หากพูดถึงปลั๊กอินดีๆ ที่จะเลือกติดตั้งลงบน WordPress สักตัวหนึ่งคุณจะนึกถึงปลั๊กอินตัวไหนครับ?
แน่นอนว่า ปัจจุบันนี้ WordPress มีปลั๊กอินให้คุณเลือกใช้เยอะแยะมากมาย ชนิดที่ว่าหยิบมาใช้กันไม่ถูก แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำปลั๊กอินสักตัวที่จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณมี Perfomance ในด้าน SEO ที่ดีขึ้นได้ ผมจะแนะนำเป็นเจ้าตัวนี้ครับ
Yoast SEO’ ตัวช่วยในการทำ SEO สำหรับคนทำ SEO ที่ทุกเว็บไซต์ควรติดตั้งเอาไว้ เพราะเป็น SEO tools หนึ่งของ WordPress ที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก และนิยมใช้กันมากที่สุด แถมยังใช้งานได้ไม่ยากเหมาะสำหรับมือใหม่มากๆ ครับ
Yoast SEO คืออะไร
Yoast SEO คือ Plugin ที่ช่วยปรับแต่งองค์ประกอบที่สำคัญในการทำ SEO (Technical SEO) ให้ Checklist ของเนื้อหาและโครงสร้างบนหน้าเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Google มากที่สุด ถือเป็นเครื่องมือแรกๆ ที่คุณต้องติดตั้ง หลังจากทำเว็บไซต์บน WordPress เสร็จเลยก็ว่าได้ครับ
นอกจากนี้ยังเลือกใช้งานได้ทั้งแบบฟรีและเสียเงินอีกด้วย ดังนั้น มือใหม่ที่ไม่แน่ใจว่าเครื่องมือนี้เหมาะกับคุณหรือเปล่า ลองดาวน์โหลดมาใช้งานดูก่อนได้เลยครับ
ประโยชน์ของ Yoast SEO คืออะไร
ทำไมต้องใช้ Yoast SEO?
ถือเป็นคำถามยอดฮิตเลยครับสำหรับคนเริ่มต้นทำเว็บไซต์ เพราะ Plugin บน WordPress มีให้คุณเลือกใช้ตั้งมากมาย ทำไมเครื่องมือนี้จึงเป็นเครื่องมือที่หลายคนแนะนำให้ใช้กัน? วันนี้ผมมีคำตอบมาฝากครับ
1. ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่
Yoast SEO ถือเป็น Plugin ที่ใช้งานได้ง่ายมากครับ เพราะมีฟีเจอร์ที่คอยให้คำแนะนำว่า จะต้องทำอะไรบ้างถือจะถูกหลักการทำ SEO บ้าง โดยจะมีระบบแสดงเป็นจุดไฟ เขียว ส้ม และแดง แทนคำแนะนำว่า เรายังต้องปรับปรุงจุดไหนเพื่อให้ถูกต้องตามหลักของ SEO On-Page
หาก Checklist ในข้อไหนขึ้นไฟสีแดง แสดงว่า ไม่ผ่าน ต้องแก้ไข หรือทำผิดอยู่ และเป็นจุดที่ควรปรับปรุงเพื่อให้เป็นมิตรกับ Search Engine มากยิ่งขึ้น, ไฟสีส้ม หมายถึง คุณปรับแก้ไขได้ในระดับปานกลาง ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ให้ผ่านได้ สุดท้ายไฟสีเขียว หมายถึงคุณทำได้ดีและถูกต้องตามหลักการทำ SEO On-Page แล้วครับ
แต่มีข้อควรระวังอยู่นะครับ เพราะสำหรับภาษาไทยแล้ว Yoast SEO อาจไม่สามารถตรวจสอบโครงสร้างเนื้อหาได้ 100% แนะนำว่า ไม่ต้องไปโฟกัสในเรื่องของการทำให้ไฟกลายเป็นสีเขียวทั้งหมดก็ได้ครับ
2. ช่วยวิเคราะห์ว่า SEO ของเว็บไซต์คุณเป็นอย่างไร
Yoast SEO มีฟีเจอร์สำคัญที่ช่วยในการปรับแต่ง SEO ในด้าน Technical ให้ดีขึ้นได้ครับ โดยจะช่วยวิเคราะห์ว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องในแง่การทำ SEO หรือไม่ จะต้องปรับแต่งส่วนไหนบ้าง เช่น
- ส่วนของ SEO Titles, Slug และ Meta Description โดย Yoast SEO จะมีช่องให้ช่วยปรับแต่ง Title, Slug และ Description พร้อมบอกว่าควรเขียนยาวแค่ไหนถึงจะดี มี Keyword ที่ โฟกัสอยู่ในจุดที่เหมาะสมแล้วหรือยัง
- ส่วนของ XML Sitemaps ซึ่งช่วยให้ Bot ของ Search Engine อย่าง Google เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์เราได้มากขึ้น
- ส่วนของ Canonical URLs ที่ Yoast SEO ช่วยแก้ไขให้ได้ ซึ่งต้องทำเพื่อบอกกับ Search Engine ว่า คุณให้ความสำคัญกับหน้าไหนมากที่สุด หากมีเพจที่มีเนื้อหาที่ซ้ำกันมากกว่า 1 หน้า
3. ช่วยทำให้คอนเทนต์ของคุณมีคุณภาพมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่แสดงขึ้นบน Search Engine หรือบน Social Media เครื่องมือ Yoast SEO ก็ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งบทความให้สมบูรณ์มากขึ้นด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
- ช่วยในการแก้ไขและปรับแต่ง Featured images, Title หรือ Description ในส่วนของ Social Media ให้เหมาะสมกับความยาวของ Text และสเกลภาพของแต่ละแพลตฟอร์มได้มากขึ้น
- มีระบบ Readability Analysis ซึ่งจะคอยบอกเราว่า คอนเทนต์ที่เขียนนั้นน่าอ่านมากน้อยแค่ไหน และจะช่วยไกด์การเขียนให้อ่านง่ายมากขึ้นด้วย เช่น โครงสร้าง Paragraph, จำนวนของ Keyword ว่าหนาแน่นพอหรือไม่, การเว้นช่องไฟ เป็นต้น
วิธีติดตั้ง Yoast SEO
จะเห็นว่า Yoast SEO คือปลั๊กอินที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์และช่วยแก้ไขคอนเทนต์ให้มีคุณภาพมากขึ้นได้ในเครื่องมือเดียว แทนที่คุณจะต้องไปติดตั้งปลั๊กอินอื่นๆ เพิ่มเติมอีกหลายตัว ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว ใครที่สนใจอยากจะติดตั้ง Yoast SEO ไว้บน WordPress ของคุณแล้วละก็…ลองดูวิธีการติดตั้งด้านล่างได้เลยครับ
- ทำการ Log-in เข้าไปยังเว็บไซต์ WordPress ของคุณ
- ให้ไปที่แถบเมนูด้านข้าง แล้วเลือก Plugins
- หลังจากนั้นให้คุณกด ‘Add New’ เพื่อทำการเพิ่ม Plugin ใหม่ แล้ว Search หา Yoast SEO ในช่องทำการค้นหา
- กดปุ่ม Install Now หลังจากนั้นรอจนกว่าจะทำการติดตั้งเสร็จ
- หลังทำการติดตั้งเสร็จปุ่ม Install Now จะเปลี่ยนเป็นคำว่า Activate ให้คุณคลิกที่ปุ่มเพื่อติดตั้งและเริ่มต้นการใช้งานได้เลยครับ
สอน Yoast SEO
หลังจากทำการติดตั้ง Yoast SEO แล้ว คราวนี้ผมจะมาสอนวิธีการตั้งค่าและใช้งาน Yoast SEO กันต่อครับ มาลองดูกันดีกว่าว่าเครื่องมือนี้มีหน้าตาฟีเจอร์ หรือวิธีการใช้งานอะไรที่น่าสนใจบ้าง
ตั้งค่า Yoast SEO แบบพื้นฐาน
สำหรับใครที่เพิ่งติดตั้ง Yoast SEO เป็นครั้งแรก สามารถทำการตั้งค่าเครื่องมือแบบพื้นฐานได้ ดังนี้
- ไปที่แถบเมนูด้านซ้ายมือแล้วเลือกที่ “Yoast SEO”
- จะมีการ์ดปรากฏขึ้นมาในหน้า Dashboard ว่า First-time SEO Configuration ให้คุณคลิกที่ลิงก์ Configuration wizard! เพื่อทำการตั้งค่าเบื้องต้น
- ต่อมาจะเข้าสู่หน้าหลักในการตั้งค่า ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะดูวิดีโอการใช้งานทางด้านขวา หรือจะเข้าไปตั้งค่าเลยในด้านซ้าย หากคุณต้องการตั้งค่าให้คลิกที่ปุ่ม Configure Yoast SEO
- เมื่อเข้ามาในหน้าตั้งค่า คุณจะพบกับคำถามประมาณ 9-10 คำถามที่ช่วยตั้งค่าการใช้งาน Yoast SEO ในเบื้องต้นให้กับคุณ เช่น
- Environment : เป็นการเลือกว่า เว็บไซต์ของคุณะพร้อมที่จะให้ Bot เข้ามาเก็บข้อมูล (Index) แล้วหรือยัง
- Site type : เป็นการเลือกว่าเว็บไซต์ของคุณจัดอยู่ในประเภทใด เช่น เป็นเว็บบล็อก เว็บขายสินค้าออนไลน์ เว็บข่าว เว็บธุรกิจขนาดเล็ก เป็นต้น
- Company or person : เลือกว่าเว็บไซต์ของคุณจัดตั้งในนามบริษัทหรือส่วนบุคคล ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไปแสดงผลใน Google’s Knowledge Graph Card บนหน้า Result ของ Google อีกด้วย
- หลังจากที่คุณทำการตั้งค่า Yoast SEO ในขั้นพื้นฐานจนครบแล้ว ให้คุณกลับมายังหน้า Dashboard แล้วเลือกที่แถบเมนู Features ที่อยู่ข้างๆ โดยส่วนนี้เป็นส่วนของการตั้งค่าที่ให้คุณเลือกว่า อยากให้ปลั๊กอินช่วยดูแลในส่วนไหนบ้าง ซึ่งคุณสามารถเลือกเปิด-ปิดการใช้งาน Features เหล่านี้ได้ด้วย เช่น การปรับแต่ง XML Sitemap เป็นต้น
Yoast SEO มีวิธีใช้งานอย่างไร
คราวนี้มาดูกันว่า หน้าตาการใช้งานจริงของ Yoast SEO จะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วจะช่วยให้คุณปรับปรุงคอนเทนต์หรือเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ Search Engine ได้อย่างไร
1. ปรับแต่ง Keyword จาก Focus Keyword เพียง 1 คำ
เมื่อคุณนำ Keyword ที่จะใช้บนหน้าคอนเทนต์วางลงไปในช่อง Focus Keyword ของ Yoast SEO คุณจะเห็น Checklist ที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้ดีต่อการทำ SEO มากขึ้น โดยคุณจะต้องย้อนกลับไปแก้ไขจำนวน Keyword ให้อยู่ใน Density ที่เหมาะสม (ไม่ควรเกิน 2.5%) โดยจะต้องพบอยู่ใน …
- Title
- Description
- Slug
- Alt ของรูปภาพ
- เนื้อหา ทั้งใน Heading, Sub heading และ Body ของบทความ
2. ปรับแต่ง Title, Description และ Slug
วิธีการคือ คุณจะต้องวาง Title, Description และ Slug ในความยาวที่เหมาะสม โดยตรวจสอบความยาวได้ที่ปุ่ม Edit Snippet หากเขียนได้ในความยาวที่เหมาะสมแล้ว แถบที่อยู่ด้านล่างทั้งหมดจะกลายเป็นสีเขียว และอย่าลืมวาง Focus Keyword ลงไปด้วย
3. ปรับแต่ง Focus Keyword ให้กระจายอยู่ทั่วทั้งบทความ
ให้คุณ Copy ชื่อที่พิมพ์ไว้ในช่อง SEO Title มาใส่ไว้ในส่วน Title ของบทความให้เรียบร้อย และอย่าลืม keyword density คือ การนำ Focus Keyword มากระจายให้เหมาะสมทั่วทั้งบทความ SEO แนะนำให้มี Focus Keyword เริ่มต้นตั้งแต่ในย่อหน้าแรกนะครับ เพราะจะทำให้เหมือนเป็นการสรุปให้ Google เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของ Keyword กับบทความนี้ นอกจากนี้อย่าลืมใส่ Keyword ลงไปในหัวข้อ <H1> <H2> <H3>… เพิ่มเติมด้วย หากมีปริมาณ Keyword ที่เหมาะสม ไฟในหัวข้อของ Keyword Density จะกลายเป็นสีเขียวทันที
4. ตรวจสอบ External link และ Internal links
Yoast SEO ยังมี Checklist ที่ช่วยตรวจสอบว่าคุณได้ใส่ External link และ Internal links แล้วหรือยัง โดยคุณสามารถทำการส่งลิงก์ไปยังเว็บไซต์ภายใน หรือภายนอกได้ทั้งวิธีการทำลิงก์แบบ Anchor Text (การทำ Hyperlink บนข้อความ) หรือจะใส่ลิงก์ลงไปตรงๆ เลยก็ได้ครับ
5. ทำให้ความยาวเนื้อหามีความเหมาะสม
Yoast SEO มีข้อกำหนดในเรื่องของความยาวของเนื้อหาไว้ด้วยครับ ซึ่งถ้าคุณอยากจะทำให้มีความยาวที่เหมาะสมก็ควรที่จะเขียนให้มีความยาวอย่างน้อย 300 คำขึ้นไปในภาษาอังกฤษ ซึ่งถ้าเทียบกับภาษาไทยก็จะอยู่ที่ประมาณ 700 คำครับ
6. ตรวจดูการจัดวางบทความ
อย่างที่บอกครับว่า Yoast SEO มีระบบ Readability Analysis ที่บอกด้วยว่าเนื้อหาในบทความของคุณน่าอ่านหรือไม่ ดังนั้น คุณจึงควรจะเขียนให้อ่านง่าย มีการเว้นบรรทัด และแบ่งความยาวของ Paragraph ไม่ให้เกิน 5 บรรทัด นอกจากนี้ก็ควรจะมีรูปภาพ หรือวิดีโอต่างๆ เพื่อทำให้บทความน่าสนใจเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย
7. ปรับแต่ง Featured images, Title หรือ Description ของ Social Media
นอกจากจะเป็นตัวช่วยในการทำบทความ Long Form แล้ว Yoast SEO ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยปรับแต่งแก้ไขทั้ง Featured images, Title และ Description เพื่อให้คอนเทนต์ที่คุณนำไปโพสต์บน Social Media ดูดึงดูดและใช้ลูกเล่นภาษาได้มากกว่า โดยไม่ต้องคำนึงถึง Focus Keyword ที่จะต้องใช้ด้วยครับ
สรุป
จะเห็นว่า Yoast SEO มีประโยชน์มากๆ เลยใช่มั้ยครับ สำหรับคนทำเว็บไซต์ด้วย CMS อย่าง WordPress ยังไงก็อย่าลืมดาวน์โหลดมาติดตั้งไว้ รับรองว่าเป็น Tool สารพัดประโยชน์ที่คนทำ SEO ทั้งมือใหม่และเชี่ยวชาญแล้วจำเป็นต้องใช้แน่นอนครับ
สำหรับท่านไหนต้องการจะทำ SEO สามารถปรึกษา NerdOptimize บริษัท รับทำ SEO ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายครับ