เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ดูจะเข้ามา Disrupt ในหลายวงการ ขณะนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ Generative AI ที่เรียกว่าเป็นเกณฑ์ใหม่สำหรับการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ในปัจจุบันนี้ไปแล้ว แม้แต่ Google เองก็ยังต้องออกฟีเจอร์ใหม่อย่าง “AI Overview” ซึ่งเป็นรูปแบบการค้นหาด้วยปัญญาประดิษฐ์อย่าง AI ที่จะช่วยให้คนที่ใช้ Google ในการค้นหาสิ่งต่างๆ สามารถเจอข้อมูลที่ต้องการได้เร็วยิ่งขึ้น
ในบทความนี้ เราขอพาทุกท่านมาดูกันดีกว่าว่า AI Overviews คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง และจะทำอย่างไรให้เว็บไซต์ถูกดึงข้อมูลไปแสดงผลบน AI ของ Google
AI Overviews คืออะไร แนะนำฟีเจอร์ใหม่ของ Google Search
AI Overviews คือ ฟีเจอร์ใหม่ที่เป็น AI Google Search ซึ่งเปิดให้ใช้งานในdประเทศไทยตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2024 โดยฟีเจอร์นี้มีหน้าที่คล้ายกับ Feature Snippet ที่หลายคนคุ้นเคย แต่จะเป็นการใช้ AI ดึงข้อมูลจากเว็บไซต์หลายๆ แหล่งมาประมวลผลแล้วสร้างเป็นคำตอบที่ครอบคลุมและเข้าใจง่าย
โดยเฉพาะคำถามที่มีความซับซ้อนหรือเป็นการค้นหาเพื่อดูภาพรวมของหัวข้อที่สนใจ AI Overviews ก็จะปรากฏขึ้นมาในผลการค้นหาเหมือนกันกับการใช้งาน GEO (Generative Engine Optimization) แต่อย่างไรก็ตามก็ยังต้องระมัดระวังในเรื่องของความถูกต้องของข้อมูลที่ทาง AI Overviews รวบรวมมาด้วย ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่คนทำ SEO จะต้องเรียนรู้วิธีการทำงานและการที่จะทำให้เว็บไซต์ของเรากลายเป็นหนึ่งในผลการค้นหาบน AI Overviews ให้ได้มากยิ่งขึ้น
Google AI Overviews มีหลักในการทำงานอย่างไร ?
สำหรับรูปแบบการทำงานของ Google AI Search Results หรือ AI Overviews ในปัจจุบัน การ Queries ที่จะแสดงผลเป็น AI Overviews มีเพียง 7-20% ของการค้นหาทั้งหมด ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ต่างกันตาม Research และช่วงเวลาที่ทำ Research นั้น ๆ โดย Research ใหม่ ๆ จะอยู่แค่เพียง 7-15% เท่านั้น และในตอนนี้ AI Overviews ยังไม่ได้รองรับภาษาไทย
ส่วนรูปแบบของ Keyword ที่จะแสดงผลลัพธ์ของ AI Overviews นั้นทาง Ahrefs ได้จัดทำ Research ไว้ ดังนี้
- Keyword ที่แสดงผล AI Overviews (AIO keyword) มักเป็น Long-Tail ที่มีจำนวนคำประมาณ 4 คำ
- Search Volume ของ AIO keyword น้อยกว่า Keyword ธรรมดามากถึง 98%
- Keyword ที่มี Informational Intent เป็น AIO keyword มากถึง 99.2%
- Keyword เชิงพาณิชย์และธุรกรรม เป็น AIO keyword เพียง 10%
นอกจากการได้ผลลัพธ์ที่เป็นบทสรุปแล้ว AI Results ยังแนบลิงก์ที่ผู้ใช้งานสามารถคลิกไปอ่านข้อมูลที่สนใจต่อได้ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ที่ได้รับการอ้างอิงบน AI Overviews อีกด้วย
และหลังจากการค้นหาบน Overview AI ยังสามารถที่จะกด Save คำตอบของ AI รวมไปถึงลิงก์ที่ใช้ในการอ้างอิงถึงเอาไว้ได้ แต่ข้อจำกัดคือ ในปัจจุบันรองรับเฉพาะการถามที่เป็นภาษาอังกฤษ และใช้ในอเมริกาก่อนเท่านั้น
การมาของ AI Overviews ส่งผลกระทบอย่างไรต่อการทำ SEO
แน่นอนว่า ฟีเจอร์ AI Overviews ที่มาในรูปแบบของ Google AI SEO สามารถสร้างสรุปคำตอบจากข้อมูลในหลายๆ เว็บไซต์ให้ได้อย่างรวดเร็ว จึงอาจจะส่งผลกระทบต่อการทำ SEO อยู่บ้าง เช่น
- ลดโอกาสในการคลิก (CTR) เนื่องจากผู้ใช้ Google อาจได้รับข้อมูลที่ต้องการโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ ส่งผลให้เว็บไซต์ที่พึ่งพาการดึงผู้ใช้จาก SERP อาจมีปริมาณ CTR ที่ลดลง
- ทำให้การแข่งขันในการทำ SEO สูงขึ้นในแง่ของการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ทำให้ความสำคัญของ E-E-A-T เพิ่มขึ้น
- ต้องทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเนื้อหาให้ตรงกับสิ่งที่ AI Overviews มองหา เช่น การทำเนื้อหาเป็นคำถาม-คำตอบ
ทำอย่างไรให้เว็บไซต์ของเราถูก Google AI Overviews นำข้อมูลไปแสดงผล
สำหรับใครที่ต้องการให้ AI Overviews ของ Google นำข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณไปแสดงผล สิ่งสำคัญคือการสร้างเนื้อหาและปรับแต่งเว็บไซต์ให้เป็นไปตามหลักการ SEO และเพิ่มเทคนิคต่างๆ ที่ช่วยให้ AI นำข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณไปอ้างอิงได้มากขึ้น มาดูวิธีการที่จะช่วยทำให้เว็บไซต์ถูก Google AI Overviews นำข้อมูลไปแสดงผลพร้อมๆ กันเลยดีกว่า
เขียนคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง ให้ประโยชน์กับคนอ่าน
การทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงและมีเนื้อหาที่มีประโยชน์กับสิ่งที่ผู้ใช้งาน Google กำลังมองหา คือ หัวใจสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ถูก Google AI นำไปแสดงผล
เพราะถ้าเนื้อหานั้นตรงกับ Search Intent ในกลุ่ม Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ รวมถึงมีประโยชน์ ครอบคลุมประเด็นสำคัญ มีการออกแบบคอนเทนต์ให้อ่านง่าย เช่น ใช้หัวข้อย่อย (Sub headings), การเขียนในรูปแบบ Bullet Points, จำกัดการเขียนในแต่ละย่อหน้า เป็นต้น เมื่อผู้ใช้งาน Google ทำการ Search เข้ามาเห็นเว็บไซต์แล้วเห็นว่าบทความมีประโยชน์ Traffic ก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยส่งสัญญาณให้ AI เลือกเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้นด้วย
ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามหลักการทำ SEO ให้ได้มากที่สุด
เว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้ดี จะถูกมองว่ามีเนื้อหาน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสที่ข้อมูลจะถูกนำไปใช้ใน AI Overviews ได้ ดังนั้น จึงควรปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามหลักการทำ SEO ให้ได้มากที่สุดในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น…
- On-Page SEO คือ การปรับแต่งทุกอย่างที่เห็นได้จากหน้าเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพให้ดีพอต่อผู้ใช้งานและตัว Google Bot เช่น การทำ Keyword Research, ปรับปรุง Title และ Meta Descrtiption, ปรับปรุง URL, การทำ Internal lInk และ External Link เป็นต้น
- Off-Page SEO คือ การทำ SEO จากภายนอกเว็บไซต์ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อการทำ Backlink เพื่อให้เว็บไซต์ถูกอ้างอิงถึงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยบอกให้ AI Overviews รู้ได้ด้วยว่าเว็บไซต์ที่ทำ Off-Page SEO จะเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพมากพอให้นำมาแสดงเป็นผลการค้นหาด้วย AI ได้
- Technical SEO คือ การปรับแต่งในเชิงเทคนิคในเว็บไซต์ที่ทำให้ดีต่อ SEO เช่น การทำ HTTPs, การวาง Site Structure, การทำ Robots.txt, การทำ Sitemap เป็นต้น
พยายามใช้ประโยคคำถามในการเขียน Heading Tag ของบทความ
การเขียน Heading Tag ในรูปประโยคคำถาม พร้อมกับใส่ Keyword ที่ต้องการทำอันดับลงไป เช่น AI Overviews คืออะไร? หรือ ทำอย่างไรให้เว็บไซต์ติดอันดับ Google? จะช่วยให้ AI ของ Google สามารถจับคู่คำถามของกลุ่มเป้าหมายกับเนื้อหาในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้งาน Google ที่มักจะค้นหาด้วยประโยคคำถาม ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิก เพราะตรงกับ Search Intent และ Keyword ที่คนใช้ในการค้นหานั่นเอง
Request Indexing ใน Google Search Console
Request Indexing เป็นฟีเจอร์ที่อยู่ใน Google Search Console ช่วยให้คนทำเว็บไซต์แจ้ง Google ให้ทำการ Crawl และ Index หน้าเว็บเพจใหม่หรือเพจที่ได้รับการอัปเดตได้เร็วขึ้น เมื่อ Google รู้จักหน้าเว็บและเริ่มเก็บข้อมูล AI ของ Google ก็จะสามารถประมวลผลและพิจารณาว่าเนื้อหานั้นเหมาะสมที่จะนำไปใช้ใน AI Overviews หรือไม่
แต่การ Request Indexing ไม่ได้ทำให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาทันที เพียงแค่ช่วยเร่งกระบวนการ Index ให้เร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำอันดับและมีโอกาสได้ไปแสดงผลบน AI Overviews มากขึ้นจากการทำเนื้อหาที่มีคุณภาพใหม่ๆ เข้าไปในเว็บไซต์ โดยไม่ต้องรอให้ Google Bot เข้ามา Crawl และ Index เอง
ทำไมนักการตลาดและนักทำ SEO ถึงต้องศึกษา AI Overviews
AI Overviews คือ ฟีเจอร์ใหม่จาก Google Search ที่ใช้ AI ในการสร้างคำตอบแบบสรุปจากข้อมูลหลายแหล่งใช้เพื่อหาคำตอบให้กับผู้ใช้งาน Google ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุม แน่นอนว่า การเปิดตัวฟีเจอร์นี้ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้ใช้และแนวทางการทำ SEO ไม่มากก็น้อย ดังนั้น นักการตลาดและคนทำ SEO จะต้องศึกษาและปรับตัวเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเกิดฟีเจอร์ใหม่ๆ แบบนี้ได้มากขึ้น และนี่คือเหตุผลที่ควรจะศึกษาการทำ AI Overviews ตั้งแต่ตอนนี้
- ตำแหน่งในหน้า SERP ที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะ AI Overview จะแสดงผลก่อน ดังนั้น ผู้ใช้งาน Google จะต้องเลื่อนหน้าจอถึงจะเจอผลลัพธ์ของ SEO Organic
- พฤติกรรมผู้ใช้ Google อาจเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยคลิกเข้าเว็บไซต์ก็อาจจะใช้ AI Overviews แทน ทำให้การพึ่งพาเว็บไซต์ต่างๆ ลดลง ส่งผลให้ Traffic ที่มีเข้ามาในเว็บไซต์น้อยลงไปด้วย
- คนที่ได้คำตอบและแหล่งอ้างอิงที่ปรากฏขึ้นมาบน AI Overviews อาจจะเลือกคลิกและเชื่อถือในแหล่งอ้างอิงเหล่านั้นมากขึ้น ดังนั้น จึงควรที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราเข้าไปอยู่ในแหล่งอ้างอิงของ Google Overview AI ให้ได้ด้วย
- คนทำ SEO จำเป็นต้องปรับเนื้อหาให้ตรงกับคำค้นหาที่ซับซ้อนมากขึ้น เพราะ AI Overviews สรุปเนื้อหาแบบซับซ้อนได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้ว่า AI Overviews ทำงานอย่างไร
- การทำ SEO ในยุคนี้ไม่ได้แค่การใส่คีย์เวิร์ด แต่ต้องสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์จริงๆ ดังนั้น ในเว็บไซต์ที่ทำเนื้อหาได้ดีมาก แต่ยังไม่ติดอันดับก็มีโอกาสที่จะได้รับอ้างอิงถึงบน AI Overview ได้เช่นเดียวกัน จึงควรที่จะศึกษาว่า AI Overviews มีหลักการอะไรบ้างที่ใช้ในการคัดเลือกข้อมูล
สรุปแล้ว AI Overviews จำเป็นต้องทำไหม?
AI Overviews คือ Google AI ที่แสดงผลอยู่ในผลลัพธ์การค้นหา ถ้าถามว่าสิ่งนี้จำเป็นที่คนทำ SEO จะต้องโฟกัสและพยายามที่จะทำแบบจริงจังเลยไหม? ในเบื้องต้นอาจจะเริ่มจากการปรับกลยุทธ์ SEO ให้รองรับการแสดงผลด้วย AI Overview ทั้งการเลือกทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง การให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์ หรือการตั้งชื่อหัวข้อที่เป็นคำถามมากขึ้น เพื่อให้ AI เห็นถึงความเชื่อมโยงและนำไปแสดงผลบน Google Search ในฟีเจอร์ใหม่ที่เป็น AI Overviews มากยิ่งขึ้น