Home - SEO - SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร ดูวิธีการทำ SEO และ SEM ที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับได้เร็วขึ้น

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร ดูวิธีการทำ SEO และ SEM ที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับได้เร็วขึ้น

SEO กับ SEM คืออะไร + ทำความรู้จักกับ SEO vs SEM

อยากทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Seaech Engine อย่าง Google ควรทำ SEM หรือ SEO มากกว่ากัน? … นี่คงเป็นปัญหาสำหรับคนที่เริ่มต้นทำเว็บไซต์และต้องการใช้เทคนิคการทำการตลาดทั้ง 2 แบบเข้ามาช่วยดันอันดับให้ผู้คนหาเจอมากขึ้น เพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นทำอะไรดีระหว่าง SEM VS SEO หรือควรทำอะไรก่อน-หลัง เพื่อให้ทำอันดับได้เร็วขึ้น

ไม่ต้องไปหาคำตอบที่ไหนแล้ว วันนี้ผมได้รวบรวมเรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ SEO และ SEM มาไว้ให้คุณแล้ว โดยผมมีสิ่งสำคัญที่จะอธิบายให้คุณฟัง ดังนี้

  • SEO กับ SEM คืออะไร
  • ความแตกต่างของ SEO กับ SEM
  • ทำ SEO กับ SEM ดีอย่างไร
  • เทคนิคการทำ SEM (ทั้ง SEO และ PPC) พื้นฐาน
  • SEO กับ PPC ควรเริ่มทำอะไรก่อน-หลัง

หากหัวข้อเหล่านี้คือสิ่งที่คุณสนใจ ตามไปอ่านรายละเอียดพร้อมกันเลยดีกว่า

SEO กับ SEM คืออะไร ?

ก่อนจะไปทำความเข้าใจเรื่องวิธีการทำ SEO และ SEM เรามาเรียนรู้เกี่ยวกับความหมายของ 2 คำนี้ก่อนว่า SEM คืออะไร และ SEO คืออะไร เพื่อเป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจในเบื้องต้นกันก่อน

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing

SEM คือ การทำการตลาดออนไลน์บนระบบ Search Engine อย่างเช่น Google Yahoo Baidu เป็นต้น (ซึ่งในบทความนี้จะขอพูดถึงเฉพาะการทำ SEM บน Google เป็นหลัก) ทำให้คนสามารถค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอได้จากการพิมพ์ Keyword สำคัญในเรื่องที่เกี่ยวข้อง 

สรุปแล้ว SEM แปลว่า รูปแบบการทำการตลาดออนไลน์ประเภทหนึ่งที่เน้นการทำงานกับระบบ Search Engine เรียกได้ว่า เป็นเหมือนหัวข้อใหญ่ที่ครอบคลุมรูปแบบการทำการตลาดร่วมกับระบบ Search Engine ที่ประกอบด้วยการทำ SEO, การทำ Local SEO และการทำ Paid Search 

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing ประกอบด้วย SEO Local SEO และ Paid Search + องค์ประกอบของ SEM

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization

ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ SEO คือ วิธีการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ Ranking แบบ Organic Search โดยอาศัยเทคนิคการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ทาง Google กำหนด ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์ E-A-T Factor หรือ Core Web Vitals ซึ่งจะช่วยทำให้เว็บไซต์สามารถค้นหาเจอได้แบบเป็นธรรมชาติและไม่เสียเงินในการซื้อพื้นที่โฆษณาด้วยการทำ Padi Search  

ดังนั้น SEO/SEM จึงมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างไรบ้างนั้น ตามไปดูต่อได้ในหัวข้อถัดไปกันเลย

ความแตกต่างของ SEO กับ SEM มีอะไรบ้าง ? 

สำหรับคำถามที่มักถามกันว่า SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร? ก่อนอื่นเรามาแก้ความเข้าใจผิดกันก่อนกับการที่หลายคนเข้าใจผิดไปว่า SEM หมายถึงการซื้อ Google Ads เพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้ว SEM (Search Engine Marketing) เป็น “ร่มใหญ่” ที่ครอบคลุมทั้ง SEO (Search Engine Optimization) และ PPC (Pay Per Click) หรือการโฆษณาบน Search Engine เช่น Google Ads

โดยที่ SEO จะเป็นการทำเพื่อประสิทธิภาพเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต่อการคลิก (PPC) เข้าเว็บไซต์ ส่วน PPC จะเป็นการทำโฆษณาแบบจ่ายเงินเมื่อมีการคลิก (Paid Search) ซึ่งแสดงผลลัพธ์พร้อมสัญลักษณ์ “Ad” ขึ้นมา

สำหรับตำแหน่งของผลลัพธ์ที่ปรากฏจะเป็นแบบนี้ 👇

ตำแหน่งของ Paid Search กับ SEO บน SERP + ตัวอย่างผลลัพธ์ของการทำ SEM Marketing

ผลลัพธ์ของการทำ SEM Marketing ทั้ง 2 รูปแบบที่ปรากฏอยู่บน SERPs

  1. Paid Search มักอยู่ด้านบนสุดหรือล่างสุดของหน้าผลลัพธ์การค้นหา (SERPs) พร้อมคำว่า “Ad”
  2. Organic Search ปรากฏอยู่หลังจาก Paid Search โดยจัดอันดับตามคุณภาพเว็บไซต์ที่ตรงตามเกณฑ์ของ Google

ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ SEO เป็นส่วนหนึ่งของ SEM และ SEM ไม่ได้หมายถึงเฉพาะ Paid Search เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการทำ SEO และ Local SEO อีกด้วย

การทำ SEO กับ SEM ดีอย่างไรต่อธุรกิจของคุณ ? 

สำหรับการทำ SEO กับ SEM นั้นส่งผลดีอย่างไรกับตัวเว็บไซต์หรือธุรกิจของคุณอย่างไรบ้าง? จะขอลิสต์ออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้

  • การสร้าง Traffic : แน่นอนว่า การทำ SEO กับ SEM เป็นช่องทางการทำการตลาดที่ช่วยให้เว็บไซต์ได้ Traffic กลับมาทั้งในรูปแบบของ Organic Traffic และ Paid Traffic
  • การสร้าง Brand Awareness : เพราะการค้นหาเว็บไซต์ของคุณเจอบน Google ย่อมเป็นเหมือนการประชาสัมพันธ์ให้คนรู้ว่า คุณคือใคร ขายอะไร และจะช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้อย่างไร เพราะการทำ SEM SEO และ PPC นั้นจะต้องพึ่งพาการทำ Keyword Research ที่ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายสนใจด้วยนั่นเอง
  • การได้มาซึ่ง Lead : จากข้อที่แล้ว เมื่อคุณทำ Keyword ที่ตรงกับสิ่งที่คนค้นหา บวกกับเว็บไซต์ดี คอนเทนต์คุณภาพ และรู้เทคนิคการทำ SEO กับ SEM อย่างดีแล้ว ก็ย่อมได้มาซึ่ง Lead ที่มีโอกาสจะกลายเป็นลูกค้ามากยิ่งขึ้น
  • โอกาสในการสร้าง Conversion : เพราะการทำ SEM SEO และ Paid Search สามารถโยงไปถึงขั้นปิดการขายได้ (ถ้าทำเป็น) ซึ่งก็จะช่วยทำให้คุณสร้างยอดขายและกำไรจากการทำการตลาดในช่องทางนี้ได้ด้วย
  • ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ : เพราะเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาบน Google มักจะสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาผู้ค้นหา ถือว่าเป็นเว็บไซต์ที่ Google มองว่ามีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือ
  • เพิ่ม ROI (Return on Investment) ให้กับธุรกิจ : เพราะ Search Enginev นั้นมีผู้ใช้งานอยู่ทั่วโลก การเข้าถึงธุรกิจจึงทำได้ทั้งในระดับ Local และ Global จึงช่วยเพิ่ม ROI ให้กับธุรกิจจากการทำการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายได้มากขึ้นและตรงกลุ่มมากขึ้น

เทคนิคการทำ SEM (ทั้ง SEO และ Paid Search) พื้นฐาน

สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มต้นทำ SEO and SEM อาจจะอยากรู้ว่าจะมีเทคนิคอะไรบ้างที่มือใหม่ควรนำไปประยุกต์ใช้ วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกันแล้ว ดังนี้

เทคนิคการทำ SEO

การทำ SEO เป็นแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ติดอันดับในหน้า Search Engine ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น…

  1. การทำ Keyword Research 

การทำ Keyword Research คือ การวางแผนคีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายจะใช้ค้นหาบน Google แล้วเข้ามาเจอกับเว็บไซต์ของเรา โดยการทำ Keyword Research ที่ดีนั้นจะต้องอ้างอิงสิ่งที่เรียกว่า Search Intent หรือเจตนาของผู้ค้นหาว่า เขาค้นหาเรื่องนี้เพราะอะไร เช่น ค้นหาว่า SEM SEO คือ นั่นอาจหมายถึงกำลังค้นหานิยามของคำว่า SEM และ SEO อยู่ ต้องการรู้ว่าคืออะไร และอาจจะอยากทราบความแตกต่างเพิ่มเติม

หน้าที่ของคนทำเว็บไซต์ก็ต้องทำการสร้างเนื้อหาและใช้ประเภท Keyword ที่เหมาะสม และมีคนค้นหามาทำเป็นบทความ วิดีโอ และมีรูปภาพประกอบอยู่บนเว็บไซต์ เพื่อให้ Google Bot เข้ามาเก็บข้อมูล และถ้าเราทำได้ดี เว็บไซต์ก็มีโอกาสที่จะติดอันดับบน Google ใน Keyword ที่ต้องการได้ง่ายมากขึ้น

  1. การทำ Technical SEO

การปรับปรุงเว็บไซต์ในด้านเทคนิค หรือที่เรียกกันว่า Technical SEO เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ Google มองว่าเว็บไซต์มีคุณภาพมากขึ้นจากการจัดระเบียบโครงสร้างของเว็บไซต์ หรือส่วนประกอบทางด้านเทคนิคที่ช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดี ส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสถูกจัดอันดับในตำแหน่งที่สูงมากขึ้น โดยการทำ  Technical SEO จะมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น

  • การทำ HTTPS ที่ถือเป็นระบบการเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีการเข้ารหัส เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานเว็บไซต์
  • การทำ Redirect เพื่อแก้ปัญหาหน้าเว็บไซต์ที่พังหรือหายไป เช่น การทำ Redirect 301 เป็นต้น
  • การปรับปรุง Page Speed ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วมากยิ่งขึ้น
  1. การทำ Website Structure

การทำ Website Structure คือ การวางโครงสร้างของเว็บไซต์ เพื่อให้ Bot เข้ามาจัดทำดัชนี (Index) ของเว็บไซต์ได้ง่าย ช่วยให้ Bot มองเห็นว่า แต่ละหน้าของเว็บไซต์เชื่อมโยงกันอย่างไร และช่วยให้การใช้งานในฝั่งของ User เองเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันปัญหาคอนเทนต์ซ้ำซ้อนหรือที่เรียกกันว่า การเกิด Duplicate Content ​ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับได้อีกด้วย 

(ลองทำความรู้จักกับ Site Structure หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า Sitemap ได้ที่ Sitemap คืออะไร ? ศึกษาความสำคัญของ Sitemap อีกหนึ่งองค์ประกอบของการทำ SEO)

  1. การทำ On-Page SEO

On-Page SEO คือ วิธีการปรับแต่งเว็บไซต์ที่เรามองเห็นได้ให้ตรงกับสิ่งที่ Google มองว่ามีคุณภาพ เช่น การปรับแต่ง Title tags , Meta Description ด้วยการใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องลงไป, การใส่ HTML Tags (H1, H2, H3..), การทำ Internal Link ในบทความ เป็นต้น ซึ่งเทคนิคการทำ On-Page SEO เหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์สามารถติดหน้าแรกเมื่อมีการค้นหาบน Google ให้กับคุณได้ด้วยเช่นเดียวกัน

  1. การทำ Off-Page SEO

การทำ Off-Page SEO คือ การทำ SEO จากภายนอกเว็บไซต์ โดยจะเกี่ยวข้องกับการทำ Link Building กลับมายังเว็บไซต์ โดยคุณจะต้องทำการหา Backlink ที่มีคุณภาพ และเกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งเป็นวิธีการทำ SEO สายขาว ที่จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือในสายตาของผู้ใช้งานและ Search Engine แบบยั่งยืน ซึ่งการจะได้ลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมานั้นมีอยู่หลายเทคนิคด้วยกัน เช่น ทำ Guest Posting ด้วยการเขียนบทความบนเว็บไซต์อื่นแล้วอ้างอิงลิงก์มายังเว็บไซต์เรา, การทำ Influencer Outreach เป็นต้น

  1. การทำคอนเทนต์

ไม่ใช่การเขียนคอนเทนต์ทั่วไป แต่จะต้องเป็นการเขียนคอนเทนต์ในเชิง SEO ด้วย โดยคุณจะต้องเข้าใจในเรื่องของ Search Intent ของผู้ใช้งานว่า ทำไมเขาถึงค้นหาคำนั้นๆ ลงบน Search Engine เพื่อที่จะได้ผลิตคอนเทนต์ออกมาได้ตรงกับสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ และช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้อย่างตรงจุด ซึ่งนี่คือปัจจัยหนึ่งที่ทาง Search Engine อย่าง Google จะจัดอันดับให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นได้ด้วย 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม : SERP คืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับคนทำ SEO แนะนำให้อ่านบทความนี้

เทคนิคการทำ Paid Search

มาถึงการทำโฆษณาบน Google ซึ่งเป็นอีกหนึ่งขาของ Google SEM นั่นคือการทำ Paid Search หรือที่หลายคนเรียกว่า PPC ซึ่งจะมีสิ่งที่คุณต้องรู้ในขั้นพื้นฐาน ดังต่อไปนี้

1. การ Bidding

การทำโฆษณาจะต้องทำการ Bidding หรือคือการประมูลราคา เพื่อเสนอราคาที่อยากจะจ่ายสำหรับการขึ้นโฆษณาในอันดับต่างๆ บนหน้าแรกของโฆษณาบน Google โดยอาจจะทำการจ่ายค่าโฆษณาตามจำนวนครั้งที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาเพื่อเข้าไปชมในเว็บไซต์ (Pay Per Click : PPC) ผ่านการสร้างแคมเปญโฆษณาตาม Keyword ที่วางแผนไว้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยความชำนาญ และเข้าใจในเรื่องของการตั้งค่าเพิ่มเติม เช่น ต้องวิเคราะห์ Keyword Competition เพื่อกำหนดราคาประมูลที่เหมาะสมได้, รู้ว่า Bidding มีหลายประเภท เช่น 

  • CPC (Cost Per Click): จ่ายเงินตามจำนวนคลิก 
  • CPM (Cost Per Thousand Impressions): จ่ายเงินตามจำนวนการแสดงผล 1,000 ครั้ง 
  • CPA (Cost Per Acquisition): จ่ายเมื่อเกิดการกระทำตามเป้าหมาย เช่น การกรอกฟอร์มหรือซื้อสินค้า

2. การทำ Quality Score

Quality Score ถือเป็น Metrics สำคัญมากสำหรับการทำ Paid Search โดย Google จะตีคะแนนของ Keyword ที่ใช้อยู่ มีคุณภาพมากแค่ไหน และตรงกับสิ่งที่คนเสิร์ชต้องการหรือไม่ มีการดูคุณภาพของหน้า Landing Page ประกอบว่าหน้า Landing Page โหลดเร็ว เป็นมิตรกับมือถือ และมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาหรือไม่ รวมถึงดู Click Through Rate (CTR) ของ Ads ของคุณว่ามีคนคลิกหรือไม่ ซึ่งการมีคะแนน Quality Score สูง ก็จะช่วยให้อันดับโฆษณาสูงขึ้น แสดงบ่อยขึ้น และค่าคลิกถูกลงอีกด้วย

3. การทำ Ad Copy

การเขียน Copy ของโฆษณาที่ดีย่อมช่วยให้การทำ Paid Search เพราะการทำข้อความโฆษณาที่ดี = CTR สูง และ CTR หมายถึง คะแนนคุณภาพที่ดี หมายความว่าคุณจะจ่ายค่าโฆษณาน้อยลง โดยอาจจะดูว่า Ad Copy นั้นมีข้อกำหนดในการสร้างอย่างไร เช่น

  • Headline: จะต้องเขียนข้อความที่ชวนให้คลิกในจำนวน 30 ตัวอักษร เช่น “ลดราคา 50% เฉพาะวันนี้!”
  • Description: บรรยายข้อดีหรือจุดเด่นใน 90 ตัวอักษร เช่น “ส่งฟรีทั่วประเทศ ซื้อได้แล้ววันนี้ ส่วนลดใช้ได้ภายในสิ้นเดือนนี้เท่านั้น!”
  • Display URL: แสดง URL ที่เข้าใจง่าย เช่น www.example.com/โปรโมชั่น เป็นต้น

SEO กับ PPC ควรเริ่มทำอะไรก่อน-หลัง

การเลือกเริ่มต้นระหว่าง SEO หรือ PPC (Paid Search) เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย โดยเฉพาะเมื่อวางแผนการทำ SEM (Search Engine Marketing) ทั้งสองวิธีมีจุดเด่นและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าจะเลือกว่าจะเริ่มต้นด้วย SEO หรือ PPC ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ดังนี้

คุณจะโฟกัสการทำ SEO ก็ต่อเมื่อ…

1. คุณมีงบประมาณที่จำกัด 

ถ้าหากคุณทำเว็บไซต์เอง เป็นสตาร์ทอัพหรือเป็นธุรกิจขนาดเล็กก็อาจจะไม่ได้มีงบประมาณในการทำการตลาดมาก จึงจะเหมาะกับการทำ SEO ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินมากมาย เพียงแต่คุณจะต้องลงแรงในการทำเว็บไซต์ และรอผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาที่นานกว่าหน่อยเท่านั้นเอง

2. คุณสามารถรอได้

อย่างที่บอกไปแล้วว่า การทำ SEO จะใช้เวลา หากคุณสามารถค่อยๆ ทำ และรอผลลัพธ์ให้เกิดการติดอันดับแบบเป็นธรรมชาติได้ การทำ SEO คือคำตอบสำหรับคุณ

3. เว็บไซต์ของคุณมี Link Building ที่ดี

หากคุณทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพมาก และได้รับการอ้างอิงที่ดีจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่น่าเชื่อดีและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วยล่ะก็…นี่คือโอกาสที่ดีที่จะปั้นเว็บไซต์ให้ติด SEO มากๆ เพราะการทำ Link Building เป็นอีกหนึ่งขาของ Off-Page SEO ที่มีผลต่อการจัดอันดับด้วยเช่นกัน

4. คุณเป็นธุรกิจที่เน้นการสร้างแบรนด์ในระยะยาว

SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบน SERP โดยไม่จ่ายเงินโฆษณา แต่ Google เลือกที่จะจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณขึ้นไปอยู่บนหน้า 1 นั่นแสดงว่า เว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือในสายตาของ Google แน่นอนว่าส่งผลต่อการสร้าง Branding ที่คนจะค้นหาอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ธุรกิจของคุณทำก็จะพบกับเว็บไซต์ของคุณในหน้าแรกเสมอ ทำให้มีโอกาสในการเกิด Conversion ที่สูงขึ้นตามมาได้อย่างรวดเร็ว

คุณจะโฟกัสการทำ PPC ก็ต่อเมื่อ…

1. คุณมีงบประมาณในการยิงโฆษณาที่สม่ำเสมอ

เพราะการทำโฆษณาอาจจะต้องทำการ Testing เพื่อหา Ads ที่ดีที่สุดในแต่ละ Keyword แน่นอนว่า ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะลงโฆษณายังไง หรือจะปรับปรุง Ads ให้ดีขึ้นอย่างไร การใช้เงินในการทำ Paid Search ก็จะเหมือนกับการนำเงินไปละลายลงแม่น้ำเลยทีเดียว ซึ่งคุณก็ควรที่จะมี Budget ที่สม่ำเสมอในการทดลอง วิเคราะห์ และปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหา Ads ที่ดีที่สุดให้เจอนั่นเอง

2. คุณสามารถสร้างและทดสอบ Landing Page ได้

การทำโฆษณา Google Ads ที่ได้ผลคุณจำเป็นต้องทำหน้า Landing Page ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของโฆษณาในแต่ละ Keyword ซึ่งถ้าหากคุณสามารถสร้างหน้า Landing Page พร้อมทำการทดสอบ A/B Testing ด้วยได้ก็จะช่วยทำให้การทำโฆษณาของคุณมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

3. คุณใช้งาน Ads Account ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เนื่องจากการทำ Paid Search จำเป็นต้องใช้ Ads Account ในการจัดการแคมเปญต่างๆ เช่น การตั้งค่า Bidding, Audience Targeting และการวิเคราะห์ CTR ฯลฯ คุณจะสามารถจัดการแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยทำให้การทำโฆษณาง่ายมากขึ้นได้ด้วย

4. คุณมีเป้าหมายที่ต้องการทำการตลาดแบบระยะสั้น

เพราะการทำ PPC ช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ทันที เช่น ช่วงโปรโมชัน หรือเปิดตัวสินค้าใหม่ ฯลฯ หากคุณใช้ Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายตามหาได้อย่างถูกต้อง พร้อมกับทำ Quality Score ไปจนถึงทำ Ads Copy ได้ดีก็จะช่วยให้เสียเงินในการ Bidding น้อยลง และกลุ่มเป้าหมายทำการคลิก Ads ที่คุณมากขึ้นด้วย

แล้วธุรกิจจะรู้ได้อย่างไรว่า สถานการณ์ไหนควรต้องทำ SEO หรือ SEM 

การเลือกว่าจะทำ SEM Google ในรูปแบบของ Paid Search หรือ SEO ในสถานการณ์ไหนบ้างนั้นเรามีสรุปมาให้ ดังนี้

เลือกทำ SEM ในรูปแบบของ Paid Search 

  • หากธุรกิจต้องการเพิ่มยอดขายทันที การใช้โฆษณา Google Ads เพื่อเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายที่พร้อมซื้อเลยในทันทีก็จะช่วยทำให้เพิ่มยอดขายได้เร็ว
  • มีแคมเปญพิเศษ เช่น ช่วงเทศกาลหรือแคมเปญโปรโมชัน การใช้ SEM ในรูปแบบของ Paid Search เหมาะเช่นเดียวกัน เพราะ Paid Search สามารถกำหนด Keyword ที่เกี่ยวข้องและส่งไปแสดงผลให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ทันที
  • กรณีที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นในช่วงเวลาเฉพาะ เช่น การลดราคาช่วง Flash Sale ก็เหมาะกับการทำ Paid Search ที่สามารถปรับแต่ง Title และ Description ได้ตามต้องการ
  • หากธุรกิจมี Landing Page ที่ออกแบบมาเพื่อการปิดการขายโดยตรง การทำ Paid Search ก็จะช่วยให้หน้าเหล่านี้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็วขึ้น
  • หาก Keyword มีการแข่งขันสูง การทำ Paid Search ช่วยให้ธุรกิจได้รับการจัดอันดับจากการ Bidding ได้เร็วกว่าการทำ SEO ที่อาศัยการทำอย่างต่อเนื่องจึงจะมีโอกาสเอาชนะคู่แข่งใน Keyword ที่ทำติดอันดับได้ยาก

เลือกทำ SEM ในรูปแบบของ SEO

  • หากต้องการทำเว็บไซต์ที่สร้าง Traffic ได้ในระยะยาวแตกต่างจาก Paid Search ที่เมื่อหยุดการโฆษณา Traffic จะลดลงทันที
  • ช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการทำโฆษณา เพราะกลุ่มเป้าหมายจะเข้ามายังเว็บไซต์แบบ Organic 
  • SEO ช่วยให้เกิด Brand Awareness และสร้างความน่าเชื่อให้กับธุรกิจได้มาก จากการที่ Google เลือกเว็บไซต์ของคุณติดอันดับที่สูงใน Keyword ที่เกี่ยวข้อง
  • หากธุรกิจต้องการสร้างบทความที่ตอบคำถามหรือให้ความรู้ เช่น บทความ SEO จะช่วยดึงดูดผู้ใช้งานที่กำลังค้นหาข้อมูลให้เข้ามายังเว็บไซต์ได้มากขึ้น
  • การทำ SEO ส่งเสริมให้เว็บไซต์มีโครงสร้างที่ดีและเนื้อหาที่มีคุณภาพ และดีต่อ User Experience (UX) เพราะเว็บไซต์จะโหลดเร็ว, ใช้งานง่าย, รองรับมือถือ (Mobile-Friendly) เป็นต้น

เปรียบเทียบข้อดี – ข้อเสียของการทำ SEO และ SEM 

การทำ SEM (Search Engine Marketing) แบ่งออกเป็น 

  • SEO (Search Engine Optimization) 
  • Paid Search (PPC – Pay Per Click) 

ซึ่งทั้งสองวิธีมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่ต่างกัน ธุรกิจควรพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจ ดังนี้

หัวข้อการทำ SEM ในรูปแบบ SEOการทำ SEM ในรูปแบบ Paid Search
ผลลัพธ์ใช้เวลานาน (3-6 เดือนขึ้นไป) เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับบน SERPs
เห็นผลทันทีหลังเริ่มแคมเปญบน Google Ads
ค่าใช้จ่ายไม่เสียค่าใช้จ่ายต่อคลิก แต่ต้องลงทุนด้านเวลาและแรงในการปั้นเว็บไซต์และทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพตามที่ Google กำหนดมีค่าใช้จ่ายต่อคลิก (PPC) ซึ่งราคาค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น Keyword, เนื้อหาบนหน้าเพจ, คู่แข่ง ฯลฯ
ความยั่งยืนให้ผลลัพธ์ระยะยาวทำให้ได้ Taffic เข้าสู่เว็บไซต์ได้อย่างสม่ำเสมอหยุดโฆษณาแล้ว Traffic จะลดลงทันที
ความน่าเชื่อถือเว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้ดีกลุ่มเป้าหมายจะรู้สึกถึงความน่าเชื่อถือโฆษณาจะแสดงพร้อมคำว่า “Ad” อาจทำให้ไม่เกิดการคลิก หรือรู้สึกว่ากำลังโดนขายของมากเกินไป
การ Optimizeต้องใช้เวลาหากต้องการทำ SEO Audit เช่น การปรับเนื้อหา, การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ ฯลฯ ปรับเปลี่ยนแคมเปญ โฆษณา หรืองบประมาณและเห็นผลลัพธ์ได้ทันที

จะเห็นว่าในแต่ละด้านของการทำ SEM นั้นจะมีทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบอยู่ไม่มากก็น้อย อาจจะต้องลองชั่งน้ำหนักดูว่า เงิน แรง และเวลาของคุณนั้นสัมพันธ์กับวิธีการทำ SEO หรือ Paid Search มากกว่ากัน และจึงค่อยๆ ลงทุนและลงแรงทำต่อไปในอนาคต

สรุปเนื้อหา SEO VS SEM ควรโฟกัสอะไรให้ประสบความสำเร็จ

หลังจากที่รู้แล้วว่า SEO SEM คืออะไร ต่างกันอย่างไร ไปจนถึงเข้าใจเทคนิคในการทำไปแล้ว มาดูสรุปของสิ่งสำคัญที่จะต้องโฟกัสของการทำ SEO และ SEM กันว่ามี Key takeaway อะไรที่ต้องจำและนำไปทำต่อบ้าง หรือถ้าต้องการจ้างบริษัทรับทำ SEO หรือแม้กระทั่งฟรีแลนซ์ที่รับทำ SEO จะต้องให้ความสำคัญกับอะไรจึงจะช่วยให้การทำ SEO และ SEM ประสบความสำเร็จ

  1. Keyword : ต้องเลือกใช้ Keyword ที่ตรงกับ Search Intent ของกลุ่มเป้าหมาย
  2. Quality Website : ปรับปรุงเว็บไซต์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ Google พึงพอใจอยู่เสมอ
  3. Content : ทำคอนเทนต์ให้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป้าหมายตามหา Search Engine จะได้มองว่าเว็บไซต์มีคุณภาพ

และนี่คือ 3 เรื่องสุดท้ายที่อยากจะฝากไว้ ก็หวังว่า บทความนี้จะช่วยทำให้คุณเข้าใจความแตกต่างของ SEO กับ SEM รวมถึงมองเห็นวิธีการเริ่มต้นทำ SEO กับ SEM รวมถึง PPC ได้มากขึ้น

รับทำ SEO ติดหน้าแรก

ค้นหา บทความอื่นๆ

Search

ผู้เขียน

Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn
Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn
Tag:

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

SEO สายเทา

SEO สายเทา (Grey Hat SEO) คืออะไร ต่างจากสายขาว สายดำยังไง เสี่ยงจริงไหมต้องรู้!

SEO สายเทา คือ วิธีการทำ SEO ด้วยการใช้ประโยชน์จากกฎที่ไม่ชัดเจนของ Search Engine หรือ Google Algorithm เพื่อช่วยให้การดันอันดับเว็บไซต์ทำได้เร็วมากยิ่งขึ้น

อ่านบทความ ➝
Google Lighthouse คืออะไร

Google Lighthouse คืออะไร เครื่องมือฟรีสำหรับสาย SEO อยากทำเว็บให้ปังไม่ควรพลาด

Google Lighthouse คือ เครื่องมือตรวจสอบเว็บไซต์ฟรี เหมาะสำหรับคนทำเว็บสาย SEO ที่ต้องการเครื่องมือตรวจสอบและแนะแนวทางเชิงเทคนิคของเว็บไซต์

อ่านบทความ ➝
EAT Factor

E-A-T Factor คืออะไร และ E-E-A-T Factor คืออะไร เรียนรู้เกณฑ์ใหม่จาก Google ในบทความเดียว!

E-A-T Factor คือ หลักเกณฑ์ ปัจจัย หรือวัตถุประสงค์ที่มีประโยชน์ ที่ Algorithm ของ Google Search นำมาใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้มีผลทำให้ลำดับค้นหาใน Google มีการปรับเปลี่ยนขึ้น-ลงจากเนื้อหา บทความต่างๆ ที่มีอยู่บนเว็บไซต์

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top