Home - SEO - Organic Search คืออะไร? ดูวิธีเช็ก และหลักเกณฑ์การจัดอันดับของ Google แบบละเอียด

Organic Search คืออะไร? ดูวิธีเช็ก และหลักเกณฑ์การจัดอันดับของ Google แบบละเอียด

Organic Search คือ

การทำ SEO เป็นการทำให้ Traffic ในฝั่งของ Organic Search เพิ่มมากขึ้น นี่คงเป็นสิ่งที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินมา แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า Organic Search คืออะไร สำคัญแค่ไหน และถ้าต้องการทำให้ SEO ดีมากพอจนทำให้เกิดการจัดอันดับใน Ranking ที่ดีบนผลการค้นหาของ Google และทำให้ยอด Organic Search ดีขึ้นนั้นต้องโฟกัสในเรื่องอะไรบ้าง

บทความนี้ NerdOptimize จะพาไปเรียนรู้ทุกเนื้อหาที่เกี่ยวกับ Organic Search เหมาะมากสำหรับมือใหม่ที่ต้องการปูพื้นฐานการทำ SEO ให้แน่น และพร้อมสำหรับการปั้นเว็บไซต์ให้ติดอันดับรูปแบบการค้นหาแบบ Organic Search ได้มากขึ้น จะมีเรื่องอะไรที่ต้องรู้บ้างตามไปดูกัน

Organic Search คืออะไร ? 

organic traffic

Organic Search คือ การที่ผู้ใช้งาน Search Engine เช่น Google ทำการค้นหาอะไรบางอย่างและพบเว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับบนหน้า SERP คือ Search Engine Results Page โดยไม่ผ่านการโฆษณาหรือที่เรียกกันว่า การทำ Paid Search พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ การทำ Organic Search เป็นผลลัพธ์ของการทำ SEO ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ Google มองว่าเว็บไซต์ที่เราทำขึ้นมีคุณภาพ สุดท้ายก็จะถูกจัดอันดับขึ้นในหน้าแรกๆ ของผลการค้นหานั่นเอง

Organic Search สำคัญอย่างไรต่อการทำ SEO ?

การเพิ่ม Organic Traffic ด้วย Organic Search มักจะเป็น Metric หรือ KPI แรกๆ ที่จะใช้ในการวัด Performance ในด้านการทำ SEO ของเว็บไซต์ เพราะการที่เว็บไซต์ได้ Traffic จากในฝั่ง SEO นั้นช่วยทำให้ธุรกิจได้รับประโยชน์ในหลายๆ ด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

  • เพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้งานใหม่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วยการใช้โฆษณา 

เราไม่ได้หมายความว่า SEO จะฟรี ไม่ได้ลงทุนอะไร แต่ในแง่ของการทำการตลาดบน Search Engine ที่ถ้าทำให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์มีคุณภาพได้ก็มีโอกาสทำ Ranking ที่สูงจนติดหน้า 1 ซึ่งมีผู้ใช้งาน Google มองเห็นในปริมาณสูง แน่นอนว่า ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าโฆษณาเพื่อขึ้นอันดับก็สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ใช้เข้ามายังเว็บไซต์ได้เลย 

  • สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์

เนื่องจากผู้ใช้งาน Google มักมองว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆ ใน Organic Search เป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ Google จึงเลือกมาให้ผู้ใช้งานมองเห็น ดังนั้น จึงดีต่อ Authority ของเว็บไซต์และของแบรนด์เอง

  • เป็นการสร้าง Traffic อย่างยั่งยืน

เพราะการทำ Organic Search จะเป็นการทำ SEO ในรูปแบบที่ทำให้ได้ Traffic มาแบบธรรมชาติจากการที่ Google เลือกเว็บไซต์ของเราไปขึ้นในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา การได้ยอดการมองเห็น (Impression) หรือยอดคลิก (Click) จึงมีความยั่งยืนกว่าการซื้อ Ads Search ที่ต้อง Bidding ค่าโฆษณาแข่งกันจึงจะได้อันดับที่ต้องการ

Organic Search VS Paid Search แตกต่างกันอย่างไร ? 

เมื่อรู้กันแล้วว่า ออร์แกนิก เสิร์ชคืออะไร เรามาดูกันต่อดีกว่าว่า Organic Search และ Paid Search นั้นแตกต่างกันอย่างไรบ้าง โดยจะดูใน 3 แง่มุม คือ

Organic Search Google

การลงทุน (Investment)

  • Paid Search 

จะลงทุนด้วยการจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณา (Search Ads) เพื่อให้ติดอันดับผลการค้นหาใน Keyword ที่ต้องการบนหน้า Google จะเหมาะสำหรับธุรกิจที่ลงทุนจ่ายเงินแล้วเห็นผลลัพธ์ได้เลยในทันที ซึ่งราคาก็จะขึ้นอยู่กับ Keyword ที่เลือกมาทำการแข่งขันว่ามีคน Bidding ใน Keyword เหล่านั้นมาก-น้อยเท่าไหร่

  • Organic Search 

จะเป็นการทำ SEO ที่ใช้เวลานานกว่าการทำ Paid Search แต่สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว เพราะเป็นการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบธรรมชาติจากการที่ Google เลือกหน้าเพจนั้นๆ ขึ้นอันดับใน Keyword ที่เราทำ seo audit จนมีคุณภาพ 

ความน่าเชื่อถือ

  • Paid Search 

แม้จะได้ผลลัพธ์เร็ว แต่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักมองว่าโฆษณาไม่เทียบเท่าความน่าเชื่อถือที่ได้จาก Organic Search เพราะเพียงแค่จ่ายเงินก็ทำให้ติดหน้า Google แล้ว

  • Organic Search 

การติดอันดับสูงจากการทำ Organic Search จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจให้ดูน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ เพราะผู้ใช้งาน Google เข้าใจว่าการติดอันดับในรูปแบบนี้ทำได้ยากและต้องอาศัยคุณภาพในตัวเว็บไซต์เป็นสิ่งชี้วัด Google จึงจะนำมาจัดอันดับ

เป้าหมายในการทำการตลาด

  • Paid Search 

Paid Search จะเป็นรูปแบบการทำการตลาดบน Search Engine ที่เน้นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เช่น การสร้าง Leads หรือยอดขายในทันที ช่วยเร่งการสร้าง Branding เป็นต้น จึงจะเหมาะกับการทำเป็นแคมเปญการตลาด เพื่อดึงดูดให้คนซื้อสินค้าหรือบริการ และการทำความรู้จักกับแบรนด์ให้มากขึ้นโดยใช้การโฆษณาเป็นหลัก และไม่ได้โฟกัสที่การสร้าง Asset หรือติดอันดับแบบระยะยาวมากนัก เช่น ร้านค้าปล่อยแคมเปญขึ้นเว็บไซต์วันที่ 11.11 ก็อาจจะอยากยิงโฆษณาที่คนค้นหาในช่วงที่เกี่ยวข้องเท่านั้น เป็นต้น

  • Organic Search 

Organic Search จะเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ที่ดีระยะยาวกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างสม่ำเสมอง เนื่องจากการทำ  Organic Search จะทำอันดับใน Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ดังนั้น การที่กลุ่มเป้าหมายค้นหา Keyword ที่สนใจแล้วเจอเว็บไซต์ของเราอยู่เรื่อยๆ ก็จะทำให้ธุรกิจได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น 

เช่น คุณทำบริษัทบริการแม่บ้าน หากคนค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้อง เช่น หาแม่บ้าน จ้างแม่บ้าน หาคนดูแลบ้าน ฯลฯ แล้วเจอเว็บไซต์ของคุณอยู่ตลอด ก็จะช่วยทำให้คนสนใจในบริการของคุณ และเกิดความเชื่อใจในธุรกิจได้ในระยะยาว

วิธีการดูอันดับ Organic Search บนหน้า Google ทำอย่างไร

หลายคนมักเข้าใจว่าเว็บไซต์ที่อยู่ลำดับบนสุดคือผลลัพธ์ของ Organic Search แต่ในความเป็นจริง ผลลัพธ์ลำดับบนสุดมักจะเป็นโฆษณาหรือ Paid Search ซึ่งเกิดจากการจ่ายเงินซื้อ Google Ads เพื่อทำให้เว็บไซต์แสดงผลเว็บไซต์บนหน้า SERP หัวข้อนี้จึงจะพาไปดูว่าจะรู้ได้ยังไงว่าอันดับไหนคือ Organic Search บนหน้า Google?

  • สังเกตข้อความ “Sponsored” หรือ “Ad” ใต้ URL นั่นคือ การแสดงผลของ Paid Search ส่วนด้านล่างจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงผลแบบ Organic Search 
  • หากเป็น Keyword ที่มีการแข่งขันสูงอาจจะเห็นผลลัพธ์แบบ Organic Search ปรากฏในตำแหน่งที่ 4 ของหน้า SERPs
  • บางครั้งหน้า Google จะแสดงผลลัพธ์อื่นๆ เช่น Local Pack ที่เป็นตำแหน่งของธุรกิจในแผนที่ หรือ Rich Results ที่เป็นผลลัพธ์ที่มีข้อมูลเพิ่มเติม เช่น คะแนนรีวิว ฯลฯ โดยผลลัพธ์เหล่านี้อาจไม่ใช่ Organic Search โดยตรงแต่เป็น Local Organic Search ซึ่งเป็นกลยุทธ์การทำการตลาดรูปแบบหนึ่ง สำหรับธุรกิจท้องถิ่นที่ทำอันดับใน Keyword เฉพาะท้องที่
Organic Search Paid Search

เกณฑ์ในการจัดอันดับ Organic Search ของ Google มีอะไรบ้าง ? 

การทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบ Organic Search ต้องคำนึงถึง Ranking Factors หรือปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา โดย Google จะทำการอัปเดต Ranking Factors ที่ว่านี้อยู่เรื่อยๆ 

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหลักให้ยึดจับในการทำ SEO ซะทีเดียว เพราะยังมีหลักเกณฑ์ที่เป็นเหมือน “แก่น” ของการทำ SEO ให้ติดแบบ Organic Search อยู่ด้วยกัน 5 เรื่องที่สามารถทำตามได้ เรารวบรวมรายละเอียดมาให้แล้ว ดังนี้

คุณภาพของเนื้อหา (Content Quality)

อย่างแรกคือ เนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ต้องตอบโจทย์ E-E-A-T Factor จึงจะเรียกได้ว่า เป็นเนื้อหาที่ดีและมีคุณภาพในสายตา Google โดย  E-E-A-T Factor จะประกอบได้ด้วย…

E-E-A-T Factor

  • ความเชี่ยวชาญ (Expertise)

เนื้อหาที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์จะต้องเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆ หรือเป็นเนื้อหาที่แสดงให้เห็นว่าเรามีความรู้มากพอที่จะพูดถึงเรื่องนั้นๆ เช่น เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการแพทย์ก็มักจะต้องเขียนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดย Google จะสังเกตจากการที่ลงประวัติของผู้เขียน และติด Schema Markup เอาไว้ เป็นต้น

  • ประสบการณ์ (Experience)

เนื้อหาบนเว็บไซต์จะต้องถ่ายทอดด้วยประสบการณ์ของผู้เขียนโดยตรง ไม่ทำการคัดลอกเนื้อหาของคนอื่นมาใช้ เช่น การเขียนสูตรอาหารก็ควรจะเขียนจากประสบการณ์ทำจริง มีภาพ มีวิดีโอประกอบยิ่งดี Google ก็จะมองว่า คุณมีประสบการณ์ในการทำเรื่องนั้นๆ จริงๆ

  • มีอำนาจ (Authoritativeness)

เมื่อมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ก็ต้องได้มีอิทธิพล โดยในที่นี้ Google จะดูว่า เว็บไซต์คุณได้รับการอ้างอิงจากเว็บไซต์อื่นๆ หรือที่เราเรียกกว่าการได้รับ Backlink กลับมายังเว็บไซต์บ้างหรือเปล่านั่นเอง

  • ความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness)

ความน่าเชื่อถือจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราทำเว็บไซต์ได้ตอบโจทย์กับคนค้นหา ทั้งในด้าน Keyword ที่ก็ควรเลือกมาให้ตรงกับสิ่งที่ธุรกิจทำ มีบทความใหม่ๆ หรือมีการอัปเดตเนื้อหาบนเว็บไซต์อยู่ตลอด ไปจนถึงการทำลิงก์เชื่อมโยงไปมาหากันในแต่ละหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้ Google เห็นว่าหน้าไหนเกี่ยวข้องกับหน้าไหนบ้าง

การเลือกใช้ Keyword ที่ทำอันดับได้

การทำ SEO ในเบื้องต้นเลยก็คือ ต้องทำ Keyword Research ให้เป็น โดยเกณฑ์ในการดูว่า Keyword นั้นใช่สำหรับธุรกิจหรือไม่ จะดูใน 3 ปัจจัยหลักคือ

  • มีคนค้นหาหรือไม่
  • มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือไม่
  • สามารถทำการแข่งขันกับตำแหน่งที่ติดอยู่ก่อนหน้านี้หรือไม่

หากดูแล้วว่า Keyword ที่เลือกมาตรงกับ 3 ปัจจัยดังกล่าว ก็ให้ทำการเขียน SEO และวางโครงสร้างการเขียนให้ถูกต้อง รวมถึงทำการกระจาย Keyword ที่ต้องการทำอันดับไปที่ส่วนต่างๆ บนหน้าเว็บ ไม่ว่าจะเป็น

  • Title Tags
  • Meta Descriptions
  • Slug URL 
  • หัวข้อย่อย (H1, H2)
  • เนื้อหาของบทความ
  • รูปภาพ (Alt Text)

ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่าการทำ On-Page SEO นั่นเอง

organic keyword

การทำ Link Building

การทำ Link Building จะเป็นวิธีการปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยการทำลิงก์เชื่อมโยงกันทั้งจากภายในและภายนอกเว็บ โดยมีวิธีการดังนี้

  • ทำลิงก์เชื่อมโยงในเว็บไซต์

เราจะเรียกว่าการทำ Internal Link โดยเราจะเชื่อมโยงลิงก์จากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งในเว็บไซต์ของเราเอง จากการเพิ่ม Anchor Text ด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้อง แนะนำให้ใช้ข้อความเป็นคีย์เวิร์ดที่โฟกัสของหน้าเพจนั้นๆ เป็นหลัก นอกจากนี้ก็ควรที่จะปรับปรุง Broken Link ที่เป็นลิงก์เสียต่างๆ ให้หายไปจากเว็บไซต์ เช่น ลิงก์ที่เป็น 404 Not Found ฯลฯ ด้วยการทำ Redirect 301 ไปยังหน้าที่ถูกต้อง

  • ทำลิงก์เชื่อมโยงไปยังนอกเว็บไซต์ 

หรือที่เรียกกันว่า การทำ Backlink โดยควรที่จะเลือกลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ลิงก์จากเว็บสแปม เพราะเสี่ยงต่อการถูกแบนจากทาง Google ได้

Core Web Vitals

Core Web Vitals เป็นหนึ่งเทคนิคการทำ SEO ให้ดันยอด Organic Search เพราะเป็น Technical SEO ที่หลายคนจะต้องเก็บ Checklist ให้ครบ เพราะ Core Web Vitals จะเป็นเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการประเมินว่าเว็บไซต์นั้นสร้าง User Experience ที่ดีให้กับผู้ใช้งานหรือเปล่า โดยจะประเมินจาก 3 เกณฑ์หลัก คือ

  • Largest Contentful Paint (LCP): จะเป็นการวัดว่าหน้านั้นโหลดเร็วหรือไม่ โดยต้องพยายามให้ LCP เกิดขึ้นภายใน 2.5 วินาทีแรกของการเริ่มโหลดหน้าเว็บ
  • First Input Delay (FID): จะเป็นการวัดการตอบสนองเว็บไซต์ว่าเวลาที่ทำการคลิกปุ่มต่างๆ กดลงทะเบียน การเลื่อนเมาส์ต่างๆ นั้นมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งในทางที่ดีจะต้องทำให้FID ต่ำกว่า 100 มิลลิวินาที
  • Cumulative Layout Shift (CLS): จะเป็นการวัดความเสถียรของ Layout เว็บไซต์ว่า ดีไซน์เด้งหรือเปล่า ฟอนต์หรือปุ่มเล็กไปหรือไม่ โดยจะต้องพยายามให้มีคะแนน CLS ต่ำกว่า 0.1

โครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure)

การวาง โครงสร้างเว็บไซต์ หรือ Site Structure ที่มีระเบียบจะช่วยให้ Google เพราะช่วยให้ Google Bot หรือ Crawler สามารถเข้าถึงและวิเคราะห์เว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีผลต่อการทำ SEO โดยตรง และยังช่วยให้ผู้ใช้เว็บไซต์สามารถค้นหาข้อมูลได้ง่ายมากขึ้นด้วย

สำหรับวิธีการก็ให้ทำการส่ง XML Sitemap ที่เป็นไฟล์ซึ่งช่วยบอก Google ว่าโครงสร้างทั้งหมดของเว็บไซต์เป็นยังไง โดยสามารถส่งผ่าน Google Search Console ได้ และควรที่จะเพิ่ม Schema Markup หรือโค้ดที่ช่วยเพิ่มข้อมูลให้ผลการค้นหาของเว็บไซต์ในรูปแบบ Rich Results เช่น การเพิ่มคะแนนรีวิว, วันเผยแพร่ หรือราคา ช่วยให้ผลลัพธ์ดูน่าสนใจและโดดเด่นเข้าไปด้วย

นอกจากนี้ก็ควรที่จะดูในเรื่องของการแสดงผลบนมือถือ การทำให้หน้าเพจทุกหน้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายใน 3 คลิก การจัดหมวดหมู่หน้าเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ รวมถึงการปรับปรุง SEO On-Page อย่างถูกต้องก็ช่วยทำให้โครงสร้างของเว็บไซต์เข้าใจง่ายในสายตาของ Google มากขึ้น

สรุป Organic Search คืออะไร ช่วยธุรกิจได้อย่างไร

Organic Search คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้าง Traffic และความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์อย่างยั่งยืน การทำ SEO ที่มีคุณภาพช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับ Google แบบธรรมชาติ ลดต้นทุนในระยะยาว และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง

Organic คือ ความเป็นธรรมชาติ ส่วน Search คือ การค้นหา ดังนั้น การทำให้เว็บไซต์ได้รับการเข้าถึงผ่านการค้นหาในรูปแบบธรรมชาติ ซึ่งในที่นี้คือการไม่ซื้อโฆษณา โดยเทคนิคต่างๆ ที่เรานำมาบอกเล่าในบทความนั้นจะช่วยสร้าง Traffic และความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์อย่างยั่งยืนจากการทำ SEO ที่ผลักดันให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบ Organic Search พร้อมช่วย ลดต้นทุนในระยะยาว และช่วยให้ธุรกิจเติบโตแบบมั่นคงอย่างแน่นอน

NerdOptimize บริษัทรับทำ SEO มืออาชีพ ที่พร้อมพาเว็บไซต์ของคุณติดอันดับ Google อย่างยั่งยืน

ถ้าคุณต้องการเพิ่ม Organic Traffic ให้เว็บไซต์ และทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทรับทำ SEO อย่าง NerdOptimize พร้อมช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ Google แบบยั่งยืนด้วยการรับทำ SEO แบบครบวงจร สามารถติดต่อสอบถาม NerdOptimize ให้เราช่วยเพิ่มปริมาณ Traffic นำไปสู่การขายสินค้าและบริการได้ผ่านเว็บไซต์ของคุณ 
การันตีการทำงานด้วยผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ในทุกสายงานตั้งแต่ SEO Sepecialist, นักเขียนบทความ SEO ไปจนถึง Developpe ช่วยในการพัฒนาเว็บไซต์ให้ติดอันดับ 1 ใน Keyword ที่คุณต้องการ ติดต่อหา NerdOptimize ได้เลยตอนนี้ https://rebrand.ly/line-add-722fd

รับทำ SEO ติดหน้าแรก

ค้นหา บทความอื่นๆ

Search

ผู้เขียน

Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn
Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

local seo คืออะไร

Local SEO คืออะไร? วิธีดันธุรกิจให้ติดอันดับบน Google แบบละเอียด

Local SEO คืออะไร ชวนคนทำ Local Business มารู้จักวิธีการทำให้ธุรกิจติดหน้า Google ได้ง่ายๆ สู้แบรนด์ใหญ่ได้ ด้วยเทคนิคการทำ Google Business อัปเดตล่าสุด

อ่านบทความ ➝
4P

4P คืออะไร? เข้าใจกลยุทธ์ที่เจ้าของธุรกิจทุกคนต้องรู้

4P คือแนวคิดสำคัญในการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจวางแผนกลยุทธ์ด้านสินค้า ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการขายอย่างมีประสิทธิภาพ

อ่านบทความ ➝
ทำความรู้จัก Vertex AI คืออะไร

Vertex AI คืออะไร มาสร้างข้อได้เปรียบทางธุรกิจด้วย AI กัน

Vertex AI คืออะไร มาทำความรู้จักกับแพลตฟอร์มที่เข้ามาช่วย Google Gemini ให้ยืดหยุ่น โดยรวม Machine Learning แบบครบวงจรช่วยจัดการข้อมูล แถมใช้งานได้ไม่ยาก

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top