Home - Marketing - 4P คืออะไร? เข้าใจกลยุทธ์ที่เจ้าของธุรกิจทุกคนต้องรู้

4P คืออะไร? เข้าใจกลยุทธ์ที่เจ้าของธุรกิจทุกคนต้องรู้

4P

หากพูดถึงการตลาด สิ่งหนึ่งที่นักธุรกิจ นักการตลาด และเจ้าของกิจการต้องเข้าใจคือหลักการของ 4P ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและสร้างยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในยุคที่ Digital Marketing และ Social Media Marketing มีบทบาทสำคัญ 4P ยังคงเป็นแนวคิดหลักที่ทุกธุรกิจต้องนำมาใช้และปรับให้เข้ากับตลาดออนไลน์ได้อย่างเหมาะสม 

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก 4P คืออะไร? และจะช่วยให้คุณเข้าใจว่า 4P Marketing มีผลต่อธุรกิจออนไลน์อย่างไร พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริงที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจของคุณได้ทันที

4P คืออะไร?

4P หรือ Marketing Mix 4P เป็นแนวคิดทางการตลาดที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย Jerome McCarthy นักการตลาดชื่อดัง โดย 4P Marketing คือ ส่วนผสมทางการตลาดที่ช่วยกำหนดกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ Product (สินค้า), Price (ราคา), Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย), และ Promotion (การส่งเสริมการขาย) แนวคิดนี้ถือเป็นพื้นฐานของ Online Marketing และ แผนการตลาด สำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการเติบโตและสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์การตลาด 4P ประกอบด้วยปัจจัยอะไรบ้าง? 

ก่อนที่จะนำกลยุทธ์นี้ไปใช้งาน เรามาดูกันว่า 4P มีอะไรบ้าง และแต่ละส่วนสำคัญอย่างไรกับธุรกิจออนไลน์

4p คือ

1. Product (สินค้า)

สินค้าหรือบริการเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ เจ้าของกิจการต้องเข้าใจว่าสินค้าของตนเองมีคุณค่าและแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร โดยการออกแบบและพัฒนาสินค้าควรตอบสนองความต้องการของตลาด และให้ความสำคัญกับคุณภาพและประสบการณ์ของลูกค้า

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาหารอาจมีการพัฒนาสูตรเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร หรือร้านค้าปลีกอาจนำเสนอสินค้าพิเศษที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า สินค้าที่ดีต้องมีเอกลักษณ์และสามารถสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริง

2. Price (ราคา)

ราคามีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างมาก เจ้าของธุรกิจต้องเลือกกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสมกับตลาด เช่น การตั้งราคาตามมูลค่า (Value-based Pricing) ที่กำหนดราคาตามคุณค่าของสินค้าต่อผู้บริโภค หรือ การตั้งราคาแบบเจาะตลาด (Penetration Pricing) ที่ตั้งราคาต่ำเพื่อดึงดูดลูกค้าในช่วงแรก แล้วปรับราคาขึ้นเมื่อสินค้าติดตลาด

นอกจากนี้ การตั้งราคาสามารถใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมการขายได้ เช่น การจัดโปรโมชันลดราคาชั่วคราว หรือการตั้งราคาสำหรับลูกค้าประจำเพื่อสร้างความภักดีต่อแบรนด์

3. Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย)

การเลือกช่องทางจำหน่ายเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับธุรกิจยุคดิจิทัล การมีช่องทางที่หลากหลายช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าได้สะดวกขึ้น เช่น เว็บไซต์ อีมาร์เก็ตเพลส หรือร้านค้าบนโซเชียลมีเดีย

ธุรกิจที่ต้องการเติบโตต้องพิจารณาว่าแพลตฟอร์มใดเหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เช่น ร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์อาจเน้นการขายผ่าน Social Media เช่น Instagram และ TikTok ในขณะที่ธุรกิจอุตสาหกรรมอาจใช้แพลตฟอร์ม B2B เช่น LinkedIn

4. Promotion (การส่งเสริมการขาย)

การทำการตลาดและโฆษณามีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขาย กลยุทธ์การโปรโมชันที่มีประสิทธิภาพอาจรวมถึง Influencer Marketing การใช้คอนเทนต์ที่น่าสนใจบน Social Media หรือการแจกคูปองส่วนลดสำหรับลูกค้าที่สมัครสมาชิกหรือซื้อสินค้าครั้งแรก

นอกจากนี้ แบรนด์สามารถใช้ กลยุทธ์ Personalization เช่น ส่งข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าเก่าหรือใช้แคมเปญ EMail Marketing เพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำ โดยการวางแผนการขายที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่ม Loyalty ของลูกค้าและทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ประโยชน์ของกลยุทธ์การตลาด 4P มีอะไรบ้าง?

กลยุทธ์ 4P Marketing Mix ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างเป็นระบบ แต่ยังมีผลต่อการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด โดยธุรกิจที่นำหลัก 4P การตลาด มาใช้สามารถพัฒนาสินค้า กำหนดราคา เลือกช่องทางจำหน่าย และโปรโมตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้สามารถเพิ่มยอดขายและทำกำไรได้มากขึ้น มาดูกันว่าประโยชน์ของ กลยุทธ์ 4P มีอะไรบ้าง

1. ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจตลาดและลูกค้าได้ดีขึ้น

การใช้แนวคิด 4P การตลาด ทำให้ธุรกิจสามารถศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้ลึกซึ้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค การตั้งราคาที่เหมาะสม หรือการเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายที่สะดวกต่อกลุ่มเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองลูกค้าได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ

2. เพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้ธุรกิจ

ธุรกิจที่ใช้ หลักการตลาด 4P อย่างมีประสิทธิภาพสามารถสร้างจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่งได้ เช่น การกำหนดกลยุทธ์ราคาให้เหมาะสม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น หรือการใช้โปรโมชั่นที่สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างแข็งแกร่งและเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้า

3. สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ง่ายและรวดเร็ว

4Ps Marketing Mix แต่ละองค์ประกอบสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ เช่น การเปลี่ยนโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับเทศกาล การปรับราคาตามต้นทุนวัตถุดิบ หรือการขยายช่องทางจัดจำหน่ายไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์ใหม่ ๆ ทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีความยืดหยุ่นสูง

4. เพิ่มโอกาสในการทำกำไร สร้างยอดขายให้มากกว่าเดิม

การวาง กลยุทธ์การตลาด 4P อย่างเหมาะสมช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน และเพิ่มอัตรากำไรได้ในระยะยาว เช่น การตั้งราคาที่ดึงดูดลูกค้าแต่ยังคงมีกำไร การใช้โปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการซื้อ หรือการขยายช่องทางจำหน่ายเพื่อเพิ่มยอดขาย

5. เป็นส่วนช่วยให้การทำ Online Marketing มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การตลาดในยุคดิจิทัลต้องอาศัย Online Marketing และ Social Media Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ โดย 4P Marketing สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น การโปรโมตสินค้าในโซเชียลมีเดีย ควบคู่ไปกับการใช้ Influencer Marketing หรือการตั้งราคาแบบ Dynamic Pricing ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามพฤติกรรมของลูกค้า สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

ตัวอย่างการวิเคราะห์กลยุทธ์ 4P สำหรับธุรกิจขายเสื้อผ้าออนไลน์

การนำ 4P Marketing ไปใช้ในธุรกิจขายเสื้อผ้าออนไลน์เป็นกรณีศึกษาที่ดี เพราะอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง เจ้าของธุรกิจต้องวางแผนการตลาดที่ดีเพื่อให้สามารถดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • Product (สินค้า) : เสื้อผ้าต้องมีดีไซน์ที่ทันสมัยและเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น เสื้อผ้าแนวสตรีทแฟชั่นสำหรับวัยรุ่น หรือเสื้อผ้าทางการสำหรับคนทำงาน นอกจากนี้ยังต้องเลือกใช้วัสดุที่ดี สวมใส่สบาย และมีคุณภาพสูงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
  • Price (ราคา) : ธุรกิจต้องกำหนดราคาที่เหมาะสมกับตลาดเป้าหมาย เช่น ถ้าขายสินค้าแฟชั่นระดับพรีเมียม ราคาต้องสะท้อนถึงคุณภาพของเนื้อผ้าและงานตัดเย็บ ในขณะที่แบรนด์ที่เน้นตลาดที่แมสมาก ๆ อาจตั้งราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า นอกจากนี้การตั้งราคาแบบ Dynamic Pricing ที่ปรับเปลี่ยนตามฤดูกาลหรือพฤติกรรมลูกค้า ก็ช่วยเพิ่มยอดขายได้
  • Place (ช่องทางการจัดจำหน่าย) : ร้านค้าออนไลน์ควรมีหลายช่องทางเพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย เช่น การขายผ่านเว็บไซต์ของตนเอง E-Marketplace อย่าง Shopee และ Lazada หรือผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Facebook และ Instagram อีกทั้งควรให้บริการจัดส่งที่รวดเร็วและมีระบบติดตามคำสั่งซื้อที่มีประสิทธิภาพ
  • Promotion (การส่งเสริมการขาย) : การตลาดสำหรับร้านค้าเสื้อผ้าออนไลน์ต้องเน้นการใช้ Influencer Marketing และการทำโฆษณาผ่าน Instagram Ads และ TikTok Ads เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นอกจากนี้ อาจใช้โปรโมชั่น เช่น การลดราคาสำหรับลูกค้าใหม่ การแจกคูปองส่วนลด หรือการทำ Flash Sale เพื่อกระตุ้นยอดขาย

4P 4C 4E คืออะไร ต่างกันอย่างไร?

เมื่อธุรกิจพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไป แนวคิด 4P Marketing ก็ถูกพัฒนาและต่อยอดให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปเช่นกัน ปัจจุบันนักการตลาดนิยมใช้แนวคิด 4C และ 4E ควบคู่กับ 4P เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาดูกันว่าแต่ละแนวคิดมีความแตกต่างกันอย่างไร

4p-marketing

4C คืออะไร?

4C Marketing เป็นแนวคิดที่ถูกพัฒนาโดย Robert F. Lauterborn โดยเน้นให้ความสำคัญกับมุมมองของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น 4C ประกอบด้วย

  • Customer (ลูกค้า) : ธุรกิจต้องมุ่งเน้นไปที่ความต้องการของลูกค้า ไม่ใช่แค่ผลิตสินค้าออกมาแล้วหวังว่าลูกค้าจะซื้อ แต่ต้องศึกษาว่าลูกค้าต้องการอะไร และพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค
  • Cost (ต้นทุนที่ลูกค้าต้องจ่าย) : ไม่ใช่แค่ราคาของสินค้า แต่รวมถึงต้นทุนอื่น ๆ ที่ลูกค้าต้องจ่าย เช่น ค่าจัดส่ง ค่าภาษี หรือเวลาในการเข้าถึงสินค้านั้น
  • Convenience (ความสะดวกในการซื้อสินค้า) : ช่องทางการจัดจำหน่ายต้องเหมาะสมกับพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า เช่น มีระบบสั่งซื้อออนไลน์ หรือมีบริการจัดส่งที่สะดวกและรวดเร็ว
  • Communication (การสื่อสาร) : การทำการตลาดต้องไม่ใช่แค่การโฆษณาสินค้า แต่ต้องเป็นการสื่อสารสองทางที่ให้ลูกค้าสามารถโต้ตอบกับแบรนด์ได้ เช่น การใช้โซเชียลมีเดียหรือการตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว

4E คืออะไร?

ส่วน 4E Marketing เป็นแนวคิดที่ถูกพัฒนาให้เข้ากับการทำการตลาดในปัจจุบัน โดยจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าและการสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์มากกว่าการเน้นเพียงแค่การขายสินค้า 4E ประกอบด้วย

  • Experience : ธุรกิจต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าทั้งในด้านของการใช้งานสินค้า บริการ และการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เช่น การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ผ่านคอนเทนต์ หรือการให้บริการหลังการขายที่ดี
  • Exchange : การตั้งราคาไม่ได้เป็นแค่การกำหนดมูลค่าเป็นตัวเงิน แต่เป็นการแลกเปลี่ยนคุณค่าระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เช่น ลูกค้าซื้อสินค้าเพราะได้รับประโยชน์ที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
  • Evangelism : ลูกค้ากลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์โดยสมัครใจและช่วยบอกต่อผ่านรีวิว หรือแชร์ประสบการณ์การใช้สินค้าไปยังคนอื่น ๆ
  • Everywhere : ธุรกิจต้องมีการตลาดแบบ Omni Channel ที่เข้าถึงลูกค้าผ่านทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ Social Media หรือร้านค้าออฟไลน์ทั่วไป

สรุปความแตกต่างระหว่าง 4P, 4C และ 4E แบบเข้าใจง่าย 4P เน้นที่มุมมองของธุรกิจ โดยโฟกัสไปที่สินค้า ราคา ช่องทางการขาย และโปรโมชั่น ซึ่งกลยุทธ์ 4C จะเปลี่ยนมาโฟกัสที่ลูกค้า โดยให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า ต้นทุนที่ลูกค้าต้องจ่าย ความสะดวก และการสื่อสาร ส่วนกลยุทธ์ 4E จะเป็นการพัฒนาไปอีกขั้น โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า การสร้างคุณค่าให้ลูกค้า การทำให้ลูกค้าชื่นชอบและบอกต่อ และการเข้าถึงลูกค้าในทุกช่องทาง

4P คือหัวใจของการทำการตลาดออนไลน์ทุกช่องทาง ที่ธุรกิจคุณต้องโฟกัสตั้งแต่ตอนนี้

กลยุทธ์ 4P คือ Marketing Framework ขั้นพื้นฐานของการทำการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดกลยุทธ์ด้านสินค้า (Product) ราคา (Price) ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place) และการส่งเสริมการขาย (Promotion) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำ 4P มาใช้ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจตลาดและลูกค้าได้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน และปรับกลยุทธ์ได้ตามความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา

รับทำ SEO ติดหน้าแรก

ค้นหา บทความอื่นๆ

Search

ผู้เขียน

Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn
Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

GEO คืออะไร

GEO คืออะไร อีกหนึ่งช่องทางการตลาดผ่าน AI ที่สาย SEO ไม่ควรพลาด

GEO คืออะไร มาทำความรู้จักกับ Generative Engine Optimization ผ่าน AI ที่จะช่วยเพิ่มยอดการเข้าถึงและเสริมการทำ SEO ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น

อ่านบทความ ➝
Pillar Page คืออะไร สำคัญยังไงกับการทำ SEO

Pillar Page คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญกับ SEO พร้อมวิธีสร้างและตัวอย่างจริง

จะเขียนคอนเทนต์ยังไงให้เสิร์ชเจอง่าย? ชวนทำความรู้จักและเริ่มทำ Pillar page ตัวช่วยทำให้เว็บไซต์มี Ranking ที่ดี หนึ่งในเทคนิค SEO ที่นักเขียนออนไลน์ทุกคนควรรู้

อ่านบทความ ➝
Facebook SEO

Facebook SEO ทำอย่างไรให้ค้นหาติดหน้าแรกง่ายขึ้น

Facebook SEO เป็นเทคนิคทางการตลาดที่มีการเลือกใช้ Keyword ในการทำคอนเทนต์ และขั้นตอนอื่น ๆ เพื่อให้หน้าเพจเฟซบุ๊คสามารถติดอันดับในหน้าการค้นหา

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top