได้ดีขึ้น
วิธีการคัดเลือก keyword เบื้องต้น
อันดับแรกให้เราเลือกคีย์เวิร์ดที่เราสนใจจะทำ SEO มาสัก 1 คีย์เวิร์ดครับ เอาที่เป็นคีย์เวิร์ดหลักที่จะนำไปทำ SEO Content นะครับ จากตัวอย่างเดิมผมอยากทำ SEO ให้กับคำว่า “บ้านน็อคดาวน์” ที่มี volume อยู่ที่ 74,000 (อันนี้ผมไปค้นใน google keyword planner มานะครับ)
ผมก็จะนำคีย์เวิร์ดนี้ไปค้นหาในกูเกิลครับแต่ให้ใช้คำสั่งนี้บนหน้ากูเกิล
allintitle=คีย์เวิร์ด อย่างในรูป ผมก็จะค้นหาแบบนี้ครับ allintitle=บ้านน็อคดาวน์
แล้วให้สังเกตตัวเลขถัดจากคำว่า about และก่อนคำว่า results ตัวคือตัวจำนวนหน้าเพจทั้งหมดที่ title โฟกัสคำว่า “บ้านน็อคดาวน์” ครับ หรือเราจะประมาณได้ว่ามีจำนวนคู่แข่งทั้งหมด 40k กว่าหน้าเพจก็ได้ครับ
ในกรณีนี้ Search Term คือ คำที่ผู้ใช้ค้นหาผ่านเครื่องมือค้นหา เช่น Google ซึ่งสามารถเป็นคำเดี่ยวหรือกลุ่มคำที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ การค้นหาที่มีความหมายชัดเจนจะช่วยให้คุณเข้าใจผู้ค้นหามากยิ่งขึ้น และสามารถกำหนดกลยุทธ์การทำ SEO ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
ถือว่าเป็นจำนวนตัวเลขที่ไม่น้อยเลยที่เดียว ถ้าผมทำคีย์เวิร์ดนี้ ในช่วงแรก การแข่งขันคงเป็นไปได้ยาก
จากคีย์เวิร์ดชุดเดิม ผมลองเปลี่ยนใหม่เป็นคีย์เวิร์ดที่ยาวมากกว่านั้น และมี search intent ที่แตกต่างกับคีย์เวิร์ดตัวแรกที่เลือกไว้ เพื่อไม่ให้เกิดคีย์เวิร์ดที่ใช้คอนเทนต์เดียวกันได้
โดยใช้เป็นคีย์เวิร์ด “แบบบ้านน็อคดาวน์ไม้” ที่มี volume 1,000
แล้วผมก็พบว่า มีจำนวนคู่แข่งลดน้อยลงมากว่านั้นมากเลย แถมจำนวน volume ก็ยังพอไปได้
ดังนั้นในการทำ SEO ชุดคีย์เวิร์ดที่ผมจะนำไปสร้างคอนเทนต์ก่อนอันดับแรกก็คือ แบบบ้านไม้น็อคดาวน์ เพราะ เป็น keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า มี search volume และมีโอกาสที่จะเข้าหน้าแรกได้มากกว่า
สำหรับเทคนิคนี้ผมมองว่าตรวจสอบได้ดีระดับนึงเลยครับ
แต่ถ้าเป็นมุมผมในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดต่อจะตรวจสอบเว็บไซต์ของคู่แข่งที่อยู่บนหน้า SERP (Search Engine Result Pages) หรือหน้าผลลัพธ์การค้นหาใน 10 ตำแหน่งแรกด้วยนะครับ
อย่างคีย์เวิร์ด “ประกันรถยนต์” allintitle แล้วประมาณ 38k ไปดูคู่แข่งแต่ละเจ้าระดับประเทศแบบนี้ก็ต้องขอลาก่อนครับ ทำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ก่อนดีกว่า
(แต่ถ้าต้องการจริงๆ ต้องมีทีมที่พร้อมและงบพร้อมครับ ทำให้ Keywords ยากๆเหล่านี้ติดอันดับที่ดี ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้)
การจัดลำดับความสำคัญคีย์เวิร์ดในการทำ SEO
ไอเดียการเริ่มต้นเลือกคีย์เวิร์ดมาทำ SEO ในแบบฉบับของผม ผมมักจะทำคอนเทนต์ หรือ Optimize คอนเทนต์ ให้รองรับกลุ่มคำที่ตรงกับสินค้าหรือบริการของเรา ที่มี Volume สูงและเรารู้ความต้องการของผู้ค้นหาชัดเจนก่อนครับ เช่น รับสอน SEO, รับทำ SEO, เรียนสร้างเว็บไซต์ และ รับทำเว็บไซต์ แต่จะไม่ได้โฟกัสในการทำอันดับในกลุ่มคำนี้ในช่วงแรกๆ ของการทำ SEO เพราะการแข่งขันจะค่อนข้างสูง
แต่จะไปเน้นคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาจำนวนนึงและการแข่งขันไม่สูงมาก ซึ่งจะเป็นคีย์เวิร์ดให้ความรู้ เช่น คีย์เวิร์ด คืออะไร, SEO คืออะไร, โปรแกรมหาคีย์เวิร์ด เพื่อสร้างยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ก่อน เนื่องจาก Traffic เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Google รู้จักเว็บไซต์ของเราได้มากยิ่งขึ้น และมีผลต่อการทำ SEO
สุดท้าย
เรื่องสำคัญมากๆ ที่ผม มีต่อ keyword research ในปี 2024 ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ search intent การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเพื่อไปทำ SEO Content ครับ
อย่าลืมทำ keyword research กันก่อนที่จะเริ่มงาน SEO นะครับ ไม่ว่าจะทำเอง หรือจ้างคนอื่นทำ เราต้องมั่นใจก่อนว่า keyword ที่จะใช้เวลา ใช้แรง ใช้เงินลงทุนในการทำนั้นมันคุ้มค่าดีพอรึยัง