การทำ SEO ไม่ได้จบแค่การใส่คีย์เวิร์ดให้ครบในแต่ละหน้าเว็บไซต์ หรือหา Backlink กลับมาให้เว็บไซต์ได้มากที่สุด แต่ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ อย่างการทำ Technical SEO ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างเว็บ ความเร็ว ความปลอดภัย และประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่เกิดขึ้นจริงเมื่อเข้ามาบนหน้าเว็บไซต์ “Interaction to Next Paint” เองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ Google ให้ความสำคัญ เพราะ INP คือตัวชี้วัดด้านประสบการณ์ใช้งานบนเว็บไซต์ หากทำได้ดีย่อมส่งผลให้ Search Engine ทำการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณใน Ranking ที่ดีด้วย
Interaction to Next Paint (INP) คืออะไร?
Interaction to Next Paint (INP) คือ ค่าชี้วัดด้านประสิทธิภาพเว็บไซต์ที่ Google ใช้วัดว่า หลังจากผู้ใช้งานมีการโต้ตอบกับหน้าเว็บแล้วระบบใช้เวลานานเท่าไรในการแสดงผลการเปลี่ยนแปลงบนหน้าจอ
การโต้ตอบกับ Next Paint (INP) คืออะไร? คำตอบคือ เวลาที่คนใช้งานเว็บไซต์ทำ Action บางอย่าง เช่น คลิกปุ่ม แตะเมนู ฯลฯ ซึ่งถ้าหากทำ Action ไปแล้วเว็บไซต์ตอบสนองช้า อย่างเช่น คลิกแล้วไม่ขึ้น ไม่เปลี่ยนหน้า ฯลฯ ผู้ใช้อาจรู้สึกหงุดหงิด และอาจกดปิดเว็บไซต์กลางคัน ซึ่งนั่นไม่เพียงแต่ส่งผลต่อประสบการณ์ของลูกค้า แต่ยังส่งผลต่อ SEO คือ การจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google โดยตรงด้วย เนื่องจาก Google เริ่มให้ความสำคัญกับ INP อย่างจริงจัง และตั้งเป้าจะใช้เป็นหนึ่งใน Core Web Vitals ตัวหลักในการจัดอันดับเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น
รู้จัก Core Web Vitals อีกหนึ่งเกณฑ์จัดอันดับเว็บไซต์ของ Google
Core Web Vitals คือ ปัจจัยชี้วัดด้านประสิทธิภาพเว็บไซต์ที่ Google ใช้ในการประเมินว่าเว็บไซต์ให้ประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งานหรือไม่ โดยจะจัดอยู่ในหมวด Page Experience หรือการสร้างประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็น SEO Checklist ที่ Google ให้ความสำคัญมากขึ้น ดังนั้น เว็บไซต์ที่โหลดช้า ตอบสนองช้า หรือมีปัญหาในการใช้งานบนมือถือมักจะทำอันดับบน Google ได้ยากขึ้น เพราะมีถึง 3 องค์ประกอบด้วยกันที่คนทำ SEO จะต้องปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ให้ได้ นั่นคือ
- LCP (Largest Contentful Paint) คือ การวัดว่าเนื้อหาหลักของหน้าเว็บโหลดเสร็จภายในกี่วินาที
- CLS (Cumulative Layout Shift) คือ การวัดความเสถียรของหน้าเว็บ ขณะโหลดหรือมีการเปลี่ยนตำแหน่งองค์ประกอบบนจอ
- INP (Interaction to Next Paint) ตัวชี้วัดใหม่ล่าสุดที่มาแทน FID (First Input Delay) โดยจะใช้วัดความเร็วในการตอบสนองหลังจากผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์
Interaction to Next Paint วัดจากปัจจัยอะไร?
Interaction to Next Paint ไม่ได้ทำแค่ดูว่าผู้ใช้คลิกแล้วเว็บตอบสนองเร็วแค่ไหน แต่ Google จะวิเคราะห์ตลอดช่วงเวลาที่ผู้ใช้มีการโต้ตอบกับหน้าเว็บไซต์ เพื่อดูว่าการโต้ตอบใดช้าที่สุด หรือ Percentile 98 แล้วใช้ค่าดังกล่าวเป็นตัวแทนของ INP สำหรับ Session นั้นๆ เพื่อสะท้อน UX จริงในสถานการณ์ที่ผู้ใช้เจอมากที่สุด ซึ่งการวัดผลจะวัดใน 3 ช่วงหลัก คือ
- Input Delay: เวลาเริ่มตั้งแต่ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์ เช่น คลิก, แตะ, กด ไปจนถึงตอนที่ Browser เริ่มประมวลผล Event นั้น (เหมือนกับที่เคยใช้วัดในค่า FID)
- Processing Time: เวลาที่ Browser ใช้ในการประมวลผล JavaScript หรือการกระทำที่ตามมาจาก Interaction นั้น
- Presentation Delay หรือ Rendering Delay: เวลาที่ใช้ในการอัปเดต UI และแสดงผลจริงบนหน้าจอ เพื่อให้ผู้ใช้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากคลิก เช่น เมนูโผล่ขึ้น ปุ่มเปลี่ยนสี ฟอร์มแสดงผล ฯลฯ
วิธีการตรวจสอบ INP ของเว็บไซต์ ดูจากเครื่องมืออะไรได้บ้าง
หากคุณต้องการทราบว่าเว็บไซต์ของคุณมี ค่า INP (Interaction to Next Paint) เท่าไรในสายตาของ Google เครื่องมือที่แนะนำที่สุดก็คือ PageSpeed Insights และ Google Lighthouse ซึ่งทั้งสองเป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยตรวจสอบ Core Web Vitals และวิเคราะห์คุณภาพเว็บไซต์ในแง่ของความเร็วและประสบการณ์ผู้ใช้งาน
ซึ่งนอกจากค่า INP แล้ว คุณยังสามารถดูค่าชี้วัดสำคัญอื่นๆ เช่น ค่า LCP (Largest Contentful Paint) หรือจะดูว่าค่า CLS คืออะไร ก็สามารถดูได้จากตรงนี้เช่นกัน สำหรับวิธีการดู INP (Interaction to Next Paint) นั้นสามารถทำได้ผ่าน PageSpeed Insights นั้น ให้ทำตาม 5 ขั้นตอน ดังนี้
- เข้าเว็บไซต์ https://pagespeed.web.dev/ แล้วใส่ URL เว็บไซต์ของคุณลงไป
- คลิกเพื่อให้ระบบประมวลผลข้อมูลของเว็บ ทั้งบน Mobile และ Desktop
- ดูผลลัพธ์ในส่วน Field Data และ Lab Data หากเว็บไซต์คุณมีผู้ใช้งานจริงเพียงพอ Google จะโชว์ค่า INP ในกลุ่ม Field Data หากไม่มีข้อมูลผู้ใช้จริง Google จะแสดงค่าจำลองใน Lab Data โดยใช้ Google Lighthouse เป็นตัวประมวลผล
- เลื่อนลงมาดูรายละเอียดในหัวข้อ Core Web Vitals Assessment คุณจะเห็นค่า LCP, CLS และ INP อย่างชัดเจน พร้อมคำแนะนำหากค่าต้องปรับปรุง
- คลิกที่คำแนะนำเพื่อดูรายละเอียดเชิงเทคนิค เช่น สคริปต์ไหนใช้เวลานาน, อะไรที่ทำให้ Interaction ตอบสนองช้า ฯลฯ เมื่อรู้แล้วก็นำไปแก้ไขตามคำแนะนำต่อได้เลย อย่างเช่น แก้ไขขนาดไฟล์ภาพด้วยการทำภาพเป็น .Webp ฯลฯ
เครื่องมือเสริม: Google Lighthouse
Google Lighthouse คือเครื่องมือ Open Source ของ Google ที่ใช้วิเคราะห์เว็บไซต์แบบรอบด้าน ซึ่งโดยปกติ Lighthouse จะถูกฝังอยู่ใน PageSpeed Insights เพื่อให้ใช้งานง่าย แต่หากคุณต้องการวิเคราะห์เว็บไซต์แบบละเอียดกว่าและเรียลไทม์กว่า เช่น หน้าที่อยู่หลัง Login หรือหน้าเฉพาะ คุณสามารถเปิดใช้ผ่าน Chrome DevTools ได้ทันที โดยไม่ต้องรอข้อมูล Field Data จากผู้ใช้จริง
เทคนิคปรับปรุง INP ให้ดีขึ้นทำได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ? คนทำ SEO ต้องรู้!
หากเช็กแล้วพบว่าเว็บไซต์ของคุณมี ค่า INP สูง นั่นแปลว่าเว็บตอบสนองต่อการคลิกหรือการใช้งานได้ช้า ซึ่งส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้ และอาจทำให้อันดับ SEO ตกโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่ต้องกังวลไป ในหัวข้อนี้เรามีเทคนิคปรับปรุง INP ให้ดีขึ้นได้ง่ายๆ ดังนี้
การปรับปรุงประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บไซต์
วิธีแรกที่ช่วยทำให้ค่า INP ลดลงคือ การปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ เพราะหากหน้าเว็บโหลดเร็ว องค์ประกอบต่างๆ บนหน้าก็พร้อมให้โต้ตอบเร็วขึ้นตามไปด้วย เราสามารถปรับปรุงได้หลายด้าน เช่น
- การใช้ Caching
ตั้งค่า Browser Caching และใช้งาน CDN ที่มีระบบ Cache เพื่อเก็บไฟล์ที่ไม่เปลี่ยนบ่อย เช่น โลโก้, CSS, JavaScript หรือฟอนต์ต่างๆ เมื่อผู้ใช้งานเข้ามาอีกครั้ง เบราว์เซอร์จะสามารถเรียกใช้ไฟล์เหล่านี้จาก Cache ได้ทันทีโดยไม่ต้องโหลดใหม่ ช่วยให้หน้าเว็บแสดงผลเร็วขึ้น
- การใช้การบีบอัดไฟล์ (Compression)
ใช้เทคโนโลยีอย่าง Gzip หรือ Brotli ในการบีบอัดไฟล์ HTML, CSS และ JavaScript ก่อนส่งให้ผู้ใช้ รวมถึงแนะนำให้แปลงรูปภาพเป็นไฟล์ WebP หรือ JPEG XL เพื่อลดขนาดโดยไม่เสียคุณภาพ ช่วยลด Bandwidth และโหลดเร็วขึ้น
- การลดจำนวน HTTP requests
ลดจำนวนไฟล์ที่เบราว์เซอร์ต้องร้องขอ โดยใช้เทคนิค Minify และ Combine ไฟล์ CSS/JS ที่ซ้ำซ้อนกัน
ลดเวลาในการตอบสนองของ UI
แม้หน้าเว็บไซต์จะโหลดเร็วแล้ว แต่องค์ประกอบที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ เช่น ปุ่ม เมนู ฟอร์ม ฯลฯ ยังคงตอบสนองช้า ก็ยังส่งผลให้ค่า INP สูงอยู่ดี ดังนั้นอีกหนึ่งเทคนิคสำคัญในการปรับปรุง INP คือการลดเวลาในการตอบสนองของ UI (User Interface) ให้ทำงานได้อย่างราบรื่นมากที่สุด โดยสามารถทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ JavaScript แบบ synchronous ที่จะบล็อก DOM ระหว่างโหลดหน้าเว็บ และเลือกใช้ async หรือ defer แทน เพื่อให้ browser โหลด script ได้โดยไม่ขัดจังหวะการแสดงผลของ UI หลัก ช่วยให้ค่า PageSpeed โดยเฉพาะ INP และ TBT ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- หลีกเลี่ยงการเขียนโค้ดที่ต้องประมวลผลหนักๆ ใน Event handler เช่น การโหลดข้อมูลจำนวนมากหรือทำงานซับซ้อนหลายขั้นตอน เพราะอาจทำให้เบราว์เซอร์ตอบสนองช้าและ INP สูงเกินเกณฑ์ แนะนำให้แยกงานบางส่วนไปทำใน Background ด้วย Web Worker เพื่อไม่ให้ block การตอบสนองของ UI
- ไม่จำเป็นต้องโหลดทุกองค์ประกอบของหน้าเว็บตั้งแต่แรก โดยเฉพาะเนื้อหาที่อยู่นอก viewport เช่น footer, gallery หรือปุ่มแชร์ต่างๆ สามารถเลือกโหลดแบบ Deferred เพื่อรอจนผู้ใช้เลื่อนถึงจุดนั้นก่อนค่อยแสดงผล วิธีนี้จะช่วยลดภาระการโหลดในช่วงแรก และทำให้ UI พร้อมใช้งานได้รวดเร็วขึ้น ส่งผลดีต่อ INP และประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวมมากขึ้น
การใช้เทคนิค Lazy Loading
Lazy Loading คือ เทคนิคที่ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเนื้อหาเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้งานจริง เช่น โหลดรูปภาพ, วิดีโอ, หรือสคริปต์ต่าง ๆ ก็ต่อเมื่อองค์ประกอบเหล่านั้นกำลังจะเข้าสู่พื้นที่มองเห็นของผู้ใช้ (viewport) แทนที่จะโหลดทุกอย่างตั้งแต่เริ่มแรก เทคนิคนี้ช่วยให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น ลดภาระงานของเบราว์เซอร์ และช่วยให้ค่า INP รวมถึงคะแนน PageSpeed ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งวิธีทำ Lazy Load ที่นิยมจะมีดังนี้
- Lazy Loading สำหรับรูปภาพ
รูปภาพที่อยู่ล่างๆ ของหน้าเว็บ เช่น แกลเลอรี, บทความแนะนำ, แบนเนอร์ท้ายเพจ ฯลฯ ไม่ควรถูกโหลดตั้งแต่แรก โดยสามารถตั้งค่าให้โหลดเฉพาะเมื่อผู้ใช้เลื่อนมาถึงบริเวณนั้นด้วย <img loading=”lazy” />
- การใช้ Intersection Observer API
ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่ซับซ้อน หรือมีบางส่วนที่ต้องใช้ JavaScript สร้างขึ้นแบบไดนามิก คุณสามารถใช้ Intersection Observer API เพื่อช่วยให้เว็บโหลดเร็วขึ้นได้ เทคนิคนี้จะคอยสังเกตว่าเมื่อไหร่องค์ประกอบ เช่น วิดีโอ, ปุ่ม, กล่องเนื้อหา ฯลฯ กำลังจะเข้าสู่หน้าจอของผู้ใช้ แล้วค่อยสั่งโหลดเฉพาะส่วนนั้นตอนที่จำเป็น
- Lazy Loading สำหรับไฟล์อื่นๆ
ไม่ใช่แค่ภาพเท่านั้นที่ Lazy Load ได้ แต่ยังสามารถใช้แนวคิดนี้กับ JavaScript หรือ CSS ที่ไม่ได้ใช้ในหน้าแรก เช่น โหลดสคริปต์เฉพาะเมื่อผู้ใช้เปิด popup, โหลด animation libraries เมื่อ scroll ถึง section ที่ต้องใช้ เป็นต้น
สรุป INP คือ ปัจจัยใหม่ที่เจ้าของเว็บต้องรู้ ก่อนอันดับร่วงแบบไม่รู้ตัว
ตลอดบทความนี้ เราได้พาคุณไปรู้จักกับ INP (Interaction to Next Paint) ซึ่งเป็นหนึ่งใน Core Web Vitals ตัวใหม่ที่ Google เริ่มนำมาใช้จริง เพื่อวัดความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์หลังผู้ใช้คลิก หากเว็บไซต์ตอบสนองช้า เช่น คลิกแล้วไม่แสดงผล, กดปุ่มแล้วรอนาน ฯลฯ Google จะมองว่าเว็บไซต์มีประสบการณ์ผู้ใช้ไม่ดีและอาจลดอันดับหน้าเว็บของคุณลงได้
นอกจากนี้ เรายังได้พูดถึงการวัดค่า INP ผ่านเครื่องมืออย่าง PageSpeed Insights และ Google Lighthouse, รวมถึงเทคนิคในการปรับปรุง INP ทั้งด้านความเร็วโหลดหน้า, JavaScript และการใช้ Lazy Loading อย่างครบถ้วน ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องซับซ้อนเช่นกันที่ต้องใช้เวลาศึกษาและเรียนรู้ก่อนจะลงมือทำ
แต่ใครที่อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่มีทีมเทคนิคที่คอยดูแลเรื่องนี้ได้ หรือไม่แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีค่า INP ดีพอหรือยัง การเลือกใช้บริษัทรับทำ SEO ที่เข้าใจ Technical SEO อย่างลึกซึ้งคือคำตอบ และ NerdOptimize บริษัทของเรามีบริการรับทำ SEO แบบครบวงจร โดยเน้น Performance จริง ไม่ใช่แค่ติดอันดับ แต่เน้นให้เว็บไซต์โหลดเร็ว ใช้งานง่าย และผ่านเกณฑ์ของ Google ทุกข้อ รวมถึง INP ที่หลายคนยังมองข้าม