Home - Facebook - [แนะนำ] Lookalike Audience คือ ? จะใช้ประโยชน์สูงสุดของมันได้อย่างไร

[แนะนำ] Lookalike Audience คือ ? จะใช้ประโยชน์สูงสุดของมันได้อย่างไร

Lookalike Audience ชื่อนี้ผมคิดว่าหลายทานคงจะคุ้นเคยกันมาพอสมควรแล้ว แต่เชื่อไหมครับ ยังมีคนที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับ Lookalike อยู่อีกเยอะมาก

บทความนี้ผมได้อธิบายการใช้งาน Lookalike Audience ที่ลง Detail ตั้งแต่หลักการทำงานไปจนถึงการใช้งานให้ได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด ลองอ่านดูนะครับ ^^

1/ 5 | Lookalike Audience คืออะไร ?

lookalike audience หลักการของมันคือ การหา Audience (กลุ่มเป้าหมาย) ที่มีลักษณะคล้ายๆกันโดยปัจจัยจะขึ้นอยู่กับหัวเชื้อที่เราใส่เข้าไป โดยระบบ Facebook จะไปช่วยหาคนที่คล้ายๆกับหัวเชื้อมาให้เรา เพราะฉะนั้นถ้าหัวเชื้อดีผลลัพธ์ก็ดี หัวเชื้อไม่ดีผลลัพธ์ก็จะไม่ดีตามไปด้วย คนส่วนใหญ่ที่ใช้ Lookalike ไม่ดีหรือไม่ได้ผลนั่นก็เพราะว่าหัวเชื้อไม่ดี

2/5 | หลักการทำงานของ Lookalike Audience

หลักการทำงานของ Lookalike Audience

เปรียบเทียบการทำงาน Lookalike Audience ของ Facebook ง่ายๆเลยคือ สมมุติว่าเรามีเพื่อนอยู่ชื่อไอ้หนอนมันชอบซื้อเสื้อผ้าใน Shopee มากๆ ทีนี้เราต้องการหาคนที่มีพฤติกรรมคล้ายๆไอ้หนอนเพื่อนของเราอีกเยอะๆ

ซึ่ง Facebook ก็จะไปหากลุ่มคนเหล่านั้นให้เรา โดยจะดูหลายๆปัจจัยมาประกอบกันเพื่อหาคนที่คล้ายๆไอ้หนอนมาให้เรา

ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าอยากให้เหมือนไอ้หนอน มากน้อยแค่ไหนตาม % ความคล้ายคลึง ยิ่ง % สูงความคล้ายคลึงก็จะลดลงไปเรื่อยๆ แต่จะถูกแทนที่ด้วยจำนวนที่ใหญ่ขึ้น

แล้วจะใช้ Lookalike Audience กี่ % ดี อยู่ในหัวข้อถัดไปครับ

หลักการทำงานของ Lookalike Audience จะมี 1-10%

โดยจำนวนของ Audience แต่ละ % ของ Lookalike Audience จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้ Facebook ในประเทศนั้นๆ ซึ่งสามารถทำได้ใหญ่สุดคือ 10%

เช่น ถ้าผู้ใช้ Facebook ในเมืองไทยมี 50 ล้านคน เมื่อเราทำ Lookalike 1% เราก็จะได้ Audience จำนวน 500,000 คน

 

3/5 | ใช้ Lookalike Audience แบบไหนดีที่สุด และทำอย่างไรให้โฆษณาได้ครอบคลุมที่สุด

– ใช้ Lookalike Audience แบบไหนดีที่สุด

คำถามที่หลายคนมักจะตั้งข้อสงสัยเลยก็คือใช้หัวเชื้อแบบไหนทำ Lookalike Audience ดี ถ้าถามผม ตามทฤษฎีจริงๆก็คือเอาคนที่ซื้อสินค้ามาทำ Lookalike Audience ครับ เช่น Facebook Pixel สำหรับคนสั่งซื้อสินค้าเสร็จเรียบร้อย

แต่ถ้าเราไม่สามารถ Track ไปถึงขึ้นนั้นได้ละ เราจะทำอย่างไรดี ผมมี 2 แนวทางให้ไปทดลองกันครับ

  1. ใช้หัวเชื้อหลายตัวในการทำ Lookalike 1% หลายตัว เช่น
    – คนที่ดู Video 95%
    – คนที่อยู่เว็บไซด์หน้า … นาน (Visitors by time spent)
    – คนที่ Add To Cart
  2. ใช้หัวเชื้อที่ดีสุดคือ list รายชื่อลูกค้า / Pixel หน้าสั่งซื้อสำเร็จ แล้วใช้ Lookalike ทั้งหมดตั้งแต่ 1%-10%

สำหรับแนวทางที่ผมเลือกใช้ทั้ง 2 แบบผมใช้แตกต่างกันคือ

แบบที่ 1 : ผมจะใช้หาคนที่อยู่ใน Funnel บนๆ เช่น ต้องการโฆษณาหาคนที่มีโอกาสดู Video จบหรือดูเยอะๆ ผมก็จะใช้ Lookalike Video 95% เพื่อหากลุ่มคนเหล่านั้น เพราะผมให้ Facebook ไปหา Audience ที่มีโอกาสดู Video เยอะๆแล้ว โดยใช้ Lookalike Video 95% เป็นหัวเชื้อ

แบบที่ 2 : บางธุรกิจเป็นสินค้าที่สามารถตัดสินใจซื้อง่าย เราก็ไม่จำเป็นจะต้องทำ Content เพื่อบิ้วความต้องการแล้วค่อยขาย เพราะว่าสามารถทำ Content ขายได้เลยเพียงแค่เขียน CopyWriting ดีๆก็สามารถขายได้แล้ว

ผมก็จะใช้ Lookalike ที่มาจากหัวเชื้อ Funnel ล่างๆเลยคือ Purchase Order, Offline Conversion มาใช้เลย โดยเลือกใช้ Lookalike หลายๆ % เพื่อให้สามารถโฆษณาได้กว้างขึ้น

จริงๆทั้ง 2 แนวทางนี้ผมไม่สามารถบอกได้ว่าแบบไหนดีที่สุดนะครับ “จำเป็นที่จะต้องไปทดสอบและวัดผลเท่านั้น”

บทความแนะนำ : คู่มือ Facebook Pixel แบบละเอียดยิบ!! พร้อมวิธีติดตั้งและวัดผล

– วิธีใช้ Lookalike Audience แบบใดให้ครอบคลุมที่สุด

ผมเชื่อว่าหลายคน ถ้าพึ่งเริ่มใช้ Lookalike Audience จะเริ่มจากใช้ตัวเดียวคือ 1% แต่อย่าลืมว่ายิ่ง % เยอะความคล้ายคลึงของ Audience ก็จะน้อยลง แต่ทดแทนมาด้วย Audience Size ที่เพิ่มขึ้น

ผมอยากถามว่าถ้าหัวเชื้อที่เราใส่มันดีจริงๆ เช่น เอา list รายชื่อลูกค้ามาใส่เลย แน่นอนอยู่แล้วว่า Lookalike 1% ต้องเป็น Audience ที่ดีที่สุด แล้วเราจะทิ้ง 2%-10% เลยหรอ!

คงไม่อยากทิ้งใช่ไหมครับ มันมีวิธีการใช้ Lookalike Audience ที่ครบทั้ง 10% ครับ โดยเทคนิคนี้ผมขอยกเครดิตให้พี่เอก Suponchai.com อธิบายไว้ค่อนข้างละเอียดเลยครับ

วิธีคือ การเอาปริมาณมาทดแทนคุณภาพ วิธีการสร้าง Lookalike Audience อย่างไรให้ครอบคลุมทั้ง 10% คือ

  1. Lookalike Audience 1% (Audience Size เล็กแต่คุณภาพสูง)
  2. Lookalike Audience 1%-3% (คุณภาพ Audience ลดแต่ได้ Audience Size ที่เพิ่มขึ้น 1 เท่า)
  3. Lookalike Audience 3%-6% (คุณภาพ Audience ลดแต่ได้ Audience Size ที่เพิ่มขึ้น 3 เท่า)
  4. Lookalike Audience 6%-10% (คุณภาพ Audience ลดแต่ได้ Audience Size ที่เพิ่มขึ้น 4 เท่า)

การที่ได้ปริมาณ Audience Size ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเปิดโอกาสให้ระบบ Facebook สามารถควานหาคนที่มีโอกาสจะ Convert ตาม Objective โฆษณาที่เราเลือกได้มากขึ้น

4/5 | โฆษณา Lookalike Audience คือการหาลูกค้าใหม่ที่คาดว่าจะแม่นยำกว่า Broad Audience

อันนี้เป็น Case Study นึงที่น่าสนใจคือ เมื่อเราโฆษณาโดยเอา Lookalike Audience ผสมกับ Broad Audience (Broad Audience = โฆษณาไปตาม Target ต่างๆ)

ส่วนมาก! จะพบว่างบประมาณไปลง Lookalike Audience ประมาณ 80% เลยถ้าคุณใช้ CBO (Campaign Budget Optimize) เลยทำให้เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า Broad Audience กลุ่มไหนผลตอบลัพธ์ดี เพราะว่างบประมาณไปลงน้อยเกินไป

ผมมองว่ามันจะไม่ยุติธรรมซักเท่าไหร่ถ้าเราเอาสถิติต่างๆของ Lookalike Audience ไปเปรียบเทียบกับ Broad Audience เพราะว่าถ้าเทียบกันส่วนใหญ่แล้ว Lookalike Audience ก็ดีกว่าอยู่แล้วครับ

ดังนั้นควรแยก Campaign กันเลยดีที่สุดครับ

ควรแยก Campaign Lookalike Audience กับ Broad Audience
  1. Campaign หาลูกค้าใหม่กลุ่ม Lookalike Audience
  2. Campaign หาลูกค้าใหม่กลุ่ม Broad Audience

ปล. Lookalike 1% / Lookalike 2% / Lookalike …%
Audience จะไม่ทับซ้อนกันนะครับ ดังนั้นตอนคุณโฆษณา ไม่จำเป็นต้อง Exclude กันและกันครับ (ลองดูรูปด้านล่างครับ)

Lookalike Audience ไม่ทับซ้อนกัน
จะเห็นว่าผมทดลองเอา Lookalike 6%-10% ผมเช็ค Overlap กับ Lookalike 1% ผลคือไม่ Overlap กันครับ

5/5 | Lookalike Audience ไม่อัพเดท

หัวข้อนี้ไม่บอกไม่ได้เลยคือ Lookalike Audience นั้นเป็น Static Audience ไม่เหมือนกับ Custom Audience ประเภทอื่นๆ เช่นกลุ่ม Custom Audience จาก Page หรือ Website กลุ่ม Custom Audience เหล่านี้จะมีการอัพเดทตลอดเวลา

จะสังเกตุเห็นตอนสร้าง Custom Audience เหล่านี้จะมี ค่าให้ใส่ที่ชื่อว่า “in the past … day” กลุ่ม Custom Audience เหล่านี้มีชื่อเรียกว่า Dynamic Audience คือข้อมูลจะอัพเดทตลอดเวลา

แตกต่างจาก Lookalike Audience ที่เป็น Static Audience คือ Audience จะไม่อัพเดทหลังจากสร้างขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเราโฆษณาไปซักพักแล้ว Performance เริ่มตกลง สิ่งที่ควรทำคือเราควรจะสร้าง Lookalike Audience ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายใหม่

– แล้วเราควรจะ Refresh Lookalike Audience บ่อยแค่ไหน ?

ส่วนตัวผม ผมมองว่าต้องดูที่จำนวนวันในการกลับมาซื้อซ้ำ ถ้าสินค้าของคุณคนกลับมาซื้อซ้ำทุกๆ 1 เดือน ก็แนะนำว่าควรจะ Refresh Lookalike Audience ทุกๆเดือนหรือ 1 เดือนขึ้นไปอย่างต่ำ

แต่ถ้าสินค้าของคุณเป็นสินค้าที่ใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อนานมาก เช่น 3 เดือนก็อาจจะไม่ต้องอัพเดทบ่อย และอัพเดททุกๆ 3 เดือนก็ได้ครับ

และก็ต้องดู Performance ประกอบด้วยถ้า Performance เริ่มลดลง Frequency เริ่มสูงก็อาจจะเริ่มพิจารณา Refresh Lookalike Audience ก็ได้ครับ แต่ถ้ายังไม่ Refresh ก็อาจจะเปลี่ยน Creative หรือเพิ่ม Creative เข้าไปก็จะช่วยกระตุ้น Performance ได้ครับ

ผู้เขียน

Picture of NerdOptimize Team
NerdOptimize Team
Tag:

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

duck duck go

DuckDuckGo เสิร์ชเอนจินที่ช่วยให้คุณค้นหาข้อมูลได้อย่างปลอดภัย

DuckDuckGo คือเสิร์ชเอนจินทางเลือกที่เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ไม่เก็บข้อมูลการค้นหามาดูกันว่าแพลตฟอร์มนี้แตกต่างจาก Google อย่างไร

อ่านบทความ ➝
omni channel คืออะไร ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้จริงหรือไม่

omni channel คืออะไร ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้จริงหรือไม่ [อ่านแนวทางการทำที่นี่]

omni channel คืออะไร การทำการตลาดยุคใหม่ ที่ช่วยให้คุณเข้าหาลูกค้าได้ ในทุกช่องทาง พร้อมเพิ่มยอดขาย ให้ธุรกิจเติบโตได้ในยุค Disruption

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top