‘Google search console’ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญมากๆ สำหรับคนทำเว็บไซต์ บริษัทรับทำ SEO และคนทำคอนเทนต์ โดยทุกคนสามารถติดตั้งและใช้งานได้เลยแบบฟรีๆ เพราะนี่เป็นเครื่องมือจาก Google ขอแค่คุณมีบัญชี Gmail เท่านั้นเองครับ แต่ก่อนจะไปดูวิธีการติดตั้งแต่วิธีใช้ ผมอยากให้ทุกคนมาปูพื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องมือนี้กันสักหน่อยว่า คืออะไร แล้วทำไมเราจำเป็นจะต้องใช้งาน ตามไปดูพร้อมๆ กันเลยครับ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- Google search console คืออะไร
- ประโยชน์ของ Google search console
- วิธีการติดตั้ง Google search console
- วิธีใช้ Google search console
- สรุป
Google search console คืออะไร
Google search console (GSC) หรือ Google Webmaster Tools เป็นเครื่องมือจาก Google ที่สามารถใช้งานได้ฟรี โดยเป็นเครื่องมือที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอันดับ Keyword และดูแลเว็บไซต์ของเรา หาว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น เกิดปัญหา Page Not found 404 ขึ้นกี่หน้า ฯลฯ อะไรที่ทำได้ดีอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ว่าเป็นเหมือนเครื่องมือช่างสำหรับคนทำโปรแกรมเมอร์เลยก็ว่าได้ครับ หรือจะนำไปประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงคอนเทนต์ การทำ seo audit ซึ่งทั้งเรื่องเว็บไซต์และเรื่องคอนเทนต์เนี่ย เป็น 2 องค์ประกอบสำคัญสำหรับการทำ SEO คือ สิ่งที่ต้องคอยตรวจสอบและปรับปรุงอยู่เสมอ
ประโยชน์ของ Google search console
มาขยายความให้ชัดขึ้นอีกนิด ผมขอแบ่งประโยชน์ของ Google search console แบบเป็นข้อๆ ให้เข้าใจง่ายมากขึ้น โดยขอแบ่งออกเป็น 5 ข้อ ดังนี้
- ช่วยทำให้รู้ว่า Google เข้ามาจัดทำดัชนี (Index) ในเว็บไซต์ของเราหรือยัง และรองรับการใช้งานบนมือถือได้ดีหรือไม่
- ช่วยตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นภายในเว็บไซต์ที่ทำให้ Google ไม่สามารถนำหน้านั้นๆ ของเว็บไซต์ไปจัดอันดับได้ หรือเกิดปัญหาหน้าเว็บไซต์นั้นๆ หายไป ก็จะมีการแจ้งเตือนให้ทราบด้วย
- ช่วยส่ง Sitemap หรือแผนผังของเว็บไซต์ให้กับทาง Google ซึ่งช่วยทำให้ Bot ของ Google ทราบว่าเว็บไซต์เรามีกี่หน้า มีหน้าอะไรบ้าง ช่วยทำให้ Bot เข้ามาจัดทำดัชนีข้อมูลได้เร็วและง่ายมากขึ้นด้วย
- ทำให้รู้ผลลัพธ์และประสิทธิภาพของเว็บไซต์แบบ Organic หรือการเข้าเว็บเราผ่านการค้นหาบน Google แบบที่ไม่เสียเงินค่าโฆษณา โดย Google search console จะมีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Performance Report ที่จะรายงานผลลัพธ์ของเว็บไซต์จากการทำ SEO ของเราว่าเป็นอย่างไรบ้าง และข้อมูลเหล่านี้เราสามารถนำไปปรับปรุงในแง่ของการทำคอนเทนต์ได้ด้วย
- ช่วยเร่งให้ Bot เข้ามาเก็บข้อมูลไวขึ้น จากการอัปเดตคอนเทนต์ใหม่ ก็สามารถใช้ Google search console ในการแจ้งได้เลย
วิธีการติดตั้ง Google search console
- ให้เข้าไปที่ https://search.google.com/search-console/about หลังจากนั้นกดปุ่ม Start Now
- หลังจากกด Start Now จะเข้ามายังหน้าเพิ่มเว็บไซต์พร็อพเพอร์ตี้ โดยคุณสามารถเพิ่มเว็บไซต์พร็อพเพอร์ตี้ ได้ด้วย 2 วิธี คือ
- เพิ่มจาก Domain
การเลือกเพิ่มจากโดเมน โดยการระบุโดนเมนของเว็บไซต์ของคุณลงไป Google search console จะทำการจัดรูปแบบ URL ของคุณทั้งหมดในครั้งเดียว
- เพิ่มจาก URL-prefix
ส่วนการเลือกเพิ่มจาก URL-prefix จะเป็นการเพิ่มหน้าเว็บไซต์ทีละ URL จะเหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้ Google search console แค่ส่วน Sub domain ของเว็บไซต์เท่านั้น
หลังจากเลือกวิธีการเพิ่มพร็อพเพอร์ตี้อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วให้กดปุ่ม Continue ต่อไป
- Verify Url เพื่อยืนยันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์
ขั้นต่อมาจะมีการให้คุณยืนยันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์ โดยพร็อพเพอร์ตี้แต่ละแบบจะมีวิธีการยืนยันตัวตนต่างกัน ดังนี้
- Verify Url แบบโดเมน (Domain Property)
ให้คุณเพิ่ม DNS record ไปยังโฮสต์ของคุณ แล้วกลับมายัง Google search console แล้วกดปุ่ม Verify
- Verify Url แบบ URL-prefix สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- ยืนยันผ่าน Google Analytics
- ยืนยันผ่าน Google Tag Manager
- อัปโหลด HTML ไฟล์
- เพิ่ม HTML meta tag
ซึ่งคุณต้องทำวิธีนี้ซ้ำๆ ตามจำนวนของ Url ที่คุณต้องการเพิ่มพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งกระบวนการ Verify นี้อาจจะต้องรอ 1-2 วันเพื่อให้ข้อมูลเริ่มแสดงขึ้นมานะครับ
- เริ่มต้นการติดตั้ง
สำหรับวิธีการติดตั้ง Google search console ลงบนเว็บไซต์ ส่วนใหญ่จะนิยมกันอยู่ 2 รูปแบบครับ นั่นก็คือ
- ติดตั้งลงบน CMS ด้วยปลั๊กอิน
ใครที่ทำเว็บไซต์ด้วยระบบ CMS (Content Management System) เช่น WordPress สามารถติดตั้งปลั๊กอินอย่าง Yoast SEO หลังจากติดตั้งปลั๊กอินแล้วให้คลิกคำว่า seo ที่แถบเมนูด้านข้าง จากนั้นให้คลิกไปที่ Webmaster Tool เมื่อวางโค้ด HTML Tag ที่ Copy มาแล้ว Save เรียบร้อย ให้กลับไปหน้า Google แล้วกด Verify เท่านี้ก็ติดตั้ง Google search console ลงเว็บไซต์ของคุณได้แล้วครับ
- ติดตั้งด้วยไฟล์ HTML
ใครที่มีทีมโปรแกรมเมอร์ หรือเชี่ยวชาญด้าน Technical หน่อย ก็สามารถดาวน์โหลดไฟล์ HTMLมาวางไว้ที่ไดเรกทอรี่แรกของเว็บไซต์เลยครับ แต่วิธีนี้คนทำจำเป็นต้องรู้ที่ตั้งของตำแหน่งของหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์นะครับ ถึงจะทำได้แล้วไม่เกิดอาการมั่วหรือ Error ตามมา
วิธีใช้ Google search console
หลังจากติดตั้งเครื่องมือนี้เรียบร้อยแล้ว เรามาดูกันดีกว่าครับว่า Google search console มีวิธีใช้ยังไงบ้าง และแต่ละฟีเจอร์ช่วยทำให้คุณดูแลเว็บไซต์ ทำ SEO หรือการทำ Technical SEO อย่างไร ตามไปดูกันเลยครับ
Overview
หน้า Overview จะเป็นหน้าภาพรวมที่จะแสดงข้อมูลที่เป็นภาพรวมของเว็บไซต์ เช่น ผลการปฏิบัติงาน ความครอบคลุม การเพิ่มประสิทธิภาพ ฯลฯ ซึ่งถ้าอยากดูแบบเจาะลึก ในแต่ละแท็บเมนูด้านซ้ายจะมีรายละเอียดของรีพอร์ตแต่ละตัวให้กดเข้าไปตรวจสอบแยกทีละส่วนได้เลยครับ
Performance Dashboard
มาต่อกันที่เมนูที่ 2 คือ Performance Dashboard จะเป็นรีพอร์ตที่คอยรายงานประสิทธิภาพบน Search Console และปริมาณคนที่เข้าถึงเว็บไซต์ สามารถดูย้อนหลังได้สูงสุด 16 เดือน ซึ่งช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ทำให้เห็นผลของการทำ SEO ในหลายๆ ด้าน ได้แก่
- Click หมายถึง จำนวนการคลิกเข้ามาชมเว็บไซต์ ซึ่ง Google Search Console จะแสดงผลส่วนนี้แค่สำหรับการคลิกที่เป็น Organic Traffic ไม่นับรวม Traffic จากการทำโฆษณา
- Impression เป็นจำนวนที่เว็บไซต์เราถูกแสดงขึ้นในหน้าการค้นหา
- AVG. CTR (AVG. Click Through Rate) เป็นค่าการคลิกต่อจำนวนการมองเห็น เป็นตัวเลขที่บ่งบอกว่าคอนเทนต์ของเราน่าคลิกมากแค่ไหน เมื่อมีคนเสิร์ชเจอบนหน้า Google
- AVG. Position เป็นค่าเฉลี่ยของตำแหน่งที่เว็บไซต์ของเราถูกแสดงผลบนหน้า Google
นอกจากนี้คุณยัง Filter ข้อมูลอื่นๆ ได้ตามความต้องการอีก ไม่ว่าจะเป็น…
- QUERIES (ข้อความค้นหา, คีย์เวิร์ด)
- PAGES (หน้าที่ผู้ใช้เข้าชม)
- COUNTRIES (ประเทศที่มาของผู้ใช้)
- DEVICES (การเข้าชมผ่านอุปกรณ์ต่างๆ)
- SEARCH APPEARANCE (ลักษณะที่ปรากฏในการค้นหา)
- DATES (วันที่)
โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถเลือกประเภทของ Search type (ประเภทการค้นหา) ว่าจะดูเป็นWeb (เว็บ) Image (รูปภาพ) Video (วิดีโอ) หรือ News (ข่าว) ได้ด้วยครับ
URL Inspection
URL Inspection หรือเครื่องมือตรวจสอบ URL เป็นเครื่องมือใหม่ของ Google ครับ ช่วยบอกว่า URL นี้อยู่ในการจัดทำดัชนีจาก Google หรือไม่ Google มาสำรวจล่าสุดวันไหน หรือมีความเหมาะสมกับอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือไม่ ซึ่งถ้ามีข้อผิดพลาดใน URL ดังกล่าว Search console ก็จะแสดงผลให้คุณทราบพร้อมกับแนะนำแนวทางการแก้ไขเบื้องต้นให้ด้วยครับ
Index
สำหรับแถบเมนู Index ที่ใช้บ่อยๆ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ
- Coverage
- Sitemap
Coverage
จะเป็นส่วนที่ใช้ดูข้อผิดพลาดในหน้าเพจที่ถูกจัดทำดัชนีแล้ว ซึ่งถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้น Search console ก็จะทำการแจ้งเตือนให้คุณรีบเข้ามาแก้ไขได้ทันที โดยในส่วนของข้อผิดพลาดที่พบบ่อยจะมีอยู่ทั้งหมดมีอยู่ 5 ตัว ได้แก่
- Server errors (5xx) : ปัญหาเมื่อ Bot ของ Google ไม่สามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ได้
- Submitted URL seems to be a Soft 404 : รหัส soft 404 คือ ผู้ใช้งานเข้าหน้าบนเว็บไซต์ของเราและไม่เจอหน้านั้นหรือมีเนื้อหานิดเดียว (จะต่างจากรหัส 404 ในข้อ 4 ซึ่งข้อ 2 จะเจอ error แบบนี้ได้น้อยกว่าครับ)
- Redirect error : ปัญหาจากการทำ redirect(คือการกำหนด Url ใหม่ให้กับหน้าเดิม) หน้าเว็บไซต์เดิม แต่ก็ยังไม่พบหน้าที่ทำการ redirect
- Submitted URL not found (404) : ปัญหาจากการที่ไม่พบหน้านั้น(Page)ในเว็บไซต์ของเรา
- Submitted URL has crawl issue
Sitemap
ส่วนนี้จะเป็นส่วนของการเพิ่มแผนผังของเว็บไซต์ (Sitemap) โดยจะต้องทำการส่งให้ Google รู้ว่า เว็บไซต์ของเรามี Url อะไรบ้าง และทำให้ Bot เข้ามาเก็บข้อมูลในหน้าที่ต้องการได้รวดเร็วและง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังใช้เพื่ออัปเดตเนื้อหา ด้วยการส่งลิงก์ url ในหน้าที่ทำการอัปเดตใหม่เข้าไป หลังจากนั้นก็รอให้ Bot เข้ามาตรวจสอบข้อมูลใหม่อีกครั้ง นอกจากนั้น Google Search Console ยังสามารถตรวจสอบสคริปต์ของ robots.txt ที่ส่งผลต่อการเก็บข้อมูลของ Googlebot
Experience
ส่วนนี้จะเป็นการตรวจสอบเมตริกที่ใช้วัดประสบการณ์การใช้งานของแต่ละหน้าบนเว็บไซต์ โดยมี 3 เกณฑ์หลัก ได้แก่
- Page Experience
- Core Web Vitals
- Mobile Usability
ซึ่งถ้าหากเว็บไซต์ของคุณมีข้อผิดพลาด หรือยังทำได้ไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด Search console ก็จะทำการแจ้งผลนั้นๆ ไว้ให้แก้ไขด้วยครับ
(อ่านสรุปเกี่ยวกับเกณฑ์ของ Google พร้อมวิธีการทำ SEO ตั้งแต่ต้นจนจบได้ที่ สอน SEO ฟรี – ศูนย์กลางเรียน SEO WordPress ชนิดทำคอร์สได้เลย)
สรุป
Google search console เป็นเครื่องมือฟรีจาก google ที่เหมาะสำหรับทุกคนที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เพราะนอกจากจะใช้ตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ว่าทำงานได้ดีหรือไม่แล้ว ยังช่วยในเรื่องของการทำคอนเทนต์ และการทำ SEO ด้วย ซึ่งคุณสามารถใช้เครื่องมือนี้เป็นตัวตั้งต้นในการวิเคราะห์ข้อมูล แล้วนำเครื่องมืออื่นๆ อย่างเช่น SEO Tool หรือ Google Trend เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งในด้านการทำ Keyword Research รวมถึงดู Performance ของการทำ SEO ในด้านอื่นๆ ด้วยได้ รับรองว่า มีประโยชน์และทำให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพ พร้อมเพิ่มโอกาสในการติดหน้า Google ได้อย่างแน่นอน