สำหรับนักการตลาดและคนทำ SEO การวัดผลประสิทธิภาพของเว็บไซต์ถือเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น Organic Traffic, Click หรือ Ranking แต่มีอีกหนึ่ง Metric ที่มักถูกพูดถึงเสมอและเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยชั้นดี นั่นก็คือ “Bounce Rate” ซึ่งหลายคนอาจเคยเห็นตัวเลขนี้ใน Google Analytics แล้วสงสัยว่า Bounce Rate คืออะไรกันแน่? ทำไมบางครั้งตัวเลขถึงสูงน่าตกใจ แล้วสิ่งนี้ส่งผลเสียต่อ SEO ของเราจริงหรือไม่
บทความนี้จาก NerdOptimize จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของ Bounce Rate ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน สาเหตุที่ทำให้ค่านี้สูง วิธีการลด Bounce Rate อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถนำไปปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างแท้จริง
Bounce Rate คืออะไร?
Bounce Rate คือ อัตราส่วนหรือเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณเพียง “หน้าเดียว” แล้วกดออกจากเว็บไซต์ไปทันที โดยไม่มีการโต้ตอบ (Interaction) ใด ๆ เกิดขึ้น เช่น ไม่มีการคลิกไปยังหน้าอื่น, ไม่มีการกดปุ่ม, หรือไม่มีการกรอกฟอร์มใด ๆ
หรืออธิบายง่าย ๆ Bounce Rate คือการวัดผลว่ามีคน “เข้ามาแล้วจากไป” มากน้อยแค่ไหน ซึ่งสะท้อนได้ว่าหน้าเว็บนั้นสามารถดึงดูดความสนใจหรือตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดีเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาอยากใช้งานเว็บไซต์ของคุณต่อหรือไม่ เป็นอีกหนึ่ง Metrics ที่บริษัทรับทำ SEO หลายแห่งจะให้ความสำคัญมาก ๆ ในการทำงาน
Bounce Rate ดูตรงไหน? ใช้เครื่องมืออะไรในการเช็กข้อมูล
สำหรับคำถามที่ว่า Bounce Rate ดูตรงไหนนั้น คุณสามารถเช็กค่า Bounce Rate ของเว็บไซต์ได้จาก Google Analytics (GA4) โดยเข้าไปที่ Engagement > Pages and screens เพื่อดูค่า Bounce Rate ของแต่ละหน้าเว็บ หรือไปที่ Acquisition > Traffic acquisition เพื่อดูค่าเฉลี่ยของทั้งเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยให้คุณระบุหน้าที่ต้องปรับปรุงได้ทันที
ทำไม Bounce rate สูงถึงไม่ดีต่อเว็บไซต์และ SEO
Bounce Rate ที่สูงเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่า “หน้าเว็บของคุณอาจมีปัญหา” มันบอก Google และบอกเราว่า ผู้ใช้ไม่พบสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง หรือประสบการณ์การใช้งานบนหน้านั้นไม่ดีพอ และเมื่อ Bounce Rate สูงต่อเนื่อง สิ่งนี้สามารถส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเว็บไซต์และ SEO ได้ดังนี้
- สะท้อนถึงประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไม่ดี (Poor User Experience) : นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดเพราะ Bounce Rate ที่สูงมักเป็นผลมาจาก UX UI ที่ออกแบบมาไม่ดีพอเช่น ตัวเว็บไซต์อาจจะโหลดช้า เนื้อหาไม่ตรงปก หรือใช้งานบนมือถือยาก สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดและกดออก
- ส่งสัญญาณลบให้ Google : แม้ Google จะไม่ได้ใช้ Bounce Rate เป็นปัจจัยจัดอันดับโดยตรง แต่มันเป็นตัวชี้วัด “คุณภาพ” ที่สำคัญ เมื่อผู้ใช้ค้นหาคีย์เวิร์ดหนึ่งแล้วคลิกเข้าเว็บคุณ แต่กดกลับไปที่หน้า SERP อย่างรวดเร็ว (เรียกว่า Pogo-sticking) ซึ่งทาง Google จะเรียนรู้ว่าเว็บของคุณอาจไม่ตอบโจทย์สำหรับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออันดับในระยะยาว
- เสียโอกาสทางธุรกิจ : ทุกครั้งที่เกิดการ Bounce หมายความว่าคุณเสียโอกาสในการเปลี่ยนการสร้าง Customer Engagement และต้องเสียโอกาสในการเปลี่ยน Visitor ให้เป็นลูกค้าไป 1 ครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีโอกาสได้เห็นสินค้า บริการ หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่คุณตั้งใจนำเสนอในเว็บไซต์
แล้ว Bounce Rate เท่าไหร่ถึงเรียกว่า ‘ส่งผลเสีย’ ต่อการทำ SEO ?
โดยทั่วไป ค่า Bounce Rate ที่ “ดี” จะแตกต่างกันไปตามประเภทของหน้าเว็บ แต่เราอาจใช้เกณฑ์คร่าว ๆ ได้ดังนี้
- ต่ำกว่า 40%: ยอดเยี่ยม
- 41% – 55%: อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย
- 56% – 70%: สูงกว่าค่าเฉลี่ย ควรเริ่มตรวจสอบ
- สูงกว่า 70%: น่าเป็นห่วง (ยกเว้นหน้าประเภท Blog หรือ Contact Us ที่คนเข้ามาเพื่อหาข้อมูลแล้วจบในหน้าเดียว)
ทำไม Bounce Rate ของเว็บไซต์ถึงสูง? (สาเหตุที่คุณอาจมองข้ามมาตลอด)
การที่ผู้ใช้กดออกจากเว็บของคุณอย่างรวดเร็วมีสาเหตุได้หลายอย่าง และนี่คือปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้ Bounce Rate สูง
- เว็บไซต์โหลดช้า: นี่คือสาเหตุอันดับต้น ๆ หากเว็บของคุณใช้เวลาโหลดนานกว่า 3-4 วินาที นอกจากจะส่งผลต่อ Core Web Vitals แล้วก็จะทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็พร้อมจะกดปิดและไปหาเว็บอื่นทันที
- เนื้อหาไม่ตรงกับความคาดหวัง (Search Intent Mismatch): หัวข้อ (Title) และ Meta Description ของคุณอาจดึงดูดให้คนคลิก แต่เนื้อหาข้างในกลับไม่ตรงกับที่พวกเขากำลังมองหา
- การออกแบบและประสบการณ์ผู้ใช้ (UX/UI) ไม่ดี : เว็บไซต์รก อ่านยาก หาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ หรือมี Pop-up โฆษณาขึ้นมาบดบังเนื้อหามากเกินไป ทั้งหมดนี้สร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีและทำให้คนอยากหนี
- หน้าเว็บไม่รองรับมือถือ (Not Mobile-Friendly): ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เข้าเว็บผ่านมือถือ หากเว็บของคุณแสดงผลบนมือถือได้ไม่ดี Bounce Rate จะพุ่งสูงอย่างแน่นอน
- ปัญหาทางเทคนิค: หน้าเว็บอาจมีลิงก์เสีย รูปภาพไม่แสดง หรือมีข้อผิดพลาด (404 Not Found) ทำให้ผู้ใช้ไปต่อไม่ได้
- ไม่มี Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน: ผู้ใช้อ่านเนื้อหาของคุณจบแล้ว แต่ไม่รู้จะทำอะไรต่อ เพราะไม่มีปุ่มหรือลิงก์ที่ทำให้พวกเขาไปยังขั้นตอนถัดไปใน User Journey ของพวกเขา
- เป็นหน้าที่มีวัตถุประสงค์เดียว (Single-Purpose Page) : บางครั้ง Bounce Rate สูงก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เช่น หน้า “ติดต่อเรา” หรือหน้าอื่น ๆ ที่เป็น Lead Forms (ให้ผู้ใช้มากรอก Lead) โดย Users อาจเข้ามา เจอข้อมูลที่ต้องการแล้วกรอกข้อมูลให้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกไปไหนแล้ว กรณีนี้การที่ Bounce Rate สูงก็ไม่ได้กระทบต่อ Website Performace เพราะถือว่าหน้าเว็บไซต์ได้ทำหน้าที่สำเร็จแล้ว
วิธีลด Bounce Rate ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าคุณรู้ 5 ข้อนี้!
การลด Bounce Rate คือการปรับปรุงคุณภาพและประสบการณ์บนหน้าเว็บของคุณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การทำ SEO ซึ่งสามารถเริ่มทดลองทำตาม 5 เทคนิคเหล่านี้ได้เลย
1. เพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Improve Page Speed) ให้เร็วที่สุด
ในยุคที่ทุกอย่างต้องรวดเร็ว ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บคือปราการด่านแรกที่ตัดสินว่าผู้ใช้จะอยู่หรือไป สถิติจาก Google ระบุว่า โอกาสที่ผู้ใช้จะกดออกจากเว็บ (Bounce) จะเพิ่มขึ้นถึง 32% หากเว็บใช้เวลาโหลดจาก 1 วินาทีเป็น 3 วินาที โดยคุณสามารถเพิ่มความเร็วให้แก่เว็บไซต์ของคุณได้ด้วยเทคนิคดังนี้
- บีบอัดรูปภาพ (Image Compression) : ก่อนอัปโหลดรูปภาพทุกครั้ง ให้ใช้เครื่องมืออย่าง TinyPNG หรือ Squoosh เพื่อลดขนาดไฟล์โดยไม่ทำให้คุณภาพลดลงจนน่าเกลียด และใช้ Format รูปภาพสมัยใหม่อย่าง WebP ที่มีขนาดเล็กกว่า
- ใช้ Lazy Loading : ตั้งค่าให้รูปภาพหรือวิดีโอที่อยู่ส่วนล่างๆ ของหน้าเว็บ (ที่ผู้ใช้ยังเลื่อนไปไม่ถึง) โหลดขึ้นมาเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าจอไปใกล้ถึงตำแหน่งนั้นๆ เพื่อลดเวลาโหลด
- ลดขนาดโค้ด (Minify CSS, JavaScript, HTML) : ลบ Text ที่ไม่จำเป็น เช่น การเว้นวรรค, การขึ้นบรรทัดใหม่, และคอมเมนต์ออกจากไฟล์โค้ด เพื่อให้ไฟล์มีขนาดเล็กลงและเบราว์เซอร์อ่านได้เร็วขึ้น
- เลือกใช้ Hosting คุณภาพสูง : การลงทุนกับผู้ให้บริการโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพและมีเซิร์ฟเวอร์อยู่ใกล้กับกลุ่มเป้าหมายของคุณ จะช่วยลดเวลาในการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ (Server Response Time) ได้อย่างมาก
และอย่าลืมหมั่นเข้าไปตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ และเช็กวิธีในการแก้ไขได้จาก SEO Tools อย่าง Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix
2. ปรับปรุงเนื้อหาให้ “ตอบโจทย์” และ “น่าติดตาม”
เนื้อหาคือหัวใจของหน้าเว็บ ถ้าเนื้อหาไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหา (Search Intent) หรือนำเสนอได้ไม่น่าสนใจ ก็ยากที่จะรั้งพวกเขาไว้ได้ โดยคุณสามารถลองปรับแต่ง Content บนหน้าเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของ Users ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
- เขียนย่อหน้าแรก (Introduction) ให้น่าสนใจ : ใช้หลักการ “AIDA” (Attention, Interest, Desire, Action) ในย่อหน้าแรก ดึงความสนใจด้วยคำถามหรือสถิติที่น่าทึ่ง บอกให้ชัดเจนว่าผู้อ่านจะได้อะไรจากบทความนี้
- จัดรูปแบบให้อ่านง่าย (Readability) : ไม่มีใครอยากอ่าน Content บนเว็บไซต์ที่เปิดเข้ามาแล้วเจอแต่ Text ยาวเป็นกำแพง ไม่มีย่อหน้า ไม่มีการแบ่งพารากราฟใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะจะทำให้ Users ลายตา เห็นแค่นิดเดียวก็อยากกดออกจากเว็บไซต์ เราแนะนำให้คุณลองแบ่งเนื้อหาเป็นย่อหน้าสั้นๆ ใช้ หัวข้อย่อย (H2, H3), ตัวหนา, ตัวเอียง, และ Bullet Point เพื่อนำสายตาและเน้นประเด็นสำคัญ
- ใช้ Content ที่หลากหลายรูปแบบมากกว่างานเขียน : เช่นการแทรกรูปภาพที่เกี่ยวข้อง,Infographic, หรือวิดีโอเข้าไปในเนื้อหา เพื่อช่วยอธิบายประเด็นที่ซับซ้อนและทำให้เนื้อหาน่าสนใจยิ่งขึ้น
- ตอบให้ตรงคำถาม เขียนแต่เนื้อไม่เอาน้ำ : แนะนำให้คุณเริ่มวิเคราะห์ Customer Insight ของ Target ธุรกิจคุณและตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณตอบคำถามของผู้ใช้ได้ครบถ้วนและละเอียดกว่าคู่แข่ง
3. ออกแบบ UX/UI โดยหลัก Customer Centric Design
การออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่ไม่ดีนั้นส่งผลเสียกับ Bounce Rate โดยตรงเพราะจะทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดและอยากกดปิดทันที การออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่ดีคือการทำให้ทุกอย่างใช้งานง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด ด้วยเทคนิค Customer Centric Design ดังนี้
- มีเมนูนำทาง (Navigation) ที่ชัดเจน : ออกแบบเมนูหลักให้เรียบง่ายและเข้าใจได้ทันที ผู้ใช้ควรจะรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและจะไปที่หน้าอื่นได้อย่างไรโดยไม่ต้องเดาเอาเอง
- กำจัดสิ่งที่รบกวนการใช้งาน : ลดการใช้ Pop-up ที่ไม่จำเป็นซึ่งบดบังเนื้อหา หากจำเป็นต้องใช้ ควรตั้งค่าให้แสดงผลหลังจากผู้ใช้อยู่บนหน้าเว็บสักพัก หรือเมื่อมีท่าทีว่าจะออกจากเว็บ (Exit-Intent Pop-up)
- ออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้มีความเป็น Mobile-First Design : เนื่องจากปัจจุบัน Users ส่วนใหญ่เข้าเว็บผ่านมือถือ ให้เริ่มต้นออกแบบโดยยึดหน้าจอมือถือเป็นหลัก แล้วค่อยขยายไปยัง Desktop Design และอย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่าปุ่ม CTA ต่าง ๆ นั้นกดง่ายและตัวอักษรอ่านได้ชัดเจนบนจอขนาดเล็ก
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ Users Behavior : แนะนำให้คุณลองใช้เครื่องมือ Heat Map Analysis เพื่อดูว่าผู้ใช้คลิกตรงไหนและเลื่อนไปถึงส่วนไหนของหน้าเว็บไซต์ หรือทำ Usability Testing โดยให้ผู้ใช้จริงลองใช้งานเว็บไซต์เพื่อหาจุดบอดที่คุณอาจมองไม่เห็น
4. เพิ่ม Internal Link อย่างมีกลยุทธ์และเป็นธรรมชาติที่สุด
Internal Link หรือลิงก์ที่เชื่อมต่อไปยังหน้าอื่น ๆ ของเว็บไซต์จะทำหน้าที่เป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมโยงหน้าต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของคุณเข้าด้วยกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการทำให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น แต่ถ้าจะใส่ Internal Link ไปเฉย ๆ แบบไม่มีกลยุทธ์ก็อาจไม่ได้ทำให้ค่า Bounce Rate ลดลง ซึ่งวิธีในการใส่ Internal Link ที่เราอยากแนะนำให้คุณลองทำตามจะมีดังนี้
- วางลิงก์ในบริบทที่เหมาะสม : อย่างที่บอกไปว่าการวางลิงก์นั้นควรต้องทำแบบมีกลยุทธ์ แนะนำ ให้คุณลองทำการแทรกลิงก์ในส่วนของเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านจริง ๆ เช่น ขณะที่อธิบายเรื่อง Bounce Rate ก็สามารถลิงก์ไปยังบทความที่เกี่ยวกับ “รับทำ CRO” (Conversion Rate Optimization) ได้
- ใช้ Anchor Text ที่สื่อความหมายได้ตรงจุด : แทนที่จะใช้คำว่า “คลิกที่นี่” ให้ใช้ข้อความที่อธิบายว่าลิงก์นั้นจะพาไปที่ไหน เช่น แทนที่จะเขียนว่า “อ่านเพิ่มเติม คลิกที่นี่” ให้เขียนว่า “เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ เทคนิคการทำ On-Page SEO”
- สร้าง Pillar Content ให้ครอบคลุมที่สุด : สร้างบทความหลัก (Content Hub) ที่ครอบคลุมหัวข้อใหญ่ๆ แล้วสร้างบทความย่อย ๆ ที่เจาะลึกในแต่ละประเด็น จากนั้นให้ลิงก์จากบทความย่อยกลับไปยังบทความหลักเสมอ เพื่อช่วยสร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่แข็งแกร่ง และยังเป็นผลดีต่อการทำ SEO อีกด้วย
5. สร้าง Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจนและน่าคลิก
เมื่อผู้ใช้อ่านเนื้อหาของคุณจบแล้ว อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องคิดเองว่าจะทำอะไรต่อ คุณต้องเป็นคนนำทางพวกเขาไปยังขั้นตอนต่อไปใน User Journey ซึ่งเรามีเทคนิคดี ๆ ในการทำให้ Users เข้ามากด CTA บนเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นดังนี้
- ทำ CTA ให้โดดเด่นที่สุด : ออกแบบปุ่ม CTA ให้มีสีที่ตัดกับพื้นหลังของเว็บไซต์และมีขนาดที่เหมาะสม เพื่อให้มองเห็นได้ง่าย
- ใช้ข้อความที่กระตุ้นให้ลงมือทำ (Action-Oriented Text) : ใช้คำกริยาที่ชัดเจน เช่น “ดาวน์โหลด E-book ฟรี”, “เริ่มทดลองใช้ 14 วัน”, “ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที” แทนคำทั่วๆ ไปอย่าง “ส่ง” หรือ “ตกลง”
- วาง CTA ในตำแหน่งที่เหมาะสม : ควรมี CTA อย่างน้อย 2 จุด คือบริเวณกลางบทความและท้ายบทความ เพื่อดักจับผู้ใช้ที่อ่านเนื้อหาในระดับความสนใจที่ต่างกัน
- หมั่นทดสอบและวัดผลอยู่เสมอ : อย่ากลัวที่จะทำ A/B Testing กับ CTA ของคุณ แนะนำให้ลองเปลี่ยนสี, ข้อความ, หรือตำแหน่งของปุ่ม แล้วดูว่าแบบไหนที่ได้ยอด Click ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Bounce Rate
เมื่อพูดถึงเรื่อง Bounce Rate มักจะมีคำถามสำคัญๆ ที่หลายคนสงสัยและสับสนกันอยู่เสมอ เราได้รวบรวมคำตอบสำหรับคำถามเหล่านั้นมาให้แล้ว
Bounce Rate vs Exit Rate ต่างกันอย่างไร?
Bounce Rate และ Exit rate คือสองตัวชี้วัดที่คนมักสับสนกัน แต่ความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง
- Bounce Rate: คือเปอร์เซ็นต์ของ “Session ที่ Users เข้ามาดูเพียงหน้าเดียว” เท่านั้น มันจะนับเฉพาะคนที่เข้ามาที่หน้านั้นเป็นหน้าแรกและออกไปเลย
- Exit Rate: คือเปอร์เซ็นต์ที่หน้านั้นเป็น “หน้าสุดท้าย” ของการเข้าชม ไม่ว่าผู้ใช้จะเข้ามาดูกี่หน้าแล้วก็ตาม ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้อาจเข้ามาหน้าแรก -> หน้าสินค้า -> หน้าตะกร้าสินค้า -> แล้วกดปิดที่หน้าตะกร้าสินค้า ในกรณีนี้ หน้าตะกร้าสินค้าจะมี Exit Rate เพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่การ Bounce
Bounce Rate ทำให้อันดับ SEO ตกลงจริงไหม?
Google ไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าใช้ “Bounce Rate” จาก Google Analytics มาเป็นปัจจัยในการจัดอันดับโดยตรง แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิด Bounce Rate สูงต่างหากที่ส่งผลต่ออันดับ SEO อย่างมากหรืออธิบายง่าย ๆ คือ Google ไม่ได้ลงโทษเว็บคุณเพราะตัวเลข Bounce Rate สูง แต่จะลงโทษเพราะ “สาเหตุ” ที่ทำให้ตัวเลขนั้นสูง เช่น
- เนื้อหาเว็บไซต์ไม่มีคุณภาพ หรือสร้างด้วย AI ที่เห็นได้ชัดว่าเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำ
- เว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีข้อมูลผู้เขียนหรือแหล่งอ้างอิง
- ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) แย่มากจนคนรีบกดออก
- เว็บไซต์โหลดช้าเกินไป
ดังนั้นอย่ากังวลกับตัวเลข Bounce Rate เพียงอย่างเดียว แต่ให้มอง Bounce Rate คือเครื่องมือในการวิเคราะห์หาต้นตอของปัญหาและแก้ไขให้ตรงจุด
ถึงเวลาเปลี่ยน Bounce Rate ให้เป็นโอกาส เพิ่มคุณภาพให้เว็บไซต์ ปรึกษา NerdOptimize ได้เลยตอนนี้
Bounce rate คือตัวชี้วัดที่เป็นเหมือนเสียงสะท้อนจากผู้ใช้งานจริงว่าเว็บไซต์ของคุณตอบโจทย์พวกเขาได้ดีแค่ไหน การมี Bounce Rate สูงไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราได้กลับมาทบทวนและปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ในทุกปัจจัย
การลด Bounce Rate ไม่ใช่แค่การทำเพื่อตัวเลขที่สวยงาม แต่คือการลงทุนเพื่อสร้างเว็บไซต์ที่มีคุณภาพซึ่งจะส่งผลดีต่ออันดับ SEO และความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาว
หากคุณได้ลองปรับปรุงตามแนวทางเบื้องต้นแล้ว แต่ Bounce Rate ยังคงเป็นปัญหา หรือต้องการผู้เชี่ยวชาญเข้ามาวิเคราะห์ภาพรวมของเว็บไซต์อย่างลึกซึ้ง ที่ NerdOptimize เรามีทีมงานที่พร้อมให้บริการ รับทำ SEO และ รับทำ CRO (Conversion Rate Optimization) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้และปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาได้เลยวันนี้ คุยกับผู้เชี่ยวชาญฟรี! คลิกเลย