Home - SEO - Evergreen Content คืออะไร สำคัญอย่างไร ทำยังไงถึงจะดีต่อ SEO

Evergreen Content คืออะไร สำคัญอย่างไร ทำยังไงถึงจะดีต่อ SEO

สำหรับใครที่ทำเว็บไซต์แล้วมีปัญหา Traffic ตก จำนวนผู้เข้าชมขึ้นๆ ลงๆ มีคนเข้าอ่านคอนเทนต์ในหน้าเว็บไซต์นั้นบ้างแต่ไม่สม่ำเสมอ นั่นอาจเป็นเพราะคุณขาดการวางแผนเรื่องการทำ ‘Evergreen Content’ ไปก็ได้นะครับ

ว่าแต่… Evergreen Content คืออะไร ทำไมต้องทำ แล้วการทำ Evergreen Content นี่ดีต่อเว็บไซต์และการทำ SEO อย่างไร รวมถึงจะมีเทคนิคการคิดหรือลงมือทำแบบไหนที่ต้องรู้บ้าง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องไปหาคำตอบที่ไหนเลยครับ เพราะวันนี้ผมจะพามารู้จักกับการปั้นคอนเทนต์ประเภทนี้แบบเจาะลึก เพื่อให้คุณสร้างคอนเทนต์ที่จะสามารถเจริญเติบโตเองได้ในระยะยาว เหมือนกับต้นไม้ที่จะกลายเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย Taffic ในอนาคตเลย มาดูกันดีกว่าครับว่าจะเริ่มต้นได้ยังไงบ้าง แต่ก่อนอื่นมาเรียนรู้ว่า Evergreen Content คืออะไรกันก่อนดีกว่า

เลือกอ่านตามหัวข้อ

  1. Evergreen Content คืออะไร
  2. Evergreen Content VS Topical Content
  3. ข้อดีของการทำ Evergreen Content
  4. ข้อเสียของการทำ Evergreen Content
  5. วิธีเริ่มต้นทำ Evergreen Content

Evergreen Content คืออะไร 

Evergreen Content คือ คอนเทนต์ประเภทหนึ่ง ซึ่งทำขึ้นมาแล้วจะมีเนื้อหาที่สดใหม่สำหรับผู้อ่านอยู่เสมอ เข้ามาอ่านทีไรก็ยังทันสมัย และมีคนค้นหาเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ อยู่เรื่อยๆ จึงทำให้คอนเทนต์ประเภทนี้เป็นส่วนสำคัญสำหรับการทำ Content Marketing เพื่อธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยประหยัดแรงและเวลาในการวางแผนคอนเทนต์เพื่อสร้าง Traffic ให้กับธุรกิจได้ในระยะยาว เรียกได้ว่า ลงมือทำแค่แบบมีคุณภาพครั้งเดียวก็สามารถเรียก Traffic ได้ตลอดเลยก็ว่าได้ครับ

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองดูกราฟจากภาพตัวอย่างก็ได้ครับ จะเห็นว่า การทำ Evergreen Content ที่มีคุณภาพจะสามารถทำให้ได้มาซึ่ง Traffic อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการทำคอนเทนต์ประเภทอื่นๆ อาจจะมี Traffic ขึ้นๆ ลงๆ บ้าง เนื่องจากเป็นคอนเทนต์ที่ค่อนมาทาง Topical Content (ตามกระแส) มากกว่าการทำคอนเทนต์ที่เน้นความยั่งยืนทางด้านเนื้อหาที่ต่อให้ผ่านไป 5 ปีหรือ 10 ปีก็จะยังมีคนค้นหาและยังสามารถนำไปใช้หรืออ้างอิงได้อยู่นั่นเอง

Evergreen Content VS Topical Content

อย่างที่ผมกล่าวถึงไปแบบคร่าวๆ แล้วนะครับว่า Evergreen Content จะเป็นรูปแบบของคอนเทนต์ที่มี 2 ลักษณะสำคัญคือ ไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลาในด้านของเนื้อหา และมีคนค้นหาอยู่เรื่อยๆ ต่างจากคอนเทนต์แบบ  Topical Content ที่จะเน้นการเขียนเนื้อหาตามกระแส ทำให้ Traffic ขึ้นๆ ลงๆ แบบชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งถ้าคุณไม่แน่ใจว่า คอนเทนต์ที่ทำอยู่เป็นคอนเทนต์ประเภทไหน ลองดูจากตารางนี้ได้เลยครับ

ข้อดีของการทำ Evergreen Content 

การทำ Evergreen Content สำคัญสำหรับการทำ SEO

การทำ Evergreen Content มีส่วนสำคัญที่ช่วยในเรื่องของการทำ SEO ในหลายๆ เรื่องด้วยกันครับ เช่น

  • ช่วยวางแผนการทำ SEO Content Strategy

เพราะการทำ Evergreen Content จะเป็นการวางแผนการทำอันดับของ Keyword ที่สามารถทำอันดับได้ในระยะยาว ทำให้การทำแผน SEO Content Strategy ได้ง่ายมากขึ้น เพราะรู้ว่าจะต้องเขียนคอนเทนต์เพื่อเก็บ Keyword ไหนบ้าง ใช้ Long-tail Keyword ไหนในแต่ละคอนเทนต์ด้วย

  • ช่วยในการได้มาซึ่ง Backlink คุณภาพ

Evergreen Content มักจะเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับการอ้างอิงด้านเนื้อหาอยู่เสมอ ซึ่งถ้าคุณทำเนื้อหาให้ออกมามีคุณภาพมากพอ แน่นอนว่า ย่อมได้รับ Backlink ที่เกี่ยวข้องกลับมาเช่นเดียวกัน

การทำ Evergreen Content สำคัญสำหรับธุรกิจ

เพราะการทำ Evergreen Content ที่ดีจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจให้ดูน่าเชื่อถือ ทั้งจากการค้นหาเจอบนหน้า Google และการดูเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถอธิบายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณได้ ทำให้ผู้อ่านได้สาระความรู้ในเชิงลึก เกี่ยวข้องกับปัญหา หรือสิ่งที่กำลังค้นหาอยู่อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังประหยัดช่วยลดแรงงานในการผลิตคอนเทนต์ เรียกว่า ทำน้อยแต่ได้มาก เป็นผลดีต่อธุรกิจในระยะยาวที่ไม่ต้องเสียเวลาผลิตคอนเทนต์อิงกระแส แต่เน้นทำคอนเทนต์คุณภาพที่สามารถเรียก Taffic ได้แบบยั่งยืน

ข้อเสียของการทำ Evergreen Content

มีข้อดีแล้วก็ต้องมีข้อควรระวังที่ต้องรู้เอาไว้บ้าง เนื่องจากการทำ Evergreen Content นั้นต้องใช้นานในการวางแผนคอนเทนต์ให้ครอบคลุม เพื่อให้คอนเทนต์นั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และติดอันดับ SEO ได้ดี ทำให้เป็นเรื่องยากเช่นกันในการลงมือทำ เพราะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของคนทำคอนเทนต์ในการค้นคว้า เรียบเรียง (แถมยังต้องเข้าใจในเรื่องของการทำ SEO ด้วย) ที่ค่อนข้างละเอียดมากทีเดียว

วิธีเริ่มต้นทำ Evergreen Content

สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่า จะเริ่มต้นทำ Evergreen Content อย่างไรให้ดีต่อทั้งธุรกิจและ SEO วันนี้ผมมีเคล็ดลับดีๆ มาฝากกันครับ

  1. ทำ Keyword Research ที่มีปริมาณการค้นหาและเกี่ยวข้องกับธุรกิจ

การทำ Keyword Research ในคำที่มีคนค้นหาอยู่เรื่อยๆ ช่วยคุณได้ครับ โดยใช้ SEO Tools ต่างๆ ในการค้นหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหยิบเอา Keyword ไหนมาทำก็ได้นะครับ เพราะ Keyword ที่ดีนอกจากจะมีคนค้นหาแล้วก็ควรที่จะเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วย เช่น NerdOptimize ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการทำ Digital Marketing แน่นอนว่า Keyword ที่นำมาใช้ก็ควรเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เช่น สอน SEO ฟรี, รับทำ SEO เป็นต้น ซึ่งเป็น Keyword ที่มีคนค้นหาอยู่เรื่อยๆ ในปริมาณของ Search Volume ที่โอเค แต่เราก็คงจะไม่ทำการหยิบ Keyword อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาทำ ต่อให้คำนั้นๆ จะมีปริมาณการค้นหามากก็ตาม เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรานั่นเอง

  1. เลือก Positive Search Trends 

Positive Search Trends หรือแนวโน้มของการค้นหาที่เป็นไปในทางบวก เรียกง่ายๆ คือ ต้องส่องเทรนด์ของ Keyword นั้นๆ ด้วยครับว่า มีคนเสิร์ชเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปีหรือไม่ จะเป็นคำที่อยู่ยงคงกระพันหรือเปล่า หรือถ้าธุรกิจของคุณมีความเฉพาะทางมากๆ ก็ดูว่า เทรนด์ไม่ได้กำลังตกและกำลังจะหายไป ไม่มีคนเสิร์ชหรือเปล่าควบคู่กันไปด้วย 

ส่วนวิธีการดูสามารถทำได้หลายวิธีครับ เช่น การใช้เครื่องมือในการค้นหา Keyword Research ที่มีกราฟเทรนด์ของ Keyword นั้นๆ ว่ามีการขึ้นหรือลงอย่างไร หรือง่ายที่สุดเลย แนะนำให้ใช้ Google Trends ในการค้นหาเกี่ยวกับคำนั้นๆ ดูครับ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับการเงิน การลงทุน Kwyword ที่ดูจะเป็น Positive Search Trends ที่ควรทำ หนึ่งในนั้นก็คือคำที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency ที่ในช่วงหลังๆ มานี้มีการค้นหามากขึ้นเรื่อยๆ 

  1. ทำ Topic Research

หลังจากมี Keyword แล้วก็ต้องทำการค้นหาว่า คนทั่วไปเสิร์ชคำนี้เพื่อค้นหาเกี่ยวกับเรื่องอะไร โดยอาจจะค้นหาคำนั้นบน Google แล้วดูว่า คู่แข่งทำหัวข้อไปในแนวทางไหน มี Long-tail Keyword เป็นอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้นำ Topic เหล่านี้มาสร้างสรรค์เนื้อหาของคุณเองต่อไป หรือถ้าอยากจะลองใช้เครื่องมือในการช่วยทำ Topic Research ผมแนะนำให้ใช้เป็น SEMrush Topic Research tool ที่ช่วยหาหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ที่คุณใส่ลงไป พร้อมบอก Search Volume มาให้ด้วย

  1. แตกไอเดียในการทำ Evergreen Content

อย่างที่เราบอกไปแล้วนะครับว่า มีคอนเทนต์แบบไหนบ้างที่จัดอยู่ในหมวดของ Evergreen Content หัวข้อนี้ ผมเลยจะมายกตัวอย่างวิธีการแตกไอเดียเพิ่มเติมให้แบบละเอียดมากขึ้นครับ 

  • คอนเทนต์ประเภท How-to หรือคู่มือสอน 

จะเป็นคอนเทนต์ที่รวบรวมเทคนิค Tips วิธีการทำ หรือสอนบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้นๆ ซึ่งคำที่มักจะใช้ในการทำเป็นหัวข้อ เช่น …วิธี, …ทำยังไง, …เทคนิค, …เคล็ดลับ สมมติว่า คุณทำธุรกิจเกี่ยวกับขายรองเท้า หัวข้อของคอนเทนต์ประเภท How-to หรือคู่มือสอน ก็อาจจะเป็น…

  • วิธีการเลือกซื้อรองเท้าให้เหมาะกับรูปร่าง
  • วิธีการเลือกรองเท้าวิ่งสำหรับมือใหม่
  • เทคนิคการผูกเชือกรองเท้าผ้าใบแบบไม่เหมือนใคร
  • เคล็ดลับการดูแลรองเท้าหนังให้เหมือนใหม่
  • คอนเทนต์ประเภทรวมไอเดีย

จะเป็นคอนเทนต์ที่ทำง่าย ได้ผลดี มักใช้ร่วมกับการตั้งชื่อพร้อมตัวเลข เพื่อดึงดูดความสนใจ และมักใช้คำว่า …ไอเดีย, …ตัวอย่าง, …เครื่องมือ ฯลฯ เพื่อบ่งบอกว่า เรากำลังจะพูดถึงหรือรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรอยู่ ยกตัวอย่างเช่น คุณทำธุรกิจเกี่ยวกับขายของออนไลน์ หัวข้อของคอนเทนต์ประเภทรวมไอเดีย ก็อาจจะเป็น…

  • 9 ไอเดียในการตอบลูกค้า ตอบแล้วขายได้ชัวร์
  • 15 ตัวอย่างการทำรูปภาพขายของออนไลน์
  • 7 เครื่องมือช่วยทำให้คนเห็นสินค้าของคุณมากขึ้น
  • คอนเทนต์ประเภทให้ข้อมูลแนว Fundamental

จะเป็นคอนเทนต์ที่ทำง่ายและมีคนค้นหาอยู่เสมอ เพราะอาจจะไม่รู้จักเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ มาก่อน โดยส่วนใหญ่มักจะมีคำว่า …คือ, …แปลว่า, ประวัติของ… ฯลฯ ซึ่ง NerdOptimize ของเราก็ใช้คอนเทนต์ประเภทนี้อยู่เยอะเหมือนกันครับ เช่น 

  • การทำ Pillar Page 

สำหรับการทำ Pillar Page จะเป็นวิธีการทำคอนเทนต์ที่รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องๆ นั้นไว้ให้เยอะและครบถ้วนมากที่สุด เป็นคอนเทนต์ที่ช่วยเรียก Backlink เข้ามาได้มาก แต่ก็จะต้องอาศัยเทคนิคการทำ และใช้เวลาในการทำค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากจะต้องวางแผนคอนเทนต์โดยละเอียด ทั้งเพื่อการอ่าน การทำ SEO และการร้อยเรื่องราวให้ครบที่สุด 

ยกตัวอย่างเช่น หน้า Pillar Page ที่เกี่ยวข้องกับ SEO ของ NerdOptimize เราทำหัวข้อเรื่อง สอน SEO ฟรี – ศูนย์กลางเรียน SEO WordPress ชนิดทำคอร์สได้เลย ที่ว่าด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับ SEO ตั้งแต่พื้นฐานจนเนื้อหาในเชิงเทคนิค และพยายามที่จะครอบคลุมในทุกๆ หัวข้อที่เกี่ยวข้อง โดยการทำ Internal Link ไปยังหน้าเหล่านั้นด้วย

  • คอนเทนต์แนว Basic Term

ใครที่หาคอนเทนต์ทำง่าย แนะนำคอนเทนต์แนวให้ความรู้สำหรับมือใหม่แนว Basic Term เลยครับรับรองว่า ช่วยคุณได้ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาแนว Beginner ที่ไม่ต้องอธิบายในเชิงลึกสักเท่าไหร่ อาจจะเขียนเนื้อหาเป็นในเชิงข้อมูล หรือบอกเล่าประสบการณ์ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น 

  • 25 คำศัพท์ที่ต้องรู้เกี่ยวกับการทำการตลาดออนไลน์
  • 3 เรื่องที่ต้องรู้ถ้าไม่อยากพลาดทำการตลาดแบบผิดๆ
  • คอนเทนต์รีวิว

สำหรับเว็บไซต์ที่มีสินค้าและบริการ แน่นอนว่า ก็ต้องใช้งานคอนเทนต์ประเภทรีวิวกันบ้างไม่มากก็น้อย โดยส่วนใหญ่จะมีคำว่า รีวิว, ดียังไง, ดีไหม, เปรียบเทียบ เป็นต้น สมมติว่า คุณเปิดร้านขายโทรศัพท์ผ่านเว็บไซต์ คอนเทนต์รีวิวก็อาจจะเป็น…

  • รีวิวไอโฟนทุกรุ่นสำหรับคนไม่เคยใช้
  • Iphone ดียังไง พาดูฟีเจอร์แบบละเอียดยิบ
  • ซื้อไอโฟนดีไหม คุ้มหรือเปล่า
  • เปรียบเทียบกล้องไอโฟนกับกล้อง DSLR

และนี่คือสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการทำ Evergreen Content ทั้งหมดครับ หวังว่า บทความนี้จะช่วยทำให้คุณวางแผนคอนเทนต์ให้กับธุรกิจแบบยั่งยืนแถมยังดีต่อการทำ SEO ได้ง่ายและเร็วมากขึ้นจากการหยิบไอเดียและเครื่องมือต่างๆ ที่นำมาฝากในวันนี้ไปใช้ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้านะครับ 🙂

ผู้เขียน

Picture of tan
tan
Tag:

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

EAT Factor

E-A-T Factor คืออะไร และ E-E-A-T Factor คืออะไร เรียนรู้เกณฑ์ใหม่จาก Google ในบทความเดียว!

E-A-T Factor คือ หลักเกณฑ์ ปัจจัย หรือวัตถุประสงค์ที่มีประโยชน์ ที่ Algorithm ของ Google Search นำมาใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้มีผลทำให้ลำดับค้นหาใน Google มีการปรับเปลี่ยนขึ้น-ลงจากเนื้อหา บทความต่างๆ ที่มีอยู่บนเว็บไซต์

อ่านบทความ ➝

Title Tag คืออะไร เขียนอย่างไรให้ถูกใจ Google ดูวิธีทำแบบละเอียด!

Title Tag คืออะไร ทำไมต้องทำ และจะเขียน Title Tag ให้ดีต่อการทำ SEO มาดูตัวอย่างการแสดงผล วิธีการเขียน ไปจนถึงข้อควรระวังในการเขียน Title Tag ได้ที่นี่

อ่านบทความ ➝
Google Trends คืออะไร

Google Trends คืออะไร พร้อมวิธีใช้เพื่อหาไอเดียทำการตลาดออนไลน์

Google Trends คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ดูวิธีการใช้ และประโยชน์ของ Google Trend เหมาะสำหรับนักการตลาด คนทำธุรกิจ และคนทำคอนเทนต์มือใหม่

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top