Home - SEO - SEO คืออะไร พร้อมวิธีการทำ SEO ปี 2024 อ่านจบเริ่มต้นเป็น !

SEO คืออะไร พร้อมวิธีการทำ SEO ปี 2024 อ่านจบเริ่มต้นเป็น !

SEO

สำหรับใครที่กำลังหาวิธีทำการตลาดให้กับเว็บไซต์รวมไปถึงการหาลูกค้าใหม่ การเพิ่มยอดขาย ผมเชื่อว่า การทำ SEO (Search Engine Optimization) คือหนึ่งในเทคนิคการทำการตลาดออนไลน์ที่ได้ประสิทธิภาพเป็นอันดับต้น ๆ ที่นักการตลาดออนไลน์ ไม่รู้ ไม่ได้เลยว่าการทำ SEO คืออะไร มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร

เพราะการทำ SEO นั้นจะช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณสร้างโอกาสในการติดหน้าแรกของการค้นหาบน Search Engine (เช่น Google) เป็นส่วนช่วยให้ธุรกิจของคุณถูกค้นหาเจอและเป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อมีการค้นหาใน Keyword ต่าง ๆ แบบที่คุณไม่ต้องเสียเงินสักบาทในการทำเลย

แต่การทำ SEO ก็ไม่ใช่เทคนิคง่าย ๆ ที่คุณจะสามารถเริ่มทำได้เลย โดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลอะไรก่อน ในบทความนี้เราจะขอพาคุณไปศึกษาทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ในปี 2024 เพื่อการสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มากกว่าให้คุณ หากพร้อมแล้ว ไปติดตามกัน

SEO คืออะไร ?

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือ กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มยอดการเข้าชมของลูกค้า (Organic Traffic) จากผลการค้นหาในแต่ละ Keyword ให้เหมาะสมกับ Search Engine (เช่น Google) โดยอาศัยเทคนิคการปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์ให้เข้าข่ายอยู่ในเกณฑ์การพิจารณาอันดับของ Search Engine

การทำ SEO มีประโยชน์อย่างไร

การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ (Ranking) การค้นหาอันดับต้น ๆ หรือหน้าแรกของ Search Engine นั่นเอง โดยถ้าเว็บไซต์ของคุณสามารถทำอันดับได้ดีมากเท่าไร โอกาสที่ผู้ใช้งานหรือว่าที่ลูกค้าจะเห็นหรือเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเมื่อเวลาที่พวกเขาใช้งาน Search Engine ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้ยอดขายของธุรกิจคุณเพิ่มขึ้นตามมาด้วยนั่นเอง

SEO Marketing สําคัญอย่างไร

seo marketing คืออะไร

SEO Marketing มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการสร้างธุรกิจให้เติบโตด้วยช่องทางออนไลน์ เพราะการทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถไปติดอันดับการค้นหาบนหน้าแรกของ Google ในคีย์เวิร์ดต่างๆ ถือเป็นเรื่องที่คุณประสบความสำเร็จมาก ๆ สำหรับการทำการตลาดออนไลน์

ช่วยให้แบรนด์ของคุณสามารถเข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมากต่อวัน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณอีกด้วย ส่งผลให้เว็บไซต์และธุรกิจคุณจะกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ (หรืออันดับแรก) ของผู้ใช้งาน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันเราสามารถเริ่มต้นทำ SEO ง่าย ๆ โดยการเริ่มทำ Local SEO ก่อนธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือธุรกิจเล็ก ๆ

ความแตกต่างระหว่าง SEO กับ Google Ads ?

จริงอยู่ที่การทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้น ๆ ในหน้าการแสดงผลการค้นหา แต่ไม่ได้มีเพียงแค่การทำ SEO เท่านั้นถึงจะทำแบบนั้นได้ คุณสามารถใช้เงิน ในการแก้ปัญหาได้ครับ ด้วยการใช้งาน Google Ads ในการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ของหน้าการค้นหา ผ่านการซื้อโฆษณา ซึ่งทั้งการทำ SEO และ Google Ads ก็ล้วนเป็นเทคนิคของการทำ Search Engine Marketing (SEM) เหมือนกันทั้งคู่

แต่มีความแตกต่างกันก็คือ Google Ads คือการซื้อโฆษณาในหน้าแสดงผลการค้นหาของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ บน Google (หรือเรียกอีกชื่อว่า Search Ads หรือ Paid Search) แต่การทำ SEO จะต้องอาศัยการปรับแต่งเว็บไซต์ไปเรื่อย ๆ โดยที่จะไม่มีเรื่องของค่าใช้จ่ายในการซื้อโฆษณา (Organic Search)

Google Ads จะเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการให้เว็บไซต์ของตนขึ้นไปติดอันดับการค้นหาบน Search Engine อย่างรวดเร็ว โดยไม่อยากพึ่งการทำ SEO ที่จะต้องอาศัยเวลานานกว่าจะเห็นผล

โดยระบบการคิดเงินของ Google Ads ก็จะคิดเงินทุกครั้งที่มีคนกดคลิกเข้ามาดูเว็บไซต์เราจากหน้าการค้นหาบน Google (หรือเรียกว่า PPC – Pay Per Click) ซึ่งราคานี้ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามการแข่งขันรวมถึง Search Volume แต่ละ Keyword

ในกรณีที่คุณเลือกใช้งาน Google Ads นั้นเว็บไซต์ของคุณจะปรากฏอยู่ส่วนบนสุดของหน้าการค้นหา เหนือกว่าเว็บไซต์ที่ทำ SEO โดย จะมีสัญลักษณ์ที่เขียนว่า Ad อยู่ด้านหน้า URL แม้จะดูเป็นเรื่องดี แต่คุณต้องเสียเงินในการซื้อโฆษณาทุกวัน/เดือน อาจทำให้ธุรกิจคุณสิ้นเปลืองงบประมาณในระยะยาวได้ ดังนั้นการทำ SEO ที่เป็นวิธีการทำโดยไม่เสียเงิน จะมีความยั่งยืนทำให้คุณยึดอันดับได้นานกว่านั่นเอง

SEO จำเป็นไหม ควรเริ่มทำตอนไหนดี

“คนไทยใช้ Google ในการค้นหาสิ่งต่างๆมากถึง วันละ 3,000,000 ครั้ง”

หากคุณต้องการทำการตลาดออนไลน์ที่ได้ผลลัพธ์ การทำ SEO นั้นถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อธุรกิจมาก เพราะวิธีนี้เปรียบเหมือนการสร้างโอกาสให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงธุรกิจของคุณได้มากขึ้น จากช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการทำคอนเทนต์เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ เช่น ธุรกิจแบบ B2B ไปจนถึงธุรกิจขนาดเล็ก

การทำ SEO นี่แหละคือช่องทางที่เหมาะที่สุดสำหรับธุรกิจคุณ (มากกว่า Social Media ซะอีก) เพราะช่องทางนี้จะช่วยทำให้ลูกค้าได้ศึกษาคอนเทนต์ของคุณก่อนการตัดสินใจซื้อ และยังเป็นตัวช่วยในการเพิ่มความน่าเชื่อถือชั้นดี ให้กับธุรกิจของคุณอีกด้วย (จากการมีเว็บไซต์ที่ติดอันดับการค้นหา)

แล้วการทำ SEO ควรเริ่มทำเมื่อไรถึงจะดีต่อธุรกิจที่สุด คำตอบนี้ง่ายมากครับ คือ ควรเริ่มทันทีหลังจากที่ธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์ เพราะการแข่งขันบนโลกออนไลน์ไม่มีคำว่าวันหยุด วันที่คุณปล่อยผ่านไป คู่แข่งของคุณก็อาจจะแซงหน้าคุณไปก็ได้ ดังนั้นทุกวันคือโอกาส อย่าปล่อยให้ว่าที่ลูกค้าของคุณหลุดลอยไป

ยิ่งในปี 2024 นี้ด้วย ถ้าธุรกิจของคุณมีเว็บไซต์ แต่ยังไม่เคยใส่ใจการทำ SEO ผมว่าตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่คุณจะต้องศึกษาเรื่องของ SEO และมาเรียนรู้จักกันจริง ๆ ว่าการทำ SEO คืออะไร เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในปีนี้

การทำงานของ SEO มีกี่ขั้นตอน
SEO มีกี่ขั้นตอน

สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มต้น เรียนรู้เกี่ยวกับการทำ SEO ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจคอนเซ็ปท์ วิธีการทำงานของ Google กันก่อนที่จะมารู้จักขั้นตอนของการทำ SEO ว่ามันคืออะไร

กระบวนการทำงาน SEO นั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ขั้นตอน ซึ่งผมจะขอยึดตามกระบวนการทำงานของ Google ได้แก่

Crawling

Crawling คือ การที่กูเกิ้ลจะเริ่มส่ง Googlebot (หรือ Spider, Web Crawl) ออกไปเก็บ Data ของเว็บไซต์ทั้งหมดที่กระจายอยู่บนอินเทอร์เน็ตจากทั่วโลก โดยหน้าที่ของ Googlebot ก็จะวิ่งไปตามเว็บไซต์ทั้งหมดผ่านลิงก์ที่เชื่อมโยงกันแล้วทำการเริ่มวิเคราะห์แต่ละเว็บไซต์ว่า นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร, เว็บไซต์นั้น เกี่ยวข้องกับคำค้นหา (Keyword) อะไร

Indexing

ขั้นตอนต่อมาเมื่อ Googlebot ออกไปเก็บข้อมูลจนทราบแล้วว่าเว็บไซต์แต่ละเว็บเกี่ยวข้องกับอะไร มีคำค้นหา (Keyword) อะไร ก็จะนำมาเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล (Indexing) ผ่าน Algorithm ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยทีมของ Google ที่เปรียบเหมือนลิ้นชักหรือชั้นหนังสือในการจัดเก็บประเภทของเว็บไซต์ทั้งหมดว่า แต่ละเว็บไซต์นั้นเป็นเว็บไซต์อะไรและมีความเกี่ยวข้องกับอะไร

Serving & Ranking

ทันทีที่ผู้ใช้งานเปิดใช้งาน Google และเริ่มทำการค้นหาด้วย Keyword ฝั่งระบบของ Google ก็จะแสดงผลการค้นหาเป็น List ของเว็บไซต์ที่ถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูล (Indexing) ซึ่งเว็บไซต์นั้นจะถูกจัดเรียงอันดับในหน้าการแสดงผลการค้นหา โดยมี Search Engine Algorithm (ระบบการทำงานของ Google ที่จะจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้าแสดงผลการค้นหา) เป็นตัวเลือกว่าเว็บไซต์ไหน จะได้อยู่อันดับที่เท่าไหร่ ซึ่งจะต้องมี Keyword หรือเนื้อหาของเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้งานค้นหามากที่สุด

อ่านบทความที่เกี่ยวกับ การทำงานของ Google ฉบับเต็ม

ขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO marketing
เริ่มทำ seo marketing

ขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO marketing แบบมีประสิทธิภาพต่อธุรกิจ นั้นมีอยู่ด้วยกัน 7 วิธี ดังนี้

1. วางกลยุทธ์กำหนดเป้าหมาย

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำ SEO มักจะใช้ 3ท บ่อย ๆ คือ ทำ ทัน ที  โดยไม่ได้วางแผนให้ดีก่อน รู้ไหมครับ การทำ SEO ส่วนแรกสุด คือ การวางกลยุทธ์ ยิ่งเราวางแม่นเท่าไหร่ โอกาสที่จะเติบโตในการทำ SEO ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้

ในขั้นตอนแรกของการทำ SEO นั้นคุณต้องมีการวางกลยุทธ์และกำหนดเป้าหมายว่าในการทำ SEO คุณต้องการให้ธุรกิจได้ผลลัพธ์อะไร เช่น Awareness, Traffic, Leads, Conversion พร้อมกำหนด กลุ่มคีย์เวิร์ด ที่ต้องการจะไปแข่งขัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ผมทำเว็บไซต์ขายคอนโด คีย์เวิร์ดทางตรงสำหรับผมก็จะเป็น คอนโด ราคาเท่าไหร่, คอนโด พระราม 9 สำหรับทางอ้อม เช่น ไอเดียการแต่งบ้าน

ซึ่งวิธีการทำแบบนี้ จะช่วยทำให้คุณทำ SEO ได้อย่างถูกต้อง ตามเป้าหมาย ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก และยังช่วยทำให้คุณกำหนดกลยุทธ์การเลือก Keyword ในขั้นตอนต่อไปได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย

หรือถ้าคุณยังไม่มีกลยุทธ์ สำหรับแผน SEO ก็สามารถปรึกษา ฟรี ในบริการ รับทำ SEO ของ Nerdoptimize ได้ครับ

2. Research Keyword วางโครงสร้างเว็บไซต์

หลังจากที่คุณกำหนดเป้าหมายของการทำ SEO ได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือขั้นตอนที่สำคัญของการทำ SEO ก็คือการกำหนด Keyword หรือคำค้นหาที่คุณจะใช้สำหรับการทำ SEO ให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลเมื่อผู้ใช้งานเกิดการค้นหาคำนั้น ๆ

โดยอันดับแรกคุณต้องทำ Research Keyword ก่อนเพื่อหาว่าผู้ใช้งานหรือลูกค้าส่วนใหญ่มักจะค้นหาด้วยคำค้นหาแบบไหนหรือทำให้คุณรู้ว่า Keyword อื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับคำที่คุณคิดไว้ รวมถึงดูอัตราการแข่งขันใน Keyword แต่ละคำด้วยว่ามีอัตราการค้นหา (Search Volume) สูงแค่ไหน ความยากง่ายเป็นอย่างไร หรือในกรณีที่คุณต้องการซื้อโฆษณา Google Ads คำนั้นมีค่า Click through rate (CTR) อยู่ที่คลิกละกี่บาท เพื่อการหา Keyword ที่คุณคิดว่าคุณพอจะขึ้นไปอยู่ในอันดับการค้นหาหน้าแรกได้

ซึ่งในการ Research Keyword นั้นคุณสามารถใช้เครื่องมือ (Tools) ในการช่วยค้นหาได้ ที่มีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน โดยความสามารถก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest, Ahrefs และเครื่องมืออื่น ๆ

. สร้างเว็บไซต์

หลังจากที่คุณได้ Keyword หรือไอเดียในการหา Keyword แล้วต่อมาก็คือการให้เริ่มสร้าง “เว็บไซต์” ให้ถูกเกณฑ์ของ SEO หรือพูดง่าย ๆ ก็คือการสร้างเว็บไซต์และปรับแต่งโครงสร้างของเว็บไซต์ ที่คุณควรจะต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ต้นน้ำ เริ่มตั้งแต่

การหาบริการเช่า Hosting สำหรับสร้าง SEO network ที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะ การจดชื่อ Domain หรือชื่อของเว็บไซต์คุณที่จะต้องเป็นชื่อที่จำง่าย สะกดไม่ยาก เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อการเข้าถึงแบบสากล ให้ Google เข้าใจได้ง่ายขึ้นและสะดวกต่อการจัดอันดับของ Search Engine Algorithm

การเลือกใช้งานระบบเว็บไซต์แบบ HTTPS (https://…) ที่ถือเป็นระบบการเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีการเข้ารหัส เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานเว็บไซต์ เพราะทาง Google นั้นให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้เป็นสำคัญ ดังนั้นเว็บไซต์ไหนที่ใช้งานระบบ HTTPS ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ Google จัดอันดับเว็บไซต์ของคุณให้แสดงผลบนหน้าการค้นหาอันดับต้น ๆ อีกด้วย

*ถ้าเว็บไซต์ไหนที่เข้าข่ายไม่ปลอดภัย Google จะมีระบบจัดการที่ชื่อว่า Google Safe Browsing ที่จะคอยตรวจหาเว็บไซต์ที่มีโอกาสรุกล้ำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน และจะขึ้น Pop-Up (สีแดง) แจ้งเตือนถึงความไม่ปลอดภัยของเว็บไซต์ก่อนการเข้าใช้งาน ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์นั้นได้ (Traffic ก็จะลดลงโดยปริยาย)

นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของการวางโครงสร้างของเว็บไซต์ หรือ Site Structure ที่ต้องทำให้ทุกเพจบนเว็บไซต์สามารถเชื่อถึงกันได้ หรือทางเชิงเทคนิคก็อาจจะรวมถึงด้าน Coding เพิ่มเข้ามาด้วย

ผู้ให้บริการ hosting ที่ผมจะแนะนำในประเทศไทยเลยก็คือ hostatom ครับ

4. เขียน Content SEO

เมื่อเว็บไซต์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ขั้นตอนต่อมาเราก็จะเริ่มมาใส่ “คอนเทนต์” หรือเนื้อหาต่าง ๆ ลงไปในเว็บไซต์, เว็บเพจของเรา ซึ่งเรื่องของการสร้างคอนเทนต์นั้น ถือว่ามีความสำคัญต่อ SEO เป็นอย่างมากเพราะหากคุณมีการใส่คอนเทนต์ที่มี Keyword ที่คุณต้องการลงไป เพื่อให้ติดอันดับการค้นหาใน Keyword นั้น ๆ

และต้องสร้างคอนเทนต์แบบ Useful Content หรือต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ น่าอ่าน น่าติดตาม ก็จะช่วยดึงดูดผู้ใช้งานกลายมาเป็นลูกค้าของเราได้โดยง่าย

ซึ่งในปัจจุบันการเขียน Content SEO ก็จะต้องมีเรื่องของ Search Intent หรือเจตนาการค้นหาของผู้ใช้งานบน Google เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะพฤติกรรมผู้ใช้งานส่วนใหญ่เริ่มหันมาค้นหาเรื่อง/บริบท ที่ตัวเองต้องการรู้ใน Google มากขึ้น เช่น Digital Marketing คืออะไร,วิธีย้ายค่ายเบอร์เดิม, พารากอนเปิดกี่โมง, เรียน SEO ที่ไหนดี หรืออื่น ๆ

เลยทำให้การทำคอนเทนต์ SEO ในปัจจุบันต้องคำนึงถึงเรื่องการสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับ Search Intent หรือความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้นด้วยนั่นเอง

5. ปรับแต่ง On-Page SEO

ขั้นตอนต่อมา หลังจากที่เราได้สร้างคอนเทนต์สำหรับการทำ SEO ไปบางส่วนแล้ว ต่อมาเราจะเริ่มทำการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามความต้องการของ Google มากยิ่งขึ้นด้วยการทำ On-Page SEO (หรือ On-Site SEO) ที่จะเป็นการปรับแต่งเนื้อหาคอนเทนต์ภายในหน้าเว็บไซต์ทั้งหน้าหลักและหน้าเพจอื่น ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์สามารถติดหน้าแรกเมื่อมีการค้นหาบน Google

โดยการทำ On-Page SEO ที่ดีนั้นจะต้องเน้นไปที่การสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ใช้งานว่าเว็บไซต์ในแต่ละเพจนั้นเกี่ยวกับอะไร และต้องทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด (หรือให้อยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานๆ) โดยวิธีการทำ On-Page SEO จะต้องอาศัยการปรับแต่งเว็บไซต์หลัก ๆ ดังนี้

  • การใส่ Keyword ของธุรกิจคุณลงไปการทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์ใน 100 คำแรก หรือตามหัวข้อ (heading) ต่าง ๆ
  • การปรับแต่ง Title tags , Meta Description ด้วยการใส่ Keyword ของเว็บไซต์คุณลงไปด้วย จะช่วยให้ Search Engine Algorithm พิจารณาอันดับของคุณได้ดีขึ้น
  • ย่อขนาดของไฟล์รูปภาพและสื่ออื่น ๆ เช่นวิดีโอให้มีขนาดไฟล์ที่เล็ก เพื่อทำให้เว็บไซต์สามารถดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น (PageSpeed)
  • การทำ Internal Links ให้เชื่อมลิงก์ไปยังหน้าเพจต่าง ๆ (หรือ Anchor Link) เพื่อทำให้ผู้ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์คุณได้นานขึ้น
  • การใส่ HTML Tags (H1, H2, H3..) เพื่อจัดอันดับความสำคัญของเนื้อหาของหน้าคอนเทนต์
  • ออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับได้ในทุกอุปกรณ์การแสดงผล อย่างเช่นสมาร์ทโฟน (Mobile friendly) แท็บเล็ต หรืออื่น ๆ โดย Google จะพิจารณาอันดับการแสดงผลจากปัจจัยนี้ด้วย

6. Link Building

เมื่อเราได้ทำ On-Page SEO หรือการปรับแต่งที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายในของเว็บไซต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือการทำ Link Building หรือเทคนิคในการทำให้เว็บไซต์อื่น ๆ ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์เรา (เรียกอีกอย่างว่าการทำ Off-Page SEO) ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของเราได้รับความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ใช้งาน เพราะถือว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพมากพอที่จะเป็นแหล่งอ้างอิงให้เว็บไซต์อื่นได้

ซึ่งแน่นอนว่าการที่เว็บไซต์อื่น ๆ Backlink กลับมาหาคุณ นอกจากเรื่องของความน่าเชื่อถือแล้ว ยังส่งผลต่ออันดับการแสดงผลบนหน้าการค้นหาด้วย เพราะเว็บไซต์ไหนที่ได้ Backlink กลับมาเยอะระบบ Algorithm ของ Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและให้คะแนนผลการจัดอันดับดีขึ้นนั่นเอง

โดยวิธีการที่จะทำให้คุณได้ Backlink กลับมายังเว็บไซต์นั้น ปัจจุบันมีอยู่หลายเทคนิคทั้งดีและไม่ดี (การทำ SEO สายดำ) ซึ่งเราแนะนำว่าให้คุณทำแบบที่ถูกต้องหรือการทำ SEO สายขาวดีกว่าครับ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • การเขียนคอนเทนต์คุณภาพที่มีคุณค่าต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (วิธีนี้ดีที่สุด)
  • พยายามสร้างรูปภาพ, Infographic หรือสื่อวิดีโอลงไปในบทความของคุณด้วย เพื่อให้ผู้ที่นำรูปไปใช้ทำการอ้างอิงกลับมา
  • ลองจ้าง, ขอความร่วมมือจากเว็บไซต์ใหญ่ ๆ ให้พวกเขาเขียนคอนเทนต์แล้ว Backlink กลับมาหาคุณ
  • ไปเป็น Guest Writing ให้กับเว็บไซต์ต่าง ๆ แล้วใช้โอกาสนี้สร้าง Backlink กลับมาหาเว็บไซต์คุณ
  • ใช้ Social Media ในการแชร์เว็บไซต์หรือบทความของเราไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter หรือโซเชียลมีเดียช่องทางอื่นๆ ก็จะทำให้เว็บไซต์ของคุณ มี Traffic, Click Rate เพิ่มขึ้นทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณค่า

ถึงแม้ว่าการทำ Link Building อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณโดยตรง แต่การทำ Link Building นั้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

7. Measurement (วัดผล) & Optimization (ปรับแต่งแก้ไข)

และขั้นตอนสุดท้ายหลังจากที่คุณได้ทำการปรับแต่งเว็บไซต์ทั้ง On-Page และ Off-Page เรียบร้อยแล้วนั้น สิ่งที่คุณจะต้องห้ามละเลยเด็ดขาด (นักการตลาดหลายคนมาตกม้าตายกันตรงนี้) นั่นก็คือเรื่องของการวัดผล (Measurement) และการปรับแต่งแก้ไข (Optimization)

เพราะถ้าหากคุณทำ SEO โดยไม่ได้มีการวัดผลเลย คุณก็จะไม่รู้เลยว่า ณ ปัจจุบันเว็บไซต์หรือการทำ SEO ของคุณได้เข้าใกล้เป้าหมายที่คุณตั้งไว้ในข้อ 1 แล้วมากน้อยเพียงใด และถ้าในกรณีที่เว็บไซต์ของคุณยังไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ มันเกิดจากสาเหตุอะไร

ซึ่งในการวัดผลสำหรับการทำ SEO นั้น คุณสามารถเข้าไปดูสถิติเหล่านี้ได้ผ่านเครื่องมืออย่าง Google Analytics, Google Search Console, Google Data Studio โดยสำหรับผู้เริ่มต้นเราจะโฟกัสไปที่ Metrics ต่าง ๆ ดังนี้

  • Ranking – อันดับของเว็บไซต์คุณในหน้าการแสดงผลของ Keyword แต่ละคำ ถือเป็นปัจจัยทีสำคัญของการทำ SEO ที่สุด ซึ่งคุณสามารถใช้เครื่องมือในการติดตามอันดับของเว็บไซต์เช่น Proranktracker เป็นตัวช่วยได้ (เราแนะนำ)
  • Impressions – จำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์ของคุณผ่านการค้นหาบน Google ไม่ว่าเว็บไซต์ของคุณจะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ จะนับเป็น 1 Impressions ถ้าเว็บไซต์ไหนมี Impression สูงก็เท่ากับว่ามีผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์เยอะนั่นเอง
  • Clicks – จำนวนคลิกหรือจำนวนคนที่กดเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ ผ่านหน้าการค้นหาบน Google
  • Traffic – จำนวนผู้กดเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์และเข้าไปใช้เวลาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ของคุณ (ซึ่งการทำ SEO จะทำให้เว็บไซต์ของคุณได้ Organic Traffic หรือ Traffic แบบที่ไม่เสียเงิน)

และในส่วนต่อมาหลังจากที่คุณได้รู้ Metrics สถานการณ์ปัจจุบัน หรือข้อบกพร่องของการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณแล้ว เราก็จะมาเริ่มทำการปรับแต่งแก้ไข ให้การทำ SEO นั้นดีขึ้น

ข้อห้ามในการทำ SEO

จริงอยู่ที่การทำ SEO ถือเป็นเทคนิคในการทำให้เว็บไซต์ของคุณนั้นขึ้นไปอยู่ในอันดับต้น ๆ ของหน้าการแสดงผลการค้นหาได้ แต่การทำ SEO นั้นก็มีข้อห้ามในการทำอยู่ ซึ่งถ้าเว็บไซต์ไหนที่ฝ่าฝืนอาจส่งผลถึงอันดับที่จะร่วงลงมาทันทีและอาจเป็นผลเสียต่อการสร้างธุรกิจในระยะยาว ดังนี้

1. ห้ามเขียนคอนเทนต์โดยไม่มีคีย์เวิร์ด

การเขียนคอนเทนต์โดยที่ไม่มี Keyword ถือว่าเป็นข้อห้ามสำหรับการทำ SEO ด้วยคอนเทนต์ เพราะหากคุณไม่ได้มี Keyword อยู่ในบทความตัวระบบ Search Engine Algorithm ของ Google ก็จะหาเว็บไซต์ของคุณไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่าเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวข้องกับอะไร ทำให้สุดท้าย Google ไม่สามารถจัดอันดับการแสดงผลของเว็บไซต์ได้นั่นเอง

2. ห้ามทำ Duplicate Content

การทำ Duplicate Content คือการนำคอนเทนต์หรือบทความของเว็บไซต์คนอื่น มา Copy และใส่ไว้ในเว็บไซต์ของตัวเองแบบโต้ง ๆ เพราะคุณอาจเห็นว่าเว็บไซต์นี้ เขียนคอนเทนต์แบบนี้แล้วติดอันดับต้น ๆ ของการค้นหา เลยขอ Copy มาเลยเพราะหวังว่าเว็บไซต์เราจะติดอันดับต้น ๆ แบบเขาบ้าง

ความคิดแบบนี้เป็นอะไรที่ผิดมหันต์ เพราะ Google มีระบบ Algorithm ที่ฉลาดพอที่จะตรวจสอบข้อมูล ความใกล้เคียงของเนื้อหา ซึ่งจะให้คะแนนเว็บไซต์ที่มีอายุมากกว่าและมี Traffic เยอะกว่าก่อนเสมอ ทำให้ต่อให้คุณ Duplicate มาทั้งหมดก็ไม่มีวันแซงต้นฉบับได้ และถ้าในกรณีที่เว็บไซต์ต้นฉบับเกิดทราบเรื่อง คุณอาจโดนดำเนินคดีทางกฎหมายได้เลย ดังนั้นหลีกเลี่ยงวิธีแบบนี้เป็นเรื่องดีที่สุด

3. ห้ามใช้โปรแกรมสปินบทความ

โปรแกรมสปินบทความ คือโปรแกรมประเภท Re-Write คอนเทนต์ที่จะนำคำที่มีความหมายใกล้เคียงกับคอนเทนต์ต้นฉบับมาแทนที่คำเดิมเพื่อเปลี่ยนให้เป็นเนื้อหาใหม่ เป็นเหมือนการ Duplicate Content แบบไม่ให้มีคนจับได้

แต่ความจริงแล้วการสปินบทความ คอนเทนต์ที่สปินมาได้ส่วนใหญ่จะได้ความหมายที่อ่านไม่รู้เรื่อง ยากต่อการเข้าใจ คิดภาพตามง่าย ๆ ก็เหมือนเราใช้ Google Translate ประโยคยาว ๆ แม้จะแปลความหมายได้แต่บริบทของเนื้อหาจะเปลี่ยนไป

ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่า Algorithm จะไม่ชอบลักษณะคอนเทนต์ที่ไม่มีคุณภาพแบบนี้ และอาจส่งผลต่ออันดับการค้นหาของเว็บไซต์คุณด้วย (รวมถึง Traffic จากผู้ใช้งานก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้ด้วยเหมือนกัน)

4. ห้ามสแปม Backlink

สแปม Backlink คือเทคนิคการจงใจสร้าง Backlink กลับมายังเว็บไซต์เยอะ ๆ ให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่ดี ผ่านการใช้เว็บไซต์หลุมที่ไม่ได้คุณภาพ (เช่นพวกเว็บพนัน เว็บลามก)

วิธีนี้ถือเป็นวิธีทำมาหากินของการทำ SEO สายดำ ซึ่ง Google สามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ได้ ในกรณีที่เว็บไซต์ที่ Backlink คุณมาเป็นเว็บไซต์คุณภาพต่ำ เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ Google ก็จะประเมินเว็บไซต์ของคุณต่ำลงทันที และแน่นอนว่าส่งผลต่ออันดับการทำ SEO ด้วย

5. ห้ามใช้ Popup ที่ส่งผลไม่ดีต่อผู้ใช้งาน

ในกรณีที่เว็บไซต์ของคุณมี Popup ที่ส่งผลไม่ดีต่อผู้ใช้งาน เช่นมี Popup โฆษณาเยอะ, Popup ที่ลิงก์ไปเว็บอื่นทันที สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งมันจะส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่อยากอยู่บนเว็บไซต์ของคุณต่อ และรีบกดออกไปเพราะความรำคาญ

การกระทำแบบนี้ถือว่าส่งผลเสียต่อ SEO โดยตรงเพราะจะเป็นการลดค่า Bounce Rate หรือค่าที่แสดงการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานในเว็บไซต์ ที่ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการแสดงผลการค้นหา และทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่ได้ Organic Traffic เลย (อาจจะได้แค่ Impression, Click)

คำถามการทำ SEO ที่พบบ่อย

การทำ SEO ใช้ระยะเวลานานแค่ไหน ?

หลายครั้งที่ผู้ที่ไม่รู้ว่า SEO คืออะไร มักจะเร่งรัดในการทำอันดับไว ๆ เพราะไม่เข้าใจคอนเซ็ปท์การทำ SEO ของ Google ซึ่งการทำ SEO โดยทั่วไปจะต้องใช้ระยะเวลาราว 4 – 8 เดือน ( หรืออาจเร็ว-ช้าไปกว่านี้ ) ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น

  • Keyword มีการแข่งขันมาก-น้อย, จำนวนเว็บไซต์คู่แข่งที่อยู่ใน Keyword นั้น ๆ
  • ระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ (การวาง Site Structure หรือ Coding)
  • ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์จากการทำคอนเทนต์
  • ประสบการณ์ในการใช้งานที่ดี
  • ปัจจัยอื่น ๆ ที่มากมาย

SEO ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม ?

ผลลัพธ์ของการทำ SEO สามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ตลอด เนื่องจาก Google มีการอัปเดต Algorithm อยู่บ่อย ๆ ซึ่งการอัปเดต Algorithm แต่ละครั้งจะส่งผลต่ออันดับในหน้า Search Engine ทุกครั้ง เช่นเดือนนี้เว็บไซต์คุณทำอันดับ 1 ได้แต่อีก 3 เดือนต่อมาเว็บไซต์ของคุณอาจหล่นไปอยู่อันดับ 4-5 ก็ได้เช่นกัน (ในกรณีที่ Keyword คำนั้นมีการแข่งขันสูง)

ซึ่งทางเดียวที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณยืนระยะแสดงผลในอันดับต้น ๆ ได้ยาวนาน ก็คือการหมั่นอัปเดตเว็บไซต์ให้เข้าเกณฑ์ของ Google อยู่เสมอ โดยเฉพาะการทำ On-Page SEO ก็จะทำให้เว็บไซต์ของคุณยืนระยะบนหน้าการค้นหาได้ยาวนานขึ้น

SEO ทำเฉพาะทางด้านเทคนิคก็ติดอันดับได้ ?

การทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับนั้น ไม่สามารถทำเฉพาะทางด้านเทคนิค (Technical SEO) ได้ เพราะการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยการทำ SEO ที่ครบทั้ง 3 ปัจจัย

  • การปรับแต่งคอนเทนต์และเว็บไซต์ (On-Page SEO)
  • การสร้าง Link Building และ Website Promotion (Off-Page SEO)
  • การทำ SEO เชิงเทคนิค (Technical SEO) เช่นเรื่องเกี่ยวกับระบบเว็บไซต์ โครงสร้างของเว็บเพจ ทำให้ง่ายต่อการเก็บข้อมูล (Indexing) ของ Google

ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยล้วนต้องให้ความสำคัญให้ครบถ้วน ไม่ละเลยส่วนใดส่วนหนึ่ง ถึงจะทำให้การทำ SEO ของคุณได้ผลลัพธ์เต็ม 100%

“เริ่มทำ SEO แบบผิด ๆ ยังไม่รู้จักว่าการทำ SEO คืออะไร แบบแท้จริง โอกาสติดยากครับ”

สำหรับใครที่สนใจทำ SEO ไม่ว่าจะจ้างหรือเริ่มทำเอง แต่ยังขาดทีมงานในการให้คำปรึกษาหรือแนะนำ เราพร้อมช่วยประเมิน แนะนำโครงสร้าง และให้ความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการทำ SEO เพื่อธุรกิจของคุณเริ่มปรึกษาการทำ SEO ฟรี กับเราตอนนี้ รู้ผลใน 24 ชั่วโมง คลิ๊ก ติดต่อที่นี่

ผู้เขียน

Picture of tan
tan
Tag:

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

Google Trends คืออะไร

Google Trends คืออะไร พร้อมวิธีใช้เพื่อหาไอเดียทำการตลาดออนไลน์

Google Trends คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ดูวิธีการใช้ และประโยชน์ของ Google Trend เหมาะสำหรับนักการตลาด คนทำธุรกิจ และคนทำคอนเทนต์มือใหม่

อ่านบทความ ➝
keyword density คืออะไร

เจาะลึก keyword density คืออะไร สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO 2024

Keyword density คือ เป็นศัพท์ทางเทคนิค ที่ถูกนักทำ SEO ตั้งขึ้นมาครับ ซึ่งความหมายของมัน ก็คือ การกระจายตัวของ Keyword บนหน้าเว็บไซต์ นั่นเองครับ

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top