Home - SEO - E-E-A-T คืออะไร? ทำไมธุรกิจต้องรู้ก่อนทำ SEO ให้ติดอันดับ Google

E-E-A-T คืออะไร? ทำไมธุรกิจต้องรู้ก่อนทำ SEO ให้ติดอันดับ Google

EEAT คืออะไร
  • E-E-A-T คือ “เกณฑ์” ที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ ไม่ใช่สูตรคำนวณในอัลกอริทึม
  • เว็บไซต์ด้านการเงินและสุขภาพจะถูกพิจารณา E-E-A-T อย่างเข้มงวดที่สุด
  • E-E-A-T สร้างได้โดยการแสดงตัวตนผู้เขียน, ทำให้เว็บโปร่งใส (About Us, HTTPS) และสร้างชื่อเสียงผ่าน Backlink คุณภาพและรีวิวที่ดีจากภายนอก

E-E-A-T คืออะไร?

E-E-A-T คือหลักเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ เพื่อดูว่าเนื้อหานั้นมีประโยชน์และน่าเชื่อถือแค่ไหนครับ โดยดูจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ Experience (ประสบการณ์จริง), Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ) และ Trustworthiness (ความไว้วางใจ)

หลักเกณฑ์ E-E-A-T จึงมีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับบน Google หากเว็บไซต์มีเนื้อหาที่ตรงตามหลักเหล่านี้ ก็จะช่วยเพิ่มทั้งความน่าเชื่อถือและโอกาสติดอันดับ SEO ได้ดียิ่งขึ้นครับ

องค์ประกอบของ E-E-A-T มีอะไรบ้าง?

องค์ประกอบของ E-E-A-T Factor จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ประการ ซึ่งถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในเอกสาร Search Quality Evaluator Guidelines (หน้า 26-27) ของ Google โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. Experience (ประสบการณ์จริง)

ตัวอักษร E ตัวแรก คือ “Experience” หรือประสบการณ์ โดย Experience ในที่นี้จะหมายถึง ประสบการณ์ของผู้สร้างเนื้อหาว่ามีประสบการณ์โดยตรงหรือประสบการณ์จริงในหัวข้อนี้หรือไม่

ตัวอย่างเช่น หากทำการเขียนรีวิว ผู้เขียนเคยใช้สินค้าหรือบริการนั้นหรือเปล่า, หากเป็นการเขียนสูตรอาหารผู้เขียนเคยทำอาหารมาก่อนหรือไม่ หรือทำการเขียนเนื้อหาจากแหล่งที่มาที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น เขียนถึงการใช้แบบฟอร์มภาษี แต่ให้ไปดาวน์โหลดเอกสารได้จากเว็บไซต์ทำอาหาร

2. Expertise (ความเชี่ยวชาญ)

เป็นหลักเกณฑ์ที่ว่าด้วยเรื่องของความเป็นกูรู (Guru) หรือความรู้และทักษะเฉพาะในด้านใดด้านหนึ่งที่ผู้เขียนหรือเจ้าของเว็บไซต์จะถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่านได้รับรู้อย่างถูกต้อง ลงลึก (Niche) และสามารถให้คำตอบกับผู้อ่านได้ด้วยโครงสร้างของเนื้อหาที่ดี

ซึ่งเกณฑ์นี้จะช่วยทำให้ Google มองเห็นว่า เว็บไซต์ไหนมีความเชี่ยวชาญจริง และควรถูกจัดอันดับใน Ranking ที่สูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ https://nerdoptimize.com/ ของเราที่เชี่ยวชาญและทำคอนเทนต์ด้าน Digital Marketing มาตลอด แน่นอนครับว่า Google มองว่า เราเป็น Expert ในด้านนี้

แต่ถ้าวันหนึ่งเราเกิดเปลี่ยนมาลงคอนเทนต์รีวิวอาหาร ในสายตาของ Google หรือตัวผู้อ่านก็คงจะมองว่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และไม่ถูกจัดอันดับเนื้อหาไว้ใน Keyword เหล่านั้นครับ

3. Authoritativeness (ความมีอิทธิพล)

หากคุณคือ Expert ในตลาดที่คุณกำลังทำอยู่ สิ่งที่จะตามมาคือ อิทธิพลหรือ อำนาจ (Authoritativeness) ที่คุณมักจะได้รับจากการอ้างอิง พูดถึง หรือที่เราเรียกกันว่า การได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง 

ยิ่งคุณได้รับการอ้างอิงมากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับการที่เว็บไซต์ของคุณได้รับการโหวตจากเว็บไซต์อื่นๆ ว่าน่าเชื่อถือ ทำเนื้อหาได้ดีจนต้องนำไปอ้างอิงต่อ ซึ่งนี่ถือเป็นการแสดงให้ Google เห็นถึงความมีอิทธิพลและความเชี่ยวชาญ สุดท้ายเว็บไซต์ของคุณก็จะถูก Google จัดอันดับ Page Ranking ที่ดีขึ้นนั่นเองครับ

4. Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)

แน่นอนว่า ถ้าคุณมีทั้งความเชี่ยวชาญและมีอิทธิพลแล้ว เว็บไซต์ของคุณก็ย่อมมีความน่าเชื่อถือ แต่ก็ต้องมาพร้อมกับ ความสดใหม่จากการทำคอนเทนต์สม่ำเสมอ ความโปร่งใสจากการระบุตำแหน่งหรือช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน และความเกี่ยวข้องของ Keyword และเนื้อหา ที่ Google มองแล้วว่าเว็บไซต์ของคุณควรจะต้องถูกจัดอันดับใน Ranking ที่สูงขึ้นด้วย

E-E-A-T สำคัญอย่างไรต่อการทำ SEO?

การทำ SEO ที่มีการแข่งขันสูง การสร้างเนื้อหาคุณภาพ (Quality Content) คือหัวใจสำคัญที่ Google ใช้พิจารณาจัดอันดับเว็บไซต์ครับ แต่คำว่า “คุณภาพ” ในมุมมองของ Google นั้นลึกซึ้งกว่าแค่การเขียนบทความที่ยาว หรือใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง และนี่คือจุดที่ E-E-A-T เข้ามามีบทบาทสำคัญที่สุดครับ

E-E-A-T ไม่ใช่ปัจจัยการจัดอันดับ (Ranking Factor) โดยตรงที่วัดผลได้เป็นคะแนน แต่เป็น กรอบแนวคิด (Framework) ที่ Google ใช้ให้ผู้ประเมินคุณภาพการค้นหา (Search Quality Rater) ทั่วโลก ใช้วัด “คุณภาพ” และ “ความน่าเชื่อถือ” ของหน้าเว็บ

ซึ่งผลการประเมินเหล่านี้จะถูกนำไปพัฒนาอัลกอริทึมของ Google ต่อไป ดังนั้น การทำเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักการ E-E-A-T จึงส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการติดอันดับที่ดีในระยะยาวครับ

และต้องบอกเลยครับว่า บริษัทรับทำ SEO ทั้งในและต่างประเทศไทย ต่างก็ให้ความสำคัญกับหลัก E-E-A-T Factor อย่างมาก เพราะจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของ Google ได้มากครับ

ทำไมต้องใช้หลักเกณฑ์ E-E-A-T?

แล้วทำไมถึงต้องใช้หลักเกณฑ์ E-E-A-T Factor ในการประเมินเว็บไซต์ของคุณด้วยล่ะ?

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 2015 ที่ Google มีการเผยแพร่เอกสารที่เกี่ยวกับ Search Quality Rating Guidelines ซึ่งถือเป็นคู่มือฉบับเต็มครั้งแรกที่ Google ออกมาเผยแพร่ข้อมูลทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการจัดอันดับการค้นหา และหนึ่งในนั้นมีการพูดถึงหลักเกณฑ์ E-E-A-T รวมอยู่ด้วย

ซึ่งเมื่อมีหลักเกณฑ์ E-E-A-T ถูกนำมาใช้ ก็ทำให้เว็บไซต์หลายๆ เว็บที่เน้นการทำสแปม ให้ข้อมูลไม่จริง เป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการอัปเดต หรือชอบคัดลอกคอนเทนต์มาจากเว็บไซต์อื่นๆ ถูกจัดการ

ทำให้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพได้มีโอกาสพบเจอ และถูกจัดอันดับไว้ใน Ranking ที่ดีขึ้น ส่งผลให้ผลการค้นหามีแต่เนื้อหาคุณภาพ (Quality Content) สำหรับผู้ใช้งานเท่านั้นครับ

E-E-A-T Factor มีความสำคัญต่อเว็บไซต์ประเภท YMYL

ที่มาภาพ : https://moz.com/blog/google-e-a-t

และในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา Google มีการพัฒนาระบบ Algorithm ที่มีชื่อว่า “YMYL” ย่อมาจาก Your Money Your Life โดยเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์เกี่ยวข้องกับการเงิน สุขภาพ การดูแลตัวเอง กฎหมาย E-Commerce ความปลอดภัย และชีวิตของผู้อ่าน 

ซึ่งเว็บไซต์เหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะบทความที่เกี่ยวกับ YMYL อาจส่งผลกระทบในแง่ลบได้หากเป็นข้อมูลบิดเบือน หรือเป็นแค่ความคิดเห็นจากผู้เขียน เช่น หากคุณป่วย แล้วต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการ แต่เมื่อค้นหาข้อมูลบน Google แล้วกลับพบแต่บทความที่มีเนื้อหาไม่ถูกต้อง ซึ่งบางคนอาจไม่รู้แล้วนำไปทำตาม นี่อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณได้ 

ดังนั้น เนื้อหาบนเว็บไซต์ของคอนเทนต์ประเภท YMYL จึงจำเป็นต้องเชื่อมโยงกับ E-E-A-T Factor และต้องทำให้ถูกต้องในหลักเกณฑ์ที่กำหนดไปโดยปริยายครับ

เนื้อหาบนเว็บไซต์แบบไหนที่ไม่เข้าเกณฑ์ E-E-A-T?

สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่า เว็บไซต์ของคุณนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ E-E-A-T Factor หรือไม่ ลองดูว่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่หรือเปล่าดีกว่าครับ 

*(หากคุณทำอยู่แนะนำให้หยุด แล้วลองเปลี่ยนไปทำวิธีที่ถูกต้องในหัวข้อถัดไป รับรองว่า จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณตรงตามเกณฑ์ E-E-A-T แน่นอนครับ)

  1. ไม่ให้แหล่งอ้างอิงในบทความ เช่น ไม่มีการทำ External Link หรือให้เครดิตไปยังเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นั่นเท่ากับว่า คุณเขียนข้อมูลขึ้นมาโดยไม่มีที่มานั่นเองครับ
  2. คุณภาพของเนื้อหาอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เช่น เขียนเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ เหมือนกับที่ผมยกตัวอย่างไปแล้วว่า หากวันหนึ่ง NerdOptimize ที่ให้ความรู้ด้านการทำ Digital Marketing กระโดดไปทำคอนเทนต์ของตลาดอื่น, คัดลอกเนื้อหาจากเว็บอื่นเป็นประจำ, ไม่มีการใส่รูป วิดีโอ หรือปรับปรุงคอนเทนต์ให้น่าสนใจ เป็นต้น
  3. ใช้หัวข้อแนว Click Bait เน้นให้คนอยากคลิก แต่จริงๆ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน
  4. เนื้อหาเป็นความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับ
  5. มีการกล่าวถึงผู้อื่นในแง่ลบ บิดเบือน ให้ข้อมูลเป็นเท็จหรือเป็นความเห็นที่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น
  6. ไม่เปิดเผยตัวตน เช่น ไม่ระบุข้อมูลที่ตั้ง ไม่มีชื่อผู้เขียน เป็นต้น

วิธีทำเว็บไซต์ให้ผ่านเกณฑ์ E-E-A-T

เช็กคุณภาพของคอนเทนต์กันไปคร่าวๆ แล้ว คราวนี้เรามาปรับปรุงเนื้อหาและเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์ E-E-A-T ในแต่ละหัวข้อกันเลยดีกว่าครับ

1. ปรับปรุงเว็บไซต์ให้เข้าเกณฑ์ Experience

Google ให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์จริง” ของผู้สร้างคอนเทนต์ คุณจึงต้องแสดงให้ผู้อ่านและ Google เห็นว่าคุณได้สัมผัส ใช้งาน หรือมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องที่กำลังเล่าครับ ไม่ใช่แค่การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งอื่น ซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • เขียนเนื้อหาจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง: ใช้คำว่า “ฉัน” “เรา” หรือ “ทีมงาน” เพื่อเล่าเรื่องราวการใช้งานจริง เช่น “หลังจากที่เราได้ลองใช้…” หรือ “เคล็ดลับที่ผมค้นพบคือ…” เพื่อสร้างความรู้สึกจริงใจและน่าเชื่อถือ
  • ใช้รูปภาพและวิดีโอที่สร้างขึ้นเอง: แทนที่จะใช้ภาพ Stock Photo, ให้แสดงภาพหรือวิดีโอที่คุณถ่ายเองขณะใช้งานสินค้า, เยี่ยมชมสถานที่, หรือกำลังทำตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันประสบการณ์
  • ให้ข้อมูลเชิงลึกที่หาจากที่อื่นไม่ได้ (Unique Insight): แชร์รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ข้อดี-ข้อเสียที่พบเจอระหว่างใช้งานจริง หรือเคล็ดลับเฉพาะตัวที่คนทั่วไปที่ไม่ได้ลองทำจะไม่รู้
  • แสดงให้เห็นถึงกระบวนการ (Show the process): หากเป็นบทความ How-to หรือ DIY ควรแสดงขั้นตอนอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์สุดท้าย เช่น การทำอาหาร, การประกอบเฟอร์นิเจอร์ หรือการตั้งค่าโปรแกรม
  • ระบุประสบการณ์ของผู้เขียนในหน้าโปรไฟล์ (Author Bio): บอกเล่าว่าผู้เขียนมีความเกี่ยวข้องหรือมีประสบการณ์โดยตรงกับหัวข้อที่เขียนอย่างไร เช่น “ผู้เขียนเป็นนักเดินทางที่ไปเยือนยุโรปมาแล้วกว่า 10 ประเทศ” หรือ “ผู้เขียนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการฝึกสุนัข มานานกว่า 5 ปี”

2. ปรับปรุงเว็บไซต์ให้เข้าเกณฑ์ Expertise

มาเพิ่มความเชี่ยวชาญของเว็บไซต์ด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและสื่อสารให้ผู้อ่านเห็นว่า คุณคือผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณกันดีกว่าครับ ด้วยวิธีการปรับเนื้อหาบทความให้น่าอ่าน พร้อมทั้งทำการปรับปรุง SEO On-Page ให้ดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน ดังนี้

วิธีการปรับปรุงคอนเทนต์ให้น่าสนใจ

  • ทำคอนเทนต์คุณภาพอย่างสม่ำเสมอ และทำคอนเทนต์ที่มีความเฉพาะ (Niche) ที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง สร้างศูนย์รวมความรู้หรือ content hub เพื่อให้คุณดูเป็น Expert ในอุตสาหกรรมมากที่สุด 
  • คำนึงถึงสิ่งที่ผู้อ่านอยากรู้เป็นหลัก เพื่อนำเสนอแต่สิ่งที่มีประโยชน์ และสร้าง Engagement ที่ดีให้กับบทความได้ทั้งจากการค้นหาบน Search Engine หรือบน Social Media ก็ตาม 
  • ทำคอนเทนต์ที่มีเนื้อหากระชับ เข้าใจง่าย มีการเว้นช่วงแต่ละย่อหน้าอย่างเหมาะสม และตรงกับโครงสร้างของการทำ SEO เพื่อให้ผู้อ่านได้คำตอบ และอยู่บนเว็บไซต์ของคุณได้นานมากยิ่งขึ้น
  • ดึงดูดความสนใจด้วยการใช้ Media ที่หลากหลาย เช่น รูปภาพ วิดีโอ ฯลฯ

วิธีการปรับปรุง SEO On-Page

  • ทำ Keyword Research ได้ตรงกับ Search Intent ของกลุ่มเป้าหมาย 
  • ใส่ Keyword ของธุรกิจคุณลงไปการทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์ใน 100 คำแรก หรือตามหัวข้อ (heading) ต่าง ๆ
  • ปรับแต่ง Title tags, Slug และ Meta Description ด้วยการใส่ Keyword
  • ใส่ HTML Tags (H1, H2, H3..)
  • ทำ Internal Links ให้เชื่อมลิงก์ไปยังหน้าเพจต่างๆ และทำ External Link ไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
  • ทำให้เว็บไซต์รองรับการอ่านบนสมาร์ทโฟน (Mobile friendly)

3. ปรับปรุงเว็บไซต์ให้เข้าเกณฑ์ Authoritativeness 

คุณจะสามารถสร้างอิทธิพลได้ ก็เมื่อได้รับความไว้วางใจที่มากพอ หรือก็คือการได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคุณสามารถทำได้ด้วยวิธีต่างๆ ต่อไปนี้

  • เขียนบทความที่สดใหม่ เน้นความถูกต้อง ชัดเจน และมีเอกลักษณ์เป็นของคุณเอง
  • ไม่ทำการคัดลอกบทความมาจากเว็บไซต์อื่น
  • โฟกัสการทำเนื้อหาที่ตอบโจทย์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น เพื่อทำให้เกิดภาพจำกับผู้อ่าน ส่วน Google ก็จะมองเห็นถึงความเชื่อมโยงของเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกันได้ด้วย
  • หมั่นแชร์บทความไปยังช่องทางอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น Social Media ของคุณเอง หรือไปเป็น Guest Writing ให้กับเว็บไซต์ต่างๆ แล้วทำการ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ
  • ทำ Pillar Page เพื่อรวบรวมเนื้อหาที่ดีที่สุด ครบที่สุด ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์คุณโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้รับ Traffic & Authority ที่มีคุณภาพกลับมา
  • เพิ่มช่องทางที่ทำให้ได้รีวิวจากผู้อ่าน เช่น การทำ Review Snippet สำหรับเว็บไซต์ที่ต้องมีการให้ Rating เช่น เว็บไซต์รีวิว อาหาร โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
  • ปรับปรุงเนื้อหาและอัปเดตอยู่เสมอ เช่น คุณทำการเขียนบทความรวมเทรนด์ในปี 2020 ไปแล้ว ก็อย่าลืมกลับมาปรับปรุงบทความนี้ให้เป็นปีล่าสุด ซึ่งช่วยทำให้ Google และผู้อ่านเห็นว่า คุณอยู่หรือเป็นผู้นำกระแส ทำให้ได้รับ Authority ที่ดีขึ้นจากการถูกนำไปอ้างอิงในฐานะ Trend Setter

4. ปรับปรุงเว็บไซต์ให้เข้าเกณฑ์ Trustworthiness 

ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ Google จะพิจารณาจาก…

  • การที่เว็บไซต์ของคุณให้เครดิตหรืออ้างอิงเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญในเฉพาะเรื่องที่คุณเขียนถึง เช่น nerdoptimize เขียนคอนเทนต์เรื่อง บทความ SEO แล้วมีการอ้างอิงถึง Google เป็นต้น หรืออาจจะใช้วิธีการให้เครดิตไปยังเว็บไซต์ที่เป็นทางการอย่าง .edu , .ac.th , .gov ก็เป็นส่วนที่เพิ่มความน่าเชื่อถือได้เช่นเดียวกันครับ
  • การสร้างช่องทางการติดต่อกับเจ้าของเว็บไซต์ได้โดยตรง เช่น การระบุตำแหน่งที่ตั้ง การใส่เบอร์โทร อีเมล หรือใส่ข้อมูลช่องทาง Social Media อื่นๆ
  • การใส่ประวัติของผู้เขียนบทความ หากผู้เขียนมีประวัติ อาชีพ หรือความเชี่ยวชาญที่ระบุว่า เกี่ยวข้องกับบทความที่เขียนด้วยก็จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ได้ครับ
  • การทำ Privacy Policy (นโยบายความเป็นส่วนตัว) เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานเว็บไซต์
  • การทำ HTTPS เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการสื่อสารหรือส่งข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  • การเพิ่มหน้า About Us ที่พูดถึงบริษัทหรือตัวเจ้าของเว็บไซต์ รวมถึงระบุเจตนาของการทำเว็บไซต์และเงื่อนไขต่างๆ ในการใช้งานโดยตรง
  • หากเว็บไซต์ของคุณมีช่องทางการชำระเงิน ควรเพิ่มนโยบายการคืนสินค้าหรือคืนเงินให้ชัดเจน

E-E-A-T ต่างกับ E-A-T ยังไง?

หลายคนที่อยู่ในแวดวง SEO หรือรับทำ SEO คุ้นเคยกับคำว่า E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) เป็นอย่างดี เพราะเป็นแนวคิดสำคัญที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพของหน้าเว็บมานานหลายปี

แต่ในเดือนธันวาคม 2022 Google Search Central ได้ประกาศการอัปเดตครั้งสำคัญครับ โดยเพิ่ม “E” อีกหนึ่งตัวเข้ามาข้างหน้า กลายเป็น E-E-A-T ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มีความหมายมากกว่าแค่การเพิ่มตัวอักษร แต่เป็นการปรับมุมมองการประเมินคุณภาพเนื้อหาให้รอบด้านและสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้มากยิ่งขึ้น

ที่มาภาพ: static.googleusercontent

เมื่อการเพิ่ม Experience เข้ามาเป็นอีกหนึ่งเกณฑ์หลักของ E-E-A-T Factor ทำให้ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) กลายเป็นศูนย์กลางของการทำ E-E-A-T Factor

เพราะการที่จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้ จำเป็นที่จะจ้องทำให้เว็บไซต์มี Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความมีอิทธิพล) และ Experience (การมีประสบการณ์) เสียก่อน ซึ่งเว็บไซต์จะน่าเชื่อถือหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการทำเว็บไซต์ในแต่ละหน้า เช่น

  • หากทำเว็บไซต์ที่เป็นร้านค้าออนไลน์ เว็บไซต์ก็ต้องมีระบบชำระเงินออนไลน์ที่ปลอดภัยและการบริการลูกค้าที่เชื่อถือได้จึงจะทำให้เกิด Trust 
  • หากทำการเขียนบทวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ก็ควรเขียนขึ้นอย่างตรงไปตรงมาเพื่อช่วยให้ผู้อื่นตัดสินใจซื้อได้ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง (แทนที่จะเป็นเพื่อขายสินค้าเท่านั้น)
  • หากทำเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อ YMYL ก็ควรที่จะให้ข้อมูลชัดเจนจะต้องถูกต้องเพื่อป้องกันอันตรายต่อผู้คนและสังคม

การให้คะแนนหน้าเว็บไซต์ตามเกณฑ์ E-E-A-T Factor

การให้คะแนนคุณภาพของเพจด้วยการประเมินจาก E-E-A-T Factor จะต้องมีปัจจัยต่างๆ ประกอบกัน ยกตัวอย่างเช่น

  • การที่เว็บไซต์มีหน้า “เกี่ยวกับเรา” บนเว็บไซต์หรือ หน้าโปรไฟล์ของผู้เขียนเนื้อหาในเว็บไซต์
  • การมี Backlink ทั้งจากการอ้างอิง บทวิจารณ์ ข่าวสาร บทความ และแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่น่าเชื่อถือ รวมถึงเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์หรือเกี่ยวข้องกับผู้เขียนเนื้อหาในเว็บไซต์ที่บ่งบอกว่าผู้เขียนมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ที่ยืนยันได้ว่ามีความน่าเชื่อถือได้
  • เนื้อหาภายในเพจ เช่น ตัวบทความ บทวิจารณ์ รีวิว การแสดงความคิดเห็น ฯลฯ อาจจะช่วยยืนยันถึงความเชี่ยวชาญของผู้เขียนเพิ่มเติมได้
  • วัตถุประสงค์ของหน้าเว็บไซต์ (มีวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์หรือไม่)
  • แสดงออกว่าเว็บไซต์มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์และมีอิทธิพลในด้านในด้านหนึ่งอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การเกิดความน่าเชื่อถือต่อไปได้

คำถามที่พบบ่อย

Google ใช้หลักเกณฑ์ E-E-A-T ผ่าน Search Quality Raters เพื่อประเมินว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์นั้นมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งมีผลต่อการแสดงผลในหน้าค้นหา

EEAT ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ SEO โดยเว็บไซต์ที่มี E-E-A-T สูงจะถูกมองว่ามีคุณภาพดีกว่าและมีโอกาสถูกจัดอันดับให้สูงขึ้นในหน้าผลการค้นหาของ Google โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเนื้อหาที่เกี่ยวกับ YMYL (Your Money or Your Life)

สรุป

การทำให้เว็บไซต์และเนื้อหาบทความให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ E-E-A-T ถือเป็นเรื่องสำคัญมากนะครับ เพราะนี่คือเครื่องหมายที่การันตีแล้วว่า เว็บไซต์ของคุณจะสามารถติดอันดับในหน้าหนึ่งได้อย่างมั่นคง ยาวนาน และไม่ตกอันดับง่ายๆ เนื่องจากได้รับการยอมรับแล้วว่า ตรงตามหลักเกณฑ์ 4 อย่าง ได้แก่ Experience, Expertise, Authoritativeness และ Trustworthiness แบบครบถ้วน

อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่เชื่อเถอะครับว่า จะทำให้การทำ SEO ของคุณได้ผลระยะยาวและเป็นขวัญใจ ของทั้งผู้อ่านและ Google อย่างแน่นอน

ผู้เขียน

Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn
Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn
Tag:

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

SEO Checker

SEO Checker | สุดยอดเครื่องมือ SEO ที่จะช่วยให้การทำ SEO ของคุณง่ายยิ่งขึ้น!

SEO Checker คือซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับวิเคราะห์และวัดผล SEO Performance มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่จะเปลี่ยนให้การทำ SEO ของคุณง่ายยิ่งขึ้นกว่าที่เคย!

อ่านบทความ ➝
Pillar Page คืออะไร สำคัญยังไงกับการทำ SEO

Pillar Page คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญกับ SEO พร้อมวิธีสร้างและตัวอย่างจริง

จะเขียนคอนเทนต์ยังไงให้เสิร์ชเจอง่าย? ชวนทำความรู้จักและเริ่มทำ Pillar page ตัวช่วยทำให้เว็บไซต์มี Ranking ที่ดี หนึ่งในเทคนิค SEO ที่นักเขียนออนไลน์ทุกคนควรรู้

อ่านบทความ ➝
เรื่องวุ่นๆ ของการเกิด Duplicate Content บนเว็บไซต์

ข้อควรรู้ Duplicate Content คืออะไร เกิดขึ้นจากอะไร ส่งผลเสียยังไงต่อ SEO

รู้ก่อนอันดับตก! Duplicate Content คืออะไร ทำไมส่งผลเสียกับการทำ SEO จะแก้ Duplicate Content ยังไงดี ดูวิธีตรวจสอบและวิธีแก้ไขได้ในบทความนี้เลย

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top