Home - Marketing - รู้จัก Email Marketing (EDM) คืออะไร? ดูกลยุทธ์การใช้อีเมลที่หลายคนมองข้าม

รู้จัก Email Marketing (EDM) คืออะไร? ดูกลยุทธ์การใช้อีเมลที่หลายคนมองข้าม

Email Marketing

แม้โลกของการทำการตลาดจะเปลี่ยนแปลงเร็วแค่ไหน แต่มีเครื่องมือหนึ่งที่ยังคงทรงพลังและสร้างผลลัพธ์ได้อย่างสม่ำเสมอ นั่นคือ Email Marketing หรือการทำ EDM Email ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ไม่ใช่แค่การส่งเมลธรรมดา แต่ยังเน้นการสื่อสารที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างเป็นส่วนตัว พร้อมปลุกยอดขายและความสัมพันธ์ในระยะยาว

ดังนั้น E-Mail Marketing คือ เครื่องมือสำคัญในโลกของ Digital Marketing  ที่ช่วยให้ Content Creator ส่งสารได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเมื่อรวมพลังกับ AI Marketing ที่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้รับด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้นักการตลาดสามารถทำ Personalized Marketing ได้แม่นยำมากขึ้น

แต่ถ้ายังไม่แน่ใจว่า การตลาด EDM คืออะไร ทำแบบไหนถึงจะเวิร์ก หรือไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร บทความนี้จะพาคุณไปดู ตัวอย่าง Email Marketing ที่ใช้งานได้จริง พร้อมเจาะลึกทุกองค์ประกอบของการทำอีเมลแคมเปญที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีรายละเอียดยังไงบ้าง ตามไปดูพร้อมกันได้เลย

Email Marketing คืออะไร?

แนวคิดของ Email Marketing

EDM ย่อมาจาก Electronic Direct Mail ซึ่งหมายถึงรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารทางการตลาดที่ส่งตรงถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านอีเมลโดยไม่ผ่านตัวกลางด้วยวิธีที่เป็นส่วนตัวและแม่นยำ

ดังนั้น Email Marketing คือ หนึ่งในเครื่องมือการสื่อสารที่สำคัญสำหรับรูปแบบหนึ่งที่ช่วยทำให้นักการตลาดส่งสารถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านอีเมลแบบตรงจุดและเป็นส่วนตัว โดยมีเป้าหมายทั้งด้านการส่งเสริมการขาย การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การแจ้งข่าวสาร หรือแม้แต่การเก็บ Feedback ของลูกค้ามาไว้ในมือ

แล้วคนส่วนใหญ่เชื่อว่า Email Marketing เป็นอะไร? 

หลายคนยังคงเข้าใจผิดว่า Email Marketing คือการส่งเมลขายของอย่างเดียว ทั้งที่ความจริงมันเป็นมากกว่านั้น เพราะถ้าถามว่า Email Marketing หมายถึง อะไรในเชิงการทำงานจริง คำตอบคือ ระบบการทำการตลาดผ่านอีเมลที่วางแผนมาอย่างมีกลยุทธ์ เช่น การเลือกกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำ, การจัดส่งตามช่วงเวลาที่เหมาะสม, การเขียนหัวข้อที่ดึงดูดใจ, การใส่ CTA ที่ชวนให้คลิก เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ E-commerce หรือ B2B ต่างก็หันมาใช้ Email Marketing เป็นหนึ่งในเครื่องมือของแผน 4P เพื่อสื่อสารกับลูกค้า แถมต้นทุนยังต่ำ วัดผลได้ และยังสร้างความรู้สึกพิเศษให้กับผู้รับได้มากกว่าช่องทางอื่นๆ ด้วย

ชวนมาทำความรู้จักกับประเภทของ Email Marketing 

หลายคนที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาการใช้อีเมลเพื่อทำการตลาดอาจสงสัยว่า Email Marketing มีอะไรบ้าง หรือมีกี่ประเภท ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการทำ EDM สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์และจังหวะในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

โดย Email แต่ละประเภทสามารถทำงานร่วมกับ Social Media, การรีวิวจาก KOL หรือแม้แต่ แฮชแท็ก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงลูกค้าที่วัดได้จากการเปิดอ่าน (Open Rate) หรือการคลิก (Click-through Rate) ได้ด้วย และนี่คือ Email Marketing ตัวอย่างในแต่ละประเภทที่ควรทำความรู้จัก ซึ่งเรารวบรวมมาให้ถึง 5 แบบด้วยกัน ดังนี้

Welcome Email

Welcome Email จะเป็นอีเมลฉบับแรกที่แบรนด์มักส่งให้ผู้สมัครใหม่ทันที เป้าหมายหลักคือสร้าง First Impression ที่ดี พร้อมมอบสิ่งจูงใจ เช่น ส่วนลด, โค้ดพิเศษ, คอนเทนต์แนะนำ ฯลฯ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเริ่มต้นมี Engagement กับแบรนด์ตั้งแต่วันแรกที่ทำการ Subscribe เข้ามา 

ตัวอย่างเนื้อหาเช่น 

Subject ของอีเมล: ยินดีต้อนรับ! รับส่วนลด 10% สำหรับการสั่งซื้อครั้งแรกของคุณ 

Preview Text: ขอบคุณที่สมัครเป็นสมาชิกกับเรา! ขอมอบส่วนลดพิเศษ 10% สำหรับการสั่งซื้อครั้งแรกของคุณ กดที่ปุ่มด้านล่างเพื่อเลือกสินค้าที่ใช่สำหรับคุณ

Promotional Email

Promotional Email คือ อีเมลที่เน้นกระตุ้นการซื้อในทันที มักใช้ในช่วงเทศกาล หรือโปรโมตโปรโมชั่นต่างๆ  นิยมใช้ส่งกันมากในสายธุรกิจ E-commerce และสามารถผนวกกับ Social Media ได้ เช่น มีลิงก์ให้แชร์โปรไปยัง Instagram หรือ Facebook พร้อมใส่ #FlashSale เพื่อกระตุ้นให้คนพูดถึงมากขึ้น 

ตัวอย่างเนื้อหาเช่น 

Subject ของอีเมล: FLASH SALE วันนี้วันเดียว! ลดสูงสุด 50%

Preview Text: ดีลสุดร้อนแรงสำหรับคุณโดยเฉพาะ สินค้าขายดี ลดราคาสูงสุด 50% วันนี้วันเดียวเท่านั้น คลิกเลยก่อนหมดเวลา!

Newsletter Email

Newsletter Email คือหัวใจของการทำ Content Marketing โดยแบรนด์มักจะส่งข้อมูล บทความใหม่ หรืออัปเดตข่าวสารของแบรนด์ให้กับลูกค้า เพื่อคงการมีส่วนร่วม (Engagement) กับผู้ติดตาม ช่วยให้แบรนด์ไม่ถูกลืม และสามารถแทรก CTA เล็กๆ เพื่อดึงคนกลับเข้าเว็บไซต์หรือ Social Media ได้เรื่อยๆ ด้วย

ตัวอย่างเนื้อหาเช่น 

Subject ของอีเมล: แนะนำบทความใหม่ 5 กลยุทธ์สร้างแบรนด์บน TikTok ที่คุณต้องรู้

Preview Text: อัปเดตเทรนด์และกลยุทธ์ล่าสุด + คอนเทนต์ที่มาแรงประจำสัปดาห์ อ่านต่อได้ที่นี่ 👉

Transactional Email

Transactional Email จะเป็นอีเมลของระบบที่ใช้เพื่อตอบกลับเมื่อลูกค้ากระทำการบางอย่าง เช่น การสั่งซื้อ, ยืนยันอีเมล, ลืมรหัสผ่าน เป็นต้น ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เพื่อขายของโดยตรง แต่ก็เป็นอีเมลที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และลดความกังวลของลูกค้าในการสมัครหรือใช้งานระบบบางอย่างของแบรนด์

ตัวอย่างเนื้อหาเช่น 

Subject ของอีเมล: คำสั่งซื้อของคุณได้รับการยืนยันแล้ว

Preview Text: ขอบคุณที่สั่งซื้อสินค้ากับเรา! รายละเอียดคำสั่งซื้อ: #100302 | จัดส่งภายใน 3 วันทำการ ติดตามสถานะที่นี่ 

Behavioral Email

Behavioral Email เป็นอีเมลที่ทำงานจากข้อมูลพฤติกรรม เช่น การคลิก, การดูสินค้า, พฤติกรรมในเว็บไซต์ ฯลฯ แล้วส่งอีเมลที่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าสนใจ เหมาะกับการทำ Personalized Marketing และหากเชื่อมต่อกับระบบ AI หรือ CRM อย่าง Salesforce จะยิ่งแม่นยำขึ้นในการเสนอสิ่งที่ใช่ ในเวลาที่ใช่

ตัวอย่างเนื้อหาเช่น 

Subject ของอีเมล: คุณกำลังสนใจ ‘รองเท้า XYZ’ ใช่ไหม?

Preview Text: เราเห็นว่าคุณดูรองเท้ารุ่น XYZ บ่อยๆ นี่คือโค้ดลด 15% พิเศษสำหรับคุณเท่านั้น! รีบเลยก่อนหมดโปรโมชั่น

ข้อดีของการทำ Email Marketing มีอะไรบ้าง?

ข้อดีของการทำ EDM Marketing

หากคุณยังลังเลว่าควรลงทุนกับอีเมลดีไหม มีข้อดีอะไรที่ทำให้เหมาะสำหรับนำมาใช้กับธุรกิจบ้าง ลองมาดู 5 ข้อดีสำคัญของ Email Marketing ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้

สร้าง Brand Awareness เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น 

แม้ว่า Email Marketing จะขึ้นชื่อเรื่องการเพิ่มยอดขายและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า แต่หนึ่งในประโยชน์ที่มักถูกมองข้ามคือการสร้าง Brand Awareness หรือการทำให้คนจดจำแบรนด์ได้มากขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะการส่งอีเมลประเภท Newsletter, อัปเดตสินค้าใหม่ หรือบทความให้ความรู้จะทำให้ชื่อแบรนด์ โลโก้ โทนเสียง และภาพลักษณ์ของแบรนด์อยู่ในสายตาของกลุ่มเป้าหมายที่ทำการเปิดอีเมลอยู่เสมอ

ช่วยเพิ่ม Lead สร้างยอดขายให้กับธุรกิจ

Email Marketing สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่ม Lead และปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อ (High Intent) หรือเคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาก่อน หลักการคือการที่แบรนด์ได้รายชื่ออีเมลมาจากการทำการตลาด เช่น การสมัครสมาชิก, ดาวน์โหลด E-book, กรอกแบบฟอร์ม Lead Generation ฯลฯ ทำให้แบรนด์สามารถส่งอีเมลที่ออกแบบเฉพาะบุคคลเพื่อกระตุ้นความสนใจและพาเข้าสู่เส้นทางการซื้อได้ทันที โดยไม่สร้างความรำคาญให้กับกลุ่มเป้าหมาย

วัดผลลัพธ์ได้แบบเจาะจง

หนึ่งในข้อดีที่ทำให้นักการตลาดมืออาชีพยังคงเลือกใช้ Email Marketing อยู่เสมอ คือ การที่เราสามารถวัดผลการส่งอีเมลได้แบบเจาะจง เช่น อีเมลฉบับไหนมีคนเปิด (Open Rate), อีเมลฉบับไหนมีคนคลิก (CTR) ฯลฯ 

นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เครื่องมือวัดผลแบบมืออาชีพ เช่น การทำ UTM Tracking เพื่อเชื่อมโยงผลจากอีเมลเข้ากับเว็บไซต์หรือ Google Analytics ได้ละเอียด, การวัด ROAS (Return on Ad Spend) สำหรับวัดประสิทธิภาพด้านการลงทุน หรือวางกลยุทธ์โดยใช้โมเดล STP (Segmentation, Targeting, Positioning) เพื่อส่งอีเมลแบบเฉพาะเจาะจงให้กลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น เป็นต้น

ต้นทุนต่ำ แต่ Conversion สูง

สำหรับธุรกิจที่อยู่ในประเทศไทย การทำ Email Marketing ในไทย กำลังเริ่มกลับมาเป็นที่นิยมในกลุ่มธุรกิจที่ต้องการ ต้นทุนต่ำแต่ Conversion สูง เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การเงิน การศึกษา E-commerce ฯลฯ เพราะสามารถส่งโปรโมชั่นหรือคอนเทนต์เฉพาะกลุ่มให้คนที่สนใจจริงได้แบบตรงจุด โดยไม่ต้องพึ่งการยิงแอดที่ต้นทุนสูงขึ้นทุกวัน

ทำ Personalized Marketing ได้

นักการตลาดสามารถใช้ EDM ทำ Personalized Marketing หรือการสื่อสารแบบเฉพาะบุคคลกับลูกค้าแต่ละคน ซึ่งแตกต่างจากการโฆษณาทั่วไปที่ยิงไปยังกลุ่มเป้าหมายกว้างๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น หากลูกค้าเคยเลือกดูสินค้าประเภทรองเท้าวิ่ง ระบบ Email Marketing สามารถส่งอีเมลแนะนำรุ่นใหม่ หรือโปรเฉพาะกลุ่มที่สนใจวิ่งโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกและซื้อได้สูงกว่าการส่งเนื้อหาแบบทั่วไป เป็นต้น

อยากทำ Email Marketing ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

สำหรับคนที่สนใจว่า Email Marketing ทํายังไง หรือควรเริ่มจากตรงไหนก่อนดี หัวข้อนี้จะมาบอกว่าคุณจะต้องเตรียมอะไรบ้าง ดังต่อไปนี้

วางระบบคิด และ Framework ที่ดี

สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมเลยก็คือ การวางระบบให้พร้อมก่อนเริ่ม เช่น การวิเคราะห์ SWOT ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมของโอกาสและความเสี่ยงได้ชัดเจน, การวางกลยุทธ์ด้วย PDCA (Plan – Do – Check – Act) คำนึงถึง 7P ของการตลาดที่ประกอบด้วย Product, Price, Place, Promotion, People, Process และ Physical Evidence รวมถึงควรตั้งเป้าหมาย (Objective) และตัวชี้วัด (KPI) ให้ชัดเจน เช่น อยากส่งอีเมลเพื่ออะไร? (เพิ่มผู้ติดตาม, ขายของ) และจะวัดความสำเร็จจากอะไร? (Open Rate, CTR, Conversion, Revenue) เป็นต้น

สร้างและจัดการรายชื่อ Email List ให้มีคุณภาพ

ก่อนเริ่มส่งอีเมลแบรนด์ต้องมีรายชื่อผู้รับที่ได้มาอย่างถูกต้องจากการทำการตลาด เช่น จัดงาน Event แล้วรวบรวมข้อมูลอีเมลผู้สมัครมา, ทำ Ebook แจกเพื่อทำ Lead Generation ฯลฯ เพราะอีเมลที่ส่งไปจะไม่มีประสิทธิภาพเลยหากได้มาแบบไม่ถูกต้อง แถมอาจโดนจัดเป็นสแปมได้ง่าย ดังนั้น ควรเน้นการเก็บรายชื่อผ่านการทำการตลาดอย่างถูกต้องจะดีที่สุด

วาง Email Content Strategy

วางแผนก่อนว่าจะส่งอีเมลประเภทไหนบ้าง เช่น Welcome, Newsletter, Promotion เป็นต้น จะส่งให้กับกลุ่มเป้าหมายบ่อยแค่ไหน เลือกใช้ภาษาและการสื่อสารแบบไหน ซึ่งเนื้อหาที่เขียนลงไปในอีเมลก็ควรที่จะมีความเกี่ยวข้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย และมี CTA (Call-to-Action) ที่ชัดเจน รวมถึงตรงกับ Objective ที่วางเอาไว้ด้วย 

เตรียมเครื่องมือ Email Marketing ที่เหมาะกับธุรกิจ

ควรเลือกแพลตฟอร์มที่มีฟีเจอร์ครบ เช่น Automation, Segment, A/B Testing และรองรับการวัดผล เช่น Mailchimp, GetResponse หรือหากทำ Email Marketing ในไทย ก็อาจใช้ ReadyPlanet, Zort, iGetWeb ซึ่งเหมาะกับธุรกิจ SMEs ที่เน้นการใช้งานง่าย 

Email Marketing มีขั้นตอนอะไรบ้าง?

หากต้องการทำ Email Marketing อย่างมืออาชีพ จำเป็นต้องเข้าใจให้ครบทั้งเชิงกลยุทธ์และเทคนิคต่างๆ ดังนั้น มาดูกันว่า ถ้าต้องการทำ EDM อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง ดังนี้

กำหนดเป้าหมายของแคมเปญ

ขั้นตอนการทำ Email Marketing ตาม Customer Journey 5 ระยะ

การวางแผน Email Marketing ที่ดีไม่ควรยิงกว้างแบบหว่านแห แต่สามารถวางเป้าหมายการส่งอีเมลตาม Funnel ที่ลูกค้าอยู่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดและต้นทุนต่ำที่สุด ดังนี้

  • Awareness Stage: ทำการส่งอีเมล Newsletter หรือคอนเทนต์ให้ความรู้ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์กับกลุ่มที่เพิ่งรู้จัก เช่น E-book, บทความน่าสนใจ เป็นต้น
  • Consideration Stage: ใช้อีเมลที่เป็นข้อความรีวิวจากลูกค้า เปรียบเทียบสินค้า หรือเน้นจุดขายเฉพาะของแบรนด์ เพื่อช่วยให้ผู้สนใจตัดสินใจง่ายขึ้น
  • Decision Stage: เสนอโปรโมชัน โค้ดส่วนลด หรือข้อเสนอจำกัดเวลา เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อทันที
  • Loyalty Stage: ส่งอีเมลโปรแกรมสะสมแต้ม หรือข้อเสนอพิเศษเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
  • Advocacy Stage: ชวนลูกค้าแนะนำเพื่อน หรือเขียนรีวิวผ่านอีเมล เพื่อเปลี่ยนลูกค้าประจำให้กลายเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์

ลงมือเขียนและออกแบบอีเมล

แนะนำสินค้ายอดนิยม ปุ่ม Call-to-Action

เมื่อคุณมีเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การลงมือเขียนและออกแบบอีเมลให้น่าสนใจ ซึ่งในปัจจุบันนี้ต้องให้ความสำคัญทั้งด้านการเขียนและการดีไซน์รูปแบบของอีเมล ซึ่งในอีเมล 1 ฉบับจะมีองค์ประกอบที่ต้องให้ความสำคัญ ดังนี้

  • เขียน Subject Line และ Pre view-header ให้ชัดและกระตุ้นความสนใจ
  • เขียนเนื้อหาที่ดูเข้าใจง่าย ไม่ทางการ แต่สื่อแก่นของแบรนด์หรือเสนอ Value ชัดเจน
  • ออกแบบ Layout ให้อ่านง่าย
  • ใช้ CTA (Call-to-Action) เด่นแต่ไม่ยัดเยียดจนดูไม่น่าคลิก

ทำ A/B Testing

A/B Testing

A/B Testing คือการทดลองส่งอีเมล สองเวอร์ชันที่แตกต่างกันเล็กน้อย ไปยังกลุ่มเป้าหมายย่อย เพื่อดูว่าเวอร์ชันไหน ได้ผลลัพธ์ดีกว่า เช่น

  • อีเมลเวอร์ชัน A ใช้หัวข้อ “รับส่วนลดพิเศษวันนี้เท่านั้น”
  • อีเมลเวอร์ชัน B ใช้หัวข้อ “ลดทันที 15% สำหรับคุณคนพิเศษ”

ระบบจะส่งอีเมลทั้งสองเวอร์ชันไปยังกลุ่มทดสอบ 10–20% ของรายชื่อ และดูว่าเวอร์ชันไหนมี Open Rate หรือ Click Rate สูงกว่า แล้วจึงส่งเวอร์ชันที่ชนะไปยังผู้รับกลุ่มที่เหลือ 

ส่งอีเมลจริง

ขั้นตอนการทำแคมเปญ Email Marketing

เมื่อลอง A/B แล้วได้เวอร์ชันที่ดีที่สุด ก็ถึงเวลาส่งจริง โดยมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือการวาง Launch Sequence ที่มักจะแบ่งออกเป็นเฟส ยกตัวอย่างเช่น 

  • PRE-LAUNCH (ก่อนเปิดตัว) : มักเป็นอีเมลปลุกกระแส หรือสร้างการรอคอย เช่น อีเมล Upcoming product launch announcement (แจ้งเตือนว่ามีของใหม่จะมา), Pre-order discount (ส่งดีลจองล่วงหน้าหรือสิทธิพิเศษเฉพาะ early birds) เป็นต้น
  • DAY OF LAUNCH (วันเปิดตัว) : เป็นอีเมลที่ช่วยเร่ง Conversion ในช่วงที่ความสนใจของตลาดพุ่งสูงสุด เพราะช่วยผลักดันการคลิกหรือตัดสินใจทันที เช่น ส่งอีเมลเพื่อแจ้งว่าเปิดขายแล้ว, พร้อม CTA ที่เด่น เช่น สั่งเลยตอนนี้, ดูสินค้าใหม่ เป็นต้น
  • POST-LAUNCH (หลังเปิดตัว) : เป็นช่วง Follow-up ที่ช่วยเคลียร์กลุ่มที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ และเสริมความเชื่อมั่นให้แบรนด์ เช่น แชร์รีวิวจากลูกค้ารายแรกๆ ที่ตัดสินใจซื้อ, ปิดท้ายด้วยโปรลดราคาชั่วคราวเพื่อเร่งการตัดสินใจกลุ่มที่ยังลังเล เป็นต้น

ติดตามผลแบบเรียลไทม์

ควรติดตาม KPI หลัก เช่น Open Rate, Click-Through Rate (CTR), Bounce Rate, Unsubscribe Rate ฯลฯ เพื่อวัดประสิทธิภาพของแคมเปญ นอกจากนี้ยังควรดู Conversion Rate และ Revenue per Email เพื่อประเมินผลตอบแทนที่แท้จริงจากแต่ละแคมเปญ แล้วนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุงแคมเปญถัดไปให้แม่นยำยิ่งขึ้น

อยากทำ Email Marketing ใช้เครื่องมือตัวไหนดี?

แล้วถ้าสนใจจะทำ EDM คำถามต่อมาคือ ควรใช้ Email Marketing เจ้าไหนดี? เพราะในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มให้เลือกหลากหลาย แถมบางเครื่องมือยังมีความสามารถในการเชื่อมต่อกับ Social Media Marketing เข้ามาเสริมช่วยให้การทำการตลาดมีความต่อเนื่อง ครอบคลุม และวัดผลได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งในหัวข้อนี้เรามีเครื่องมือทำ EDM มาแนะนำให้ 3 เครื่องมือด้วยกัน ได้แก่

Mailchimp

Mailchimp เป็นเครื่องมือ Email Marketing ที่รู้จักกันทั่วโลก ด้วยอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย มีเทมเพลตสวยงาม และระบบอัตโนมัติที่เหมาะกับทั้งมือใหม่และนักการตลาดที่เชี่ยวชาญการทำ EDM แล้วในเบื้องต้น นอกจากนี้มีเวอร์ชันให้เริ่มต้นใช้งานฟรีอีกด้วย

  • จุดเด่นของ Mailchimp
    • ใช้งานง่าย เหมาะกับคนเพิ่งเริ่มต้น 
    • มีเทมเพลตอีเมลให้เลือกมากมาย 
    • มีระบบ Automation และ A/B Testing ใช้ได้จริงในเวอร์ชันฟรี 
    • เชื่อมต่อกับ Social Media ได้ เช่น Facebook, Instagram
  • จุดสังเกต
    • หากต้องการฟีเจอร์ลึก เช่น Multivariate Test, Conditional Logic ฯลฯ ต้องอัปเกรดเป็นเวอร์ชันเสียเงิน
    • ไม่มีระบบ CRM ในตัว จะเน้นเฉพาะ Email และ Campaign Automation เป็นหลัก
    • ราคาสูงขึ้นตามจำนวน Subscribers

ActiveCampaign

ActiveCampaign เป็นแพลตฟอร์ม Email Marketing และ Marketing Automation ระดับมืออาชีพที่ได้รับความนิยมในสายงาน B2B, SaaS และธุรกิจที่ต้องการ Workflow ซับซ้อนที่สามารถเชื่อมโยงระหว่าง Email, CRM และ Customer Journey ได้

  • จุดเด่นของ ActiveCampaign
    • มีฟีเจอร์ Automation เช่น Tag, Condition, Split flow ได้แบบละเอียด
    • มีระบบ CRM และ Sales Automation ในตัว
    • เชื่อมต่อกับหลายระบบ เช่น Shopify, WordPress, Zapier
    • เหมาะกับการทำ Segmentation แบบ Behavior-based
  • จุดสังเกต
    • อินเทอร์เฟซมี Learning Curve สูงสำหรับมือใหม่
    • ไม่มีเวอร์ชันใช้งานฟรี แต่จะมีให้เป็น Free Trial เท่านั้น

Hubspot

HubSpot เป็นเครื่องมือ Email Marketing ที่ผสานเข้ากับระบบ CRM, Marketing Automation และ Sales ได้แบบครบวงจร เหมาะมากสำหรับองค์กรที่ต้องการมองภาพรวมทั้ง Customer Journey ตั้งแต่ Awareness ไปจนถึงการปิดการขาย ซึ่งมีเวอร์ชันฟรีใช้งานพื้นฐานได้ด้วย

  • จุดเด่นของ HubSpot
    • มี CRM ในตัว เชื่อมโยงข้อมูลลูกค้าระหว่างอีเมล, การขาย และบริการหลังการขาย
    • มีระบบ Automation ระดับมืออาชีพที่สามารถตั้ง Workflow ได้ละเอียดตามพฤติกรรมของลูกค้า
    • มี Dashboard รายงานสวยงาม และสามารถ Track UTM ได้ละเอียด
    • เชื่อมต่อกับ Social Media, CMS และเครื่องมืออื่นๆ ได้
  • จุดสังเกต
    • ราคาค่อนข้างสูง เมื่อใช้เวอร์ชัน Professional หรือ Enterprise
    • อินเทอร์เฟซเยอะและซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้ CRM หรือระบบ Marketing Automation มาก่อน
    • ต้องใช้เวลาเรียนรู้และวางโครงสร้างก่อนใช้งานจริง

ทำ Email Marketing ยังไงให้ยอดดี ลองดูเทคนิคนี้!

หากคุณเริ่มทำ Email Marketing แล้วพบว่ายังไม่ปัง ยอดยังไม่มา หรือ Engagement ยังนิ่ง อาจไม่ใช่เพราะส่งไม่พอ แต่เพราะยัง 6 ขาดเทคนิคตัวช่วยเหล่านี้อยู่ก็ได้ 

การตั้ง Subject Line ให้ดูน่าสนใจ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ฉันจะตั้งหัวข้ออีเมลให้น่าสนใจได้อย่างไร? เพราะนี่เป็นเหมือนด่านแรกที่ช่วยกระตุ้นให้คนคลิกเปิดอีเมล ซึ่งเทคนิคที่สามารถทำได้นั้นมีหลายวิธี เช่น 

  • ใช้คำถามที่กระตุ้นความสงสัย เพราะการตั้งคำถามเปิดประเด็นจะช่วยให้ผู้อ่านรู้สึกอยากหาคำตอบ เช่น คุณกำลังเสียเงินโฆษณาแบบสูญเปล่าอยู่หรือเปล่า?, รู้หรือไม่? ทำไมคนเปิดอีเมลคุณน้อยลง? เป็นต้น
  • ใส่ตัวเลขเพื่อทำให้หัวข้อดูจับต้องได้ เช่น 3 เหตุผลที่คุณควรทำ Retargeting ผ่านอีเมลวันนี้ 
  • สร้างความรู้สึกเฉพาะบุคคล เช่น การใช้คำว่าเฉพาะคุณ พร้อมดึงชื่อของผู้รับมาใส่ เช่น [ชื่อ] โปรนี้เฉพาะคุณเท่านั้น! 
  • เล่นกับอารมณ์หรือความรู้สึกเร่งด่วน เช่น หมดคืนนี้เท่านั้น รับส่วนลด 40% ทันที, เหลือ 10 ที่นั่งสุดท้าย

นอกจากนี้ต้องอย่าลืมใส่ Preview Text เข้าไปเพื่อเสริมความน่าสนใจของ Subject Line ด้วย โดยควรเขียนให้เป็นประโยคที่ขยายความของหัวข้อ ยกตัวอย่าง Email เสนอขายสินค้า เช่น

Subject: เพิ่มยอดขาย 2 เท่า ด้วย [ชื่อสินค้า] ลองเลยวันนี้ 

Preview Text: เครื่องมือที่แบรนด์ชั้นนำเลือกใช้ เพื่อเพิ่ม Conversion

เขียน Copy ให้น่าอ่าน ไม่ขายของแบบยัดเยียด

แม้เป้าหมายของ Email Marketing หลายแคมเปญคือการขายของ แต่ก็ไม่ควรขายของแบบยัดเยียด เพราะอาจทำให้ผู้รับรู้สึกต่อต้าน หรือปัดทิ้งโดยไม่สนใจ ดังนั้นการเขียน Copy ที่ดีจึงควรเริ่มจาก Pain Point ของกลุ่มเป้าหมายแล้วค่อยเชื่อมโยงไปยังสินค้าอย่างแนบเนียน

ออกแบบเนื้อหาให้ดูน่าอ่าน

ในการทำ Email Marketing ไม่ใช่แค่เขียนเนื้อหาให้ดีเท่านั้นที่สำคัญ แต่รูปแบบการนำเสนอก็มีผลต่อพฤติกรรมการเปิด การอ่าน และการคลิกของผู้อ่านโดยตรง เพราะคนมักสแกนอีเมลมากกว่าอ่านทุกบรรทัด ดังนั้น การใช้ Visual Hierarchy หรือวางลำดับสายตาที่ดีจะช่วยให้เนื้อหาดูโปรโมชัน สื่อสารง่าย และทำให้ Engagement สูงขึ้นได้ด้วย

วิธีทำ A/B Testing ในจุดที่สำคัญ

หนึ่งในเทคนิคที่นักการตลาดมือโปรใช้คือการทดลองปรับรายละเอียดเพียงจุดเดียวในอีเมล เช่น ลองส่งหัวข้อ 2 แบบ หรือวางปุ่ม CTA คนละตำแหน่ง เพื่อดูว่าแบบไหนได้ผลดีกว่า ซึ่งความต่างเพียงเล็กน้อยนี้สามารถเปลี่ยน Open Rate หรือยอดคลิกได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังเป็นวิธีที่ลงทุนต่ำแต่ช่วยให้พัฒนาแคมเปญครั้งต่อๆ ไปได้แม่นยำขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

เทคนิคการแทรก CTA 

การใส่ Call-to-Action (CTA) ที่ดี ไม่ควรที่จะใส่เยอะ แต่ควรใส่ให้ถูกที่ เทคนิคหนึ่งคือวาง CTA หลังเนื้อหาที่บอกประโยชน์ชัดเจน และใช้สีตัดพื้นหลังให้ปุ่มโดดออกมา ไม่ควรมีเกิน 1–2 CTA ต่ออีเมล เพราะจะทำให้ผู้รับตัดสินใจไม่ได้จนคลิกอะไรเลย ส่วน Copy บน CTA เองก็ควรเขียนให้สั้น กระชับ เข้าใจ และบอกผลลัพธ์ที่คนจะได้ เช่น ดาวน์โหลดฟรี, ใช้โปรนี้ตอนนี้ ฯลฯ เพื่อให้คลิกง่ายขึ้น

ใช้รูปภาพให้เล่าเรื่องแทนตัวหนังสือ

การใช้ภาพเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อีเมลน่าสนใจ โดยควรเลือกใช้ภาพที่เล่าเรื่องแทนข้อความได้ เช่น ใช้ภาพ Before–After ของสินค้าหรือบริการ, ใส่ Infographic ย่อเนื้อหาสำคัญ, รูปรีวิวลูกค้าที่สะท้อนความพึงพอใจ ฯลฯ ซึ่งการเลือกภาพที่ดูเป็นธรรมชาติ และเชื่อมโยงกับเนื้อหาจะช่วยเพิ่ม Engagement ได้ รวมถึงทำให้เนื้อหาดูง่ายและไม่น่าเบื่ออีกด้วย

รวมอีเมลให้เป็นหนึ่งใน E-Marketing Strategy

E-Marketing Strategy คือแผนการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Email, Social Media, Website, Influencer และ CRM 

ดังนั้น การทำ Email Marketing ต้องไม่ใช่แค่การส่งโปรโมชันวนไป แต่ต้องเชื่อมโยงกับช่องทางอื่น เช่น Retargeting บน Social Media, ระบบ CRM ที่ติดตามลูกค้า, การใช้ UTM เพื่อวัดผลแคมเปญผ่าน Google Analytics ซึ่งเทคนิคที่ควรทำคือใส่ Tracking Link ทุก CTA เพื่อดูว่าอีเมลนำผู้ใช้ไปไหนต่อ และ Conversion เกิดขึ้นหรือไม่ได้ด้วย

Email Marketing ตัวช่วยสร้างยอดขาย ที่หลายคนอาจมองข้าม

จะเห็นแล้วว่า EDM Marketing คือ ช่องทางหนึ่งที่ทรงพลังมากสำหรับนักการตลาด เพราะเป็นช่องทางที่ให้ผลลัพธ์ได้ดีและวัดผลได้ชัดเจน รวมถึงทำเป็นแผนที่เชื่อมโยงกับกลยุทธ์อื่นได้อีกด้วย ซึ่งในเนื้อหามีบอกแล้วว่า ตัวอย่างของ E-Marketing มีอะไรบ้างที่ควรใช้ร่วมกับการทำ Email Marketing รวมถึงบอกเทคนิคการทำให้ครบ ก็หวังว่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนจะหยิบไปใช้งานต่อได้ในการทำ EDM ไม่มากก็น้อย 

ส่วนใครที่กำลังมองหาทีมช่วยวางกลยุทธ์ดิจิทัลแบบครบวงจร ทั้งในด้าน EDM Marketing, รับทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก หรือแม้แต่การเพิ่ม Conversion บนหน้าเว็บไซต์ด้วย CRO (Conversion Rate Optimization) NerdOptimize คือทีมผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น…

  • บริษัทรับทำ SEO แบบเน้นผลลัพธ์ระยะยาว ไม่แค่ได้ Traffic แต่นำไปสู่ Conversion ได้จริง
  • รับทำ CRO เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมบนเว็บไซต์ เพิ่มอัตราการซื้อ หรือสมัครมากยิ่งขึ้น

เราพร้อมให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลครบวงจรแบบเข้าใจธุรกิจจริงๆ หากสนใจสามารถปรึกษาเพื่อรับคำแนะนำฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

คำถามที่พบบ่อย

Email Marketing ยังเวิร์กอยู่ไหมในยุคโซเชียล?

คำตอบคือเวิร์ก และยังเป็นหนึ่งในช่องทางที่ คุ้มค่าที่สุดต่อการลงทุน (ROI) หากทำอย่างถูกวิธี เพราะ Marketing Email นั้นต่างจากโซเชียลที่คอนเทนต์มักถูกกลืนหายไปในฟีด จากการที่นักการตลาดสามารถส่งเนื้อหาไปยังอีเมลส่วนตัวได้แบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งช่วยให้ข้อความของแบรนด์มีโอกาสถูกอ่าน มากกว่าแค่ถูกมองเห็น นอกจากนี้การทำ E-mail Marketing ยังเชื่อมต่อกับการทำ CRM หรือ Automation ได้เต็มรูปแบบ ต่างจากโซเชียลที่ถึงแม้จะทำได้ไว คนเห็นคอนเทนต์เร็ว แต่ก็ควบคุมไม่ได้ทุกอย่าง

ข้อควรระวังในการทำ Email Marketing มีอะไรบ้าง

  • ไม่ส่งอีเมลโดยไม่มีการยินยอม เนื่องจากผิดกฎหมาย PDPA และ GDPR
  • ไม่ใช้หัวข้อ Click Bait หรือหลอกลวง
  • ควรใส่ปุ่มยกเลิกรับอีเมล (Unsubscribe) ในทุกอีเมล
  • ไม่ควรส่งถี่เกินไปจนรบกวนผู้รับ
  • ควรทดสอบ Responsive บนอุปกรณ์มือถือ
  • ไม่ควรส่งเนื้อหาไม่น่าเชื่อถือ หรือเขียนแบบเน้นขายเกินไป
  • ควรทำ Segment กลุ่มเป้าหมายก่อนส่งทุกครั้ง
  • ควรตรวจสอบลิงก์หรือ CTA ในอีเมลก่อนส่งออกทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางธุรกิจ
  • ควรวัดผลลัพธ์ และนำผลที่ได้ไปปรับปรุงในแคมเปญใหม่อย่างสม่ำเสมอ

ผู้เขียน

Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn
Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

A/B Testing คืออะไร

A/B Testing อะไร เจาะลึกข้อดีและวิธีทำแบบเข้าใจง่าย สำหรับนักการตลาดและเจ้าของแบรนด์

A/B Testing คือเครื่องมือการตลาดที่ช่วยให้รู้ว่าหน้าเว็บไซต์แบบไหนเวิร์กกว่ากัน มาดูข้อดีและตัวอย่างการทำที่ช่วยเปลี่ยนการคลิกให้เป็นลูกค้า

อ่านบทความ ➝
ทำความรู้จักกับ CMS หรือ Content Management System

CMS คืออะไร? เจาะลึกองค์ประกอบ ข้อดี และ 5 CMS ยอดนิยม ช่วยให้เว็บไซต์ติด SEO เร็วขึ้น!

CMS คืออะไร? ทำไมระบบจัดการเนื้อหา (CMS) สำคัญอย่างไรต่อเว็บไซต์และ SEO สอนวิธีเลือก CMS ที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ Google

อ่านบทความ ➝

Link Building คืออะไร แตกต่างกับการทำ Backlink แบบปกติอย่างไร ?

Link Building คืออะไร มีผลต่อ SEO อย่างไร มีวิธีทำแบบไหนบ้าง สร้าง Link อย่างไรให้ส่งผลต่ออันดับ บทความนี้มีสรุปให้ครับ อัพเดทล่าสุด 2022

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top