แจกเทคนิคเขียน Copywriting สำหรับงาน SEO ให้ได้ผลลัพธ์ เพิ่มอันดับให้เว็บไซต์
Copywriting หรือ การเขียนข้อความโฆษณา เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานระหว่าง ความคิดสร้างสรรค์ และ จิตวิทยา เข้าด้วยกัน เป้าหมายหลักคือ โน้มน้าวใจ ให้ผู้อ่านตัดสินใจทำสิ่งที่ต้องการ เช่น ซื้อสินค้า สมัครสมาชิก หรือติดต่อสอบถาม จากการเขียนคำโฆษณาหรือประโยคที่มัดใจคนอ่านได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ซึ่งการเขียน Copywriting นั้นก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงาน SEO ให้เว็บไซต์ของคุณสามารถทำอันดับได้ดีขึ้น และช่วยในการเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าและบริการของธุรกิจคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ Copywriting จะสำคัญกับงาน SEO มากแค่ไหน บทความนี้เราขอมาอธิบายแบบหมดเปลือก!
Copywriting คืออะไร ?
Copywriting คือการเขียนข้อความสำหรับวัตถุประสงค์ทางการตลาดและการโฆษณา ที่ต้องเป็นการเขียนข้อความที่อาศัยหลักในการผสมผสานระหว่าง ความคิดสร้างสรรค์และจิตวิทยา เข้าด้วยกัน เพื่อเป็นการโน้มน้าวใจให้ผู้อ่าน เกิดการรับรู้ Value อะไรบางอย่างของสินค้าและบริการ ของธุรกิจคุณจนนำไปสู่การตัดสินใจ ทำสิ่งที่คุณต้องการเช่น ซื้อสินค้า สมัครสมาชิก หรือติดต่อสอบถาม
ซึ่ง การเขียน Copywriting ที่มีเนื้อหาที่อ่านง่าย น่าสนใจ ตรงประเด็น และตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา ทั้งในส่วนของ Title Tags, Meta Description หรือแม้แต่คอนเทนต์ในเว็บไซต์ จะช่วยดึงดูดให้ผู้อ่านอยู่บนเว็บไซต์ของคุณได้นานขึ้น ส่งผลให้อัตราการคลิกต่อเข้าหน้าเว็บ (Click-Through Rate) และ ระยะเวลาการใช้งานเว็บไซต์ (Session Duration) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้ Google Algorithm ได้ทราบว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพ จนนำไปสู่การที่เว็บไซต์ของคุณได้อันดับดีขึ้นนั่นเอง
Copywriting กับ Content Writing ต่างกันอย่างไร ?
เชื่อว่าตอนนี้หลายคนน่าจะเกิดความสงสัยกันไม่น้อยว่า แล้ว Copywriting นั้นมีความแตกต่างกับ Content Writing อย่างไร เพราะดูภาพรวมแล้วก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘การเขียน’ เหมือนกันทั้งคู่ แต่ความจริงแล้ว Copywriting กับ Content Writing นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย
โดย Copywriting จะเป็นการสร้างสรรค์งานเขียนที่จะเน้นไปที่การเขียนข้อความเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดและการโฆษณา มีจุดมุ่งหมายหลักคือจูงใจให้ผู้อ่านกระทำการบางอย่าง เช่น ซื้อสินค้า ลงทะเบียน ฯลฯ ซึ่งหลักการในการเขียนนั้นจะต้องมีการใช้ถ้อยคำที่โน้มน้าวใจ กระตุ้นอารมณ์ และเน้นประโยชน์ที่จะได้รับ ต้องมีความเข้าใจในกลยุทธ์การตลาดและกลุ่มเป้าหมาย ข้อความที่เขียนมักจะมีความกระชับและตรงประเด็น เป็นประโยคที่ไม่ยาวมาก และอธิบายคุณสมบัติเด่นของสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้อย่างชัดเจน
ส่วน Content Writer จะเป็นการสร้างสรรค์งานเขียนที่มีการใช้ประเด็นเนื้อหาทั่วไปเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น ให้ความรู้ สร้างความบันเทิง ฯลฯ โดยไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายในการจูงใจให้สร้าง Action โดยตรง
มักเป็นเนื้อหาที่มีความยาว ลงลึกในรายละเอียดมากกว่า ในการเขียนนั้นผู้เขียนอาจต้องมีความรู้ความชำนาญในหัวข้อหรือประเด็นที่เขียน ภาษาที่ใช้มักเป็นกลาง ๆ เน้นการให้ข้อมูล ให้ความรู้มากกว่าการโน้มน้าวใจแบบ Copywriting
ตัวอย่างความแตกต่างระหว่าง Copywriting กับ Content Writing ตัวอย่างแบรนด์ขายรองเท้าวิ่ง ชื่อแบรนด์ ABC
- Copywriting : รองเท้าวิ่ง ABC ดีไซน์สวย ใส่สบาย ลดแรงกระแทก ราคาไม่แพง สั่งซื้อได้ที่นี่
- Content Writing : 5 จุดเด่นรองเท้าวิ่ง ABC ทำไมนักวิ่งตัวจริงแบบคุณควรต้องลองสักครั้ง
โดยสรุปแม้ทั้ง Copywriting กับ Content Writing ต่างเกี่ยวข้องกับการเขียน แต่ copywriting จะมุ่งเน้นการเขียนเพื่อการตลาดและโฆษณา ขณะที่ Content writing จะมีการเขียนเนื้อหาในหลากหลายประเภท โดยมีเป้าหมายหลักคือการให้ความรู้และความบันเทิงมากกว่า การสรุปข้อความสั้น ๆ เพื่อจูงใจผู้อ่านแบบ Copywriting
Copywriting ช่วยทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นได้อย่างไร ?
การมี Copywriting ที่ดีสามารถช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมากผ่านหลายช่องทาง ดังนี้
- สร้างการรับรู้และความน่าสนใจในสินค้าหรือบริการ : การเขียน Copywriting ที่ดีนั้นจะต้องมีการนำเสนอข้อมูลอย่างน่าสนใจ กระตุ้นความต้องการ และดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ลูกค้ามีความสนใจและรับรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่ธุรกิจต้องการนำเสนอ
- เพิ่มยอดขายและรายได้ : เพราะเป้าหมายสำคัญของการเขียน Copywriting คือการกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าหรือบริการ Copywriting ที่ดีจะสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้บริโภค สร้างแรงจูงใจ และดึงดูดให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น จึงส่งผลให้ยอดขายและรายได้ของธุรกิจเติบโตขึ้นตาม
- สร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ : การเขียน Copywriting ที่มีคุณภาพจะสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ จึงปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าการเขียน Copywriting นั้นมีส่วนสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์และการรับรู้ที่ดีให้กับธุรกิจในสายตาของลูกค้า
- เพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า : การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ลูกค้าเข้าใจจุดเด่นหรือคุณค่าที่แท้จริงของสินค้าหรือบริการจากธุรกิจคุณ ซึ่งการเขียน Copywriting ที่ดีนั้นจะเข้ามาช่วยให้การสื่อสารทั้งหมดทั้งในเว็บไซต์ หรือสื่อออนไลน์ของธุรกิจคุณ มีประสิทธิภาพ น่าสนใจ และเข้าถึงลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO : และสุดท้าย Copywriting ที่มีคุณภาพสูงยังสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ SEO ให้กับธุรกิจด้วย เนื่องจากเนื้อหาคุณภาพดีเป็นปัจจัยสำคัญที่กูเกิลให้ความสำคัญ จะช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสจัดอันดับสูงขึ้น นำมาซึ่งการเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างขึ้น
ดังนั้นการเขียน Copywriting จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยผลักดันธุรกิจให้เติบโตและประสบความสำเร็จ ทั้งในการสร้างการรับรู้ เพิ่มยอดขาย ปรับปรุงการสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO เพื่อเข้าถึงฐานลูกค้าในวงกว้างยิ่งขึ้น
วิธีการเขียน Copywriting SEO
ในการเขียน Copywriting ทั้งในส่วนของ Title Tags, Meta Description หรือในคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ให้ถูกต้องและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ SEO นั้นมีอยู่ด้วย 6 เทคนิคที่เราอยากแนะนำ ดังนี้
1. ใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
การเขียน Copywrting โดยใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณถือว่าเป็นเทคนิคการเขียน Copywrting ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ได้เพียงเริ่มจากการค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของ คุณ ผ่านการใช้ SEO Tools เช่น Ahrefs, Screaming Frog, SEMRush, Ubersuggest หรือเครื่องมือฟรีอย่าง Google Keyword Planner เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ ปริมาณการค้นหา (Search Volume) ดูปริมาณการแข่งขันของแต่ละ Keyword แล้วเขียนลงไปในส่วนของ Title Tags, Meta Description หรือในคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ ก็จะช่วยให้ Google Algorithm เข้าใจได้ว่าเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวข้องกับอะไร และแสดงผลในหน้าการค้นหาได้
2. หาให้เจอว่าลูกค้าจะชอบถามหรือสงสัยอะไรจาก Related Search
หาให้เจอว่าลูกค้าจะค้นหาด้วยคำถามว่าอะไร ด้วยการดู Related Search ที่จะแสดงขึ้นบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) สามารถทำให้คุณได้เข้าใจพฤติกรรมและคำถามที่ลูกค้าต้องการค้นหา เพื่อการนำมาสร้าง Copywriting ที่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ จากนั้นจึงนำ Keyword และคำถามเหล่านั้นมาสอดแทรกในเนื้อหาของ Copywriting ที่คุณกำลังจะเขียน เพื่อสร้างสรรค์ให้ Copywriting ดูมีความน่าสนใจและช่วยแก้ปัญหาของกลุ่มลูกค้าได้จริง
ยกตัวอย่างจากธุรกิจเว็บไซต์ขายเวย์โปรตีน ถ้าคุณอยากรู้ว่าคนที่เข้ามาค้นหา Keyword คำว่าซื้อเวย์โปรตีน พวกเขาจะค้นหา Keyword คำว่าอะไรต่อ เช่น เวย์โปรตีนซื้อที่ไหน, เวย์โปรตีนกินตอนไหน ฯลฯ เมื่อคุณได้สิ่งที่ลูกค้าสงสัยแล้ว ก็นำ Keyword เหล่านั้นมาต่อยอดการสร้าง Copywriting บนเว็บไซต์ของคุณต่อไป เพื่อช่วยให้หน้าเว็บติดอันดับใน Keyword Categories ทั้งหมดของอุตสาหกรรมที่คุณต้องการ
3. เขียนให้ถูกหลักของ Search Intent
การเขียน Copywriting SEO ควรเขียนให้สอดคล้องกับ Search Intent หรือบริบทในการค้นหาของแต่ละ Keyword ซึ่งคุณต้องแยกประเภทของ Search Intent ออกมาให้ได้เป็น 4 ประเภทก่อน แล้วค่อยวาง Keyword ตามประเภทของ Search Intent ที่ต้องการ ดังนี้ (ตัวอย่างให้ธุรกิจของคุณเป็นร้านขายเครื่องทำกาแฟ)
- Informational Intent : ควรใช้ Keyword ที่ให้ความหมายสื่อไปทางการให้ความรู้ เช่น กาแฟมีกี่ประเภท , กาแฟดริปคืออะไร
- Navigational Intent : ให้เน้นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการใช้งาน ช่องทางการติดต่อ และการเดินทางมายังหน้าร้านของคุณ เช่น วิธีเปิดเครื่องทำกาแฟ , เครื่องทำกาแฟซื้อที่ไหน
- Commercial Intent :ให้เน้น Keyword ที่คิดว่าลูกค้าจะต้องค้นหาแน่ ๆ ถ้าพวกเขาจะทำการซื้อสินค้าของคุณ เช่น เครื่องทำกาแฟยี่ห้อไหนดี , เครื่องทำกาแฟราคา
- Transactional Intent : เน้น Keyword ที่สามารถนำไปสู่การปิดการขายได้ ควรมีชื่อแบรนด์หรือชื่อผลิตภัณฑ์อยู่ในนั้น เช่น ซื้อเครื่องทำกาแฟ Nespreso, เครื่องทำกาแฟ Nespreso ราคาถูก ฯลฯ
เมื่อคุณแยก Keyword ออกตามประเภทของ Search Intent แล้ว ก็จะเป็นเรื่องง่ายในการนำ Keyword เหล่านั้นมาสร้างเป็น Copywrting SEO ให้เว็บไซต์แต่ละหน้า ตาม Journey ในการค้นหาของลูกค้า เช่น Informational Intent Keyword ควรจะเอามาใช้ในหน้าบทความ เพราะจะได้ให้ลูกค้าหาเจอได้ง่าย / Transactional Intent Keyword ควรใช้ในหน้าเว็บสำหรับการสั่งซื้อสินค้า เพราะจะนำไปสู่การปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเป็นต้น
4. มี Call To Action ที่ชัดเจน
ข้อนี้ถือว่ามีส่วนสำคัญกับเรื่องยอดขายของธุรกิจคุณ เพราะการเขียน Copywriting SEO ในส่วนของ Call To Action ในบทความที่ดีนั้น สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ได้ด้วยการเขียนข้อความบางอย่างที่ทำให้พวกเขาอยากกดเข้าไปอ่านยังหน้าอื่น ๆ ของบทความต่อ (และอย่าลืมใส่ Internal Link ด้วย) เพื่อไม่ให้เกิด Bounce Rate (เข้ามาแล้วกดออกจากเว็บไป) และทำให้ค่า Avarage Time On Page ของเว็บไซต์คุณดีขึ้น ซึ่งทั้ง 2 Metrics ดังกล่าว ถือว่าสำคัญต่อการทำ SEO เพิ่มอันดับให้เว็บไซต์ทั้งสิ้น
โดยการเขียน Call To Action สำหรับการทำ SEO นั้นควรใส่ Call To Action ไว้บริเวณช่วงบนหรือกลางของหน้าบทความ เพราะจะช่วยเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เจอกับ Call To Action ได้เร็วขึ้น ในกรณีที่คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ไม่ได้เลื่อนอ่านบทความตั้งแต่ต้นจนจบ
5. การวิเคราะห์การเขียน Copywriting ของคู่แข่ง
การวิเคราะห์การเขียน Copywriting ของคู่แข่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการเขียน Copywriting เพื่อการทำ SEO และอาจเป็นวิธีที่ใช้กันบ่อย สำหรับธุรกิจที่ทำ SEO อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา เพราะการวิเคราะห์การเขียน Copywriting ของคู่แข่งนั้นมีข้อดีมากมาย เช่น สามารถดูวิธีที่คู่แข่งใช้สื่อสารกับลูกค้าได้ การศึกษาว่าคู่แข่งมีการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอย่างไร จะช่วยให้เข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเนื้อหาที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้คุณได้ไอเดีย ในการเขียน Copywriting SEO ที่สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ เมื่อเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง คุณสามารถสร้างความแตกต่างและเสนอข้อเสนอที่ไม่เหมือนใคร เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้น การวิเคราะห์การเขียน Copywriting ของคู่แข่งอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนากลยุทธ์การเขียน Copywriting เพื่อการทำ SEO ให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีมากขึ้นด้วย
6. การเขียนต้องกระชับและให้ลูกค้าเข้าใจง่ายที่สุด
และสุดท้ายการเขียน Copywriting SEO ไม่ว่าจะเขียนในส่วนไหนของเว็บไซต์ ควรเขียนให้กระชับและให้ลูกค้าเข้าใจง่ายที่สุด ไม่มีเนื้อหายืดเยื้อจนเกิดไป เพราะในปัจจุบันผู้ใช้งานมักจะมีความสนใจจำกัด และไม่ต้องการอ่านเนื้อหาที่ยาวเกินไป การเขียน Copywriting ที่มีจำนวนคำเกิน 100 คำขึ้นไป เพราะจะทำให้ผู้ใช้งานสามารถจับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็วและสนใจอ่านเนื้อหาอื่น ๆ ที่อยู่ในเว็บไซต์ของคุณได้ต่อไป
อีกทั้ง การเขียน Copywriting SEO ที่มีเนื้อหาที่กระชับและเข้าใจง่ายจะช่วยให้ Google Algorithm เข้าใจบริบทของเนื้อหา สามารถจัดลำดับเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับและการจัดอันดับที่ดีขึ้นด้วย
วิธีการฝึกเขียน Copywriting
ในการฝึกเขียน Copywriting SEO นั้นสามารถเริ่มฝึกเขียนได้ง่าย ๆ ไม่จำเป็นว่าต้องมีประสบการณ์งานคอนเทนต์หรือบทความ SEO มาก่อน ก็เขียนได้ ถ้าทำตามเทคนิคการฝึกเขียน Copywriting SEO ทั้ง 3 เทคนิคต่อไปนี้
1. วิเคราะห์คู่แข่ง และใช้ SERP Simulator ช่วยวาง Copywriting
- ศึกษาการเขียน Copywriting ของคู่แข่งที่ติดอันดับผลการค้นหา เพื่อดูว่าพวกเขาใช้กลยุทธ์และ Keyword อะไรในการเขียน
- ทดลองใช้ SERP Simulator เช่น Mangools ในการจำลองการวางคำในหน้า Google เพื่อดูว่าเนื้อหาของคุณจะแสดงผลเป็นอย่างไร มีความน่าสนใจและดึงดูดความสนใจของผู้ใช้หรือไม่
- วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของ Copywriting ของคู่แข่ง เช่น ใช้Keywordอย่างไร มี CTA หรือไม่ เน้นที่จุดไหน ฯลฯ
- นำจุดแข็งที่เห็นมาปรับใช้ในการเขียน Copywriting ของคุณเอง เพื่อให้โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง
2. ฝึกเขียนและทดสอบหลาย ๆ รอบ
- เขียน Copywriting ลองผิดลองถูกหลาย ๆ เวอร์ชัน โดยลองเปลี่ยนกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น หัวเรื่อง, CTA, การใช้ Keyword ลองทำมาหลาย ๆ ดราฟท์เพื่อเอาไปใช้ทดสอบไปเรื่อย ๆ ในกรณีที่ผลลัพธ์ของการทำ SEO ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
- เมื่อได้ Copywriting ที่สามารถ Drive Traffic มาให้เว็บไซต์ได้ให้ยึดเอาโครงของ Copywriting นั้นมาใช้ในการเขียนครั้งต่อ ๆ ไปหรือในแคมเปญอื่น ๆ
3. อย่าฝืนยัด Keyword มากเกินจนอ่านไม่รู้เรื่อง
และสุดท้ายในการเขียน Copywriting SEO นั้น จริงอยู่ว่าเรื่อง Keyword นั้นสำคัญ แต่เราต้องอย่าใช้ Keyword ใส่ลงไปในประโยคเยอะเกินไป จนอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถจับใจความได้ ควรฝึกฝนการใช้ Keyword ในเนื้อหาอย่างกลมกลืนและธรรมชาติ ไม่ใช้อย่างฝืน ๆ หรือควรทดลองจัดวาง Keyword ในตำแหน่งต่างๆ ของเนื้อหา (หัวข้อ, ย่อหน้า, อื่นๆ)
การฝึกเขียน Copywriting ตามเทคนิคที่เราได้แนะนำไป จะช่วยให้คุณมีทักษะในการเขียน Copywriting SEO ที่ดึงดูดและตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้ามาช่วยยกระดับการทำ SEO ของคุณได้เป็นอย่างดีแน่นอน