หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยได้ยินคำว่า SSR เวลาคุยเรื่องการทำเว็บไซต์ หรือเจอในบทความเกี่ยวกับ SEO แล้วสงสัยว่า SSR คืออะไร? นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะแม้จะเป็น Buzzword ที่ถูกพูดถึงบ่อยในแวดวงนักพัฒนาเว็บไซต์และคนทำการตลาดดิจิทัล แต่หลายคนก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า SSR ย่อมาจากอะไร คืออะไร และสำคัญยังไงกันแน่
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ SSR หรือ Server-Side Rendering แบบเข้าใจง่าย เจาะลึกข้อดี-ข้อจำกัด พร้อมเปรียบเทียบกับ CSR (Client-Side Rendering) ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าแบบไหนเหมาะกับเว็บไซต์ของคุณมากกว่ากัน!
SSR (Server-Side Rendering) คืออะไร
SSR ย่อมาจาก Server-Side Rendering หรือการแสดงผลเว็บไซต์จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น SSR คือ เวลาที่เรากดเข้าเว็บไซต์ ระบบจะสร้างหน้าเว็บแบบเสร็จสมบูรณ์แล้วส่งให้เราเห็นทันทีซึ่งกระบวนการนี้จะเรียกว่าการเรนเดอร์ (Render) หน้าเพจ หรือประมวลผล HTML และ CSS บนฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ก่อนที่จะส่งหน้าเว็บแบบสมบูรณ์แบบให้กับเบราว์เซอร์ของผู้ใช้เว็บไซต์ได้เห็นทันที เหมือนสั่งอาหารแล้วได้จานพร้อมกินแบบไม่ต้องมารอปรุงเอง
ดังนั้น การใช้ SSR จึงช่วยให้เว็บโหลดเร็วตั้งแต่แรก เห็นเนื้อหาทันที และแน่นอนว่า Google ชอบเว็บไซต์ที่โหลดไวและเนื้อหาชัดเจน ซึ่งเป็นหัวใจของการทำ SEO คือ การทำให้เว็บเข้าใจง่ายทั้งกับผู้ใช้งานและ Search Engine อย่างเช่น Google เป็นต้น
SSR แตกต่างจาก CSR อย่างไร
ก่อนจะเข้าใจความแตกต่าง เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า SSR และ CSR คืออะไร
SSR หรือ Server Side Rendering คือ การที่เว็บเพจจะถูกประมวลผลและสร้างขึ้นจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ แล้วส่งผลลัพธ์ HTML ที่เสร็จสมบูรณ์กลับมายังผู้ใช้งานเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานเห็นหน้าเว็บแบบพร้อมใช้งานทันทีตั้งแต่โหลดครั้งแรก
ในขณะที่ CSR หรือ Client Side Rendering คือ การโหลดโครงสร้างหน้าเว็บแบบพื้นฐานมาไว้ก่อน (บางครั้งจะเห็นเป็นหน้าเปล่าชั่วคราว) แล้วค่อยให้เบราว์เซอร์ฝั่งผู้ใช้งานดึงข้อมูลและสร้างหน้าเว็บขึ้นมาด้วย JavaScript ซึ่งอาจทำให้เว็บโหลดช้าหรือทำให้คอนเทนต์แสดงผลช้ากว่าแบบ SSR โดยเฉพาะในการเข้าใช้งานในครั้งแรก
จากความหมายเราจะมาสรุปความแตกต่างของ SSR และ CSR ให้เข้าใจง่ายมากขึ้น ดังนี้
Server Side Rendering หรือ SSR
|
Client Side Rendering หรือ CSR
|
สรุปง่ายๆ คือ หากต้องการเว็บที่โหลดเร็ว เห็นคอนเทนต์ทันที และเป็นมิตรกับ SEO การใช้ Server side rendering คือ วิธีที่ตอบโจทย์ แต่ถ้าเว็บของคุณเป็นลักษณะ Web Application ที่ต้องโต้ตอบกับผู้ใช้ตลอดเวลา CSR อาจจะเหมาะกว่า
ข้อดีของ SSR มีอะไรบ้าง ?
การเลือกใช้ Server-Side Rendering ไม่ได้มีผลดีกับแค่การทำเว็บไซต์อย่างการโหลดหน้าเว็บเร็วเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อ User Experience ของผู้ใช้งานเว็บ และการทำ SEO ให้ติดอันดับบนหน้า Google อีกด้วย และนี่คือ 5 ข้อดีของการใช้ SSR ที่คนทำเว็บไซต์และทำ SEO ไม่ควรพลาด
- ช่วยทำให้โหลดหน้าเว็บได้เร็วตั้งแต่คลิกแรก
เนื่องจาก HTML จะสร้างขึ้นมาจากเซิร์ฟเวอร์แล้วส่งกลับมาแสดงผลที่หน้าเว็บไซต์แบบที่ไม่ต้องรอ JavaScript ประมวลผลก่อน ทำให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์เห็นเนื้อหาบนเว็บได้ทันที
- ดีต่อการทำ SEO
เพราะ Google สามารถอ่านข้อมูลที่อยู่หน้าเว็บไซต์ และทำการจัดทำดัชนีของเนื้อหาจากหน้าเว็บเหล่านั้นได้ง่ายมากขึ้น จากการที่คอนเทนต์บนเว็บมาในรูปแบบ HTML จึงไม่จำเป็นต้องรอเรนเดอร์ข้อมูลเพิ่มเติม
- ลดการใช้ Bandwidth ฝั่งผู้ใช้
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า Bandwidth คือ ปริมาณข้อมูลที่ถูกส่งจากเว็บไซต์ไปยังเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งานเว็บ การที่ SSR ส่งหน้า HTML ที่ถูกเรนเดอร์ไว้แล้วไปแสดงผลทันที จะช่วยลดขนาดข้อมูลบางส่วน เช่น JavaScript ที่ไม่จำเป็นในรอบแรกที่ถูกคลิกเปิดขึ้นมา ทำให้เว็บไซต์ใช้ทรัพยากรน้อยลงและโหลดเร็วขึ้น
- ช่วยพัฒนา UX (User Experience) ของเว็บไซต์ให้ดีขึ้น
เวลาที่ผู้ใช้งานเว็บไซต์คลิกเปิดเว็บไซต์ขั้นมาแล้วไม่เจอกับหน้าเว็บเปล่าๆ (White Screen) และไม่จำเป็นต้องรอ Loading Animation นานเกินไป ผู้ใช้งานเว็บไซต์ก็จะรู้สึกว่าเว็บเร็วและน่าเชื่อถือมากขึ้น
- เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคงที่หรือไม่เปลี่ยนบ่อย
การใช้ SSR จะเหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการแสดงผลข้อมูลทันทีแบบไม่ดีเลย์ และเนื้อหาในหน้านั้นไม่ได้มีความ Dynamic ที่ต้องเปลี่ยนบ่อย เช่น เว็บไซต์ข่าว, บทความ, หน้า Landing Page เป็นต้น
ข้อจำกัดของ SSR มีอะไรบ้าง ?
แม้ว่า SSR จะมีข้อดีหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องความเร็วและ SEO แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกวัตถุประสงค์ของการทำเว็บไซต์เสมอไป การเลือกใช้ SSR จึงจำเป็นต้องพิจารณาข้อจำกัดบางประการให้ดี เพื่อให้เหมาะกับโครงสร้างของเว็บไซต์และความพร้อมของทีมพัฒนาเว็บด้วย ดังนี้
- เพิ่มภาระให้กับเซิร์ฟเวอร์
เพราะทุกครั้งที่ผู้ใช้งานเข้าหน้าเว็บไซต์ เซิร์ฟเวอร์ต้องประมวลผลและสร้าง HTML แบบเรียลไทม์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการโหลดที่สูง โดยเฉพาะถ้ามีผู้ใช้งานจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
- ต้นทุนการโฮสต์สูงขึ้น
เว็บไซต์ที่ใช้ SSR มักต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และในบางกรณีต้องพึ่งระบบ CDN หรือแคชเพื่อเพิ่มความเร็ว ส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมสูงกว่าเว็บไซต์ที่ใช้ CSR
- มีรูปแบบการดูแลและการพัฒนาที่ซับซ้อน
การจัดการ SSR ต้องมีความเข้าใจทั้งฝั่งเซิร์ฟเวอร์และฝั่งผู้ใช้งานเว็บ ซึ่งอาจทำให้ทีมที่ทำการพัฒนาเว็บไซต์ต้องใช้เวลามากขึ้นในการ Debug, Deploy หรือ Optimize เว็บไซต์
- ไม่เหมาะกับบาง CMS
หลายระบบ CMS (Content Management System) เช่น WordPress, Joomla, Wix ฯลฯ อาจไม่ได้รองรับ SSR โดยตรง หรือหากรองรับก็ต้องติดตั้งปลั๊กอินหรือมีการตั้งค่าที่ซับซ้อนมากขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้งานแบบเดิม
- Initial Load เร็ว แต่ Interactive Delay ยังมี
แม้หน้าเว็บจะโหลดเร็วในครั้งแรก แต่ฟีเจอร์ที่ต้องใช้ JavaScript เช่น ปุ่ม, เมนู, ฟอร์ม ฯลฯ อาจยังไม่พร้อมใช้งานทันที ส่งผลให้เกิดความหน่วงช่วงสั้นๆ ก่อนที่เว็บจะทำการโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้อย่างเต็มที่
SSR VS CSR แบบไหนเหมาะกับเว็บไซต์ของคุณมากกว่ากัน ?
เมื่อเริ่มสร้างเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บธุรกิจส่วนตัว เว็บขายของ หรือเว็บองค์กร หนึ่งในคำถามสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือ ควรใช้วิธีการแสดงผลหน้าเว็บแบบไหน? เพราะหลายคนอาจจะไม่รู้เรื่องที่เป็น Technical ด้านเว็บไซต์ และอาจไม่รู้ว่าเบื้องหลังการโหลด Web page แต่ละหน้ามีผลโดยตรงต่อความเร็ว ประสบการณ์ผู้ใช้ และการทำ SEO ด้วย
ดังนั้น การเลือกใช้ SSR (Server-Side Rendering) หรือ CSR (Client-Side Rendering) จึงควรขึ้นอยู่กับลักษณะเว็บไซต์ เป้าหมายในการใช้งาน ไปจนถึงกลุ่มผู้เข้าใช้งานเว็บเป็นหลัก ซึ่งมีข้อควรพิจารณาที่ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น ดังนี้
ประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บไซต์ (Performance)
SSR (Server-Side Rendering) ▶︎ หน้าเว็บจะแสดงผลให้เห็นได้เร็วตั้งแต่คลิกแรก เพราะฝั่งเซิร์ฟเวอร์ได้เรนเดอร์ HTML และส่งเนื้อหาที่พร้อมใช้งานมาให้โดยตรง ผู้ใช้งานเว็บจึงไม่ต้องรอการโหลด JavaScript เพื่อให้เห็นข้อมูล แต่ถ้าผู้ใช้ทำการเปลี่ยนหน้าไปมาหลายครั้ง อาจต้องเรียกข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ใหม่ทุกครั้ง จึงต้องมีเวลาโหลดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในบางสถานการณ์ด้วย
CSR (Client-Side Rendering) ▶︎ ในรอบแรกที่โหลดเว็บไซต์อาจใช้เวลานานกว่า SSR เพราะเบราว์เซอร์ต้องรอโหลด JavaScript ทั้งหมดก่อนจึงจะแสดงเนื้อหาได้ครบ แต่หลังจากนั้นการโหลดข้อมูลในหน้าอื่นๆ จะรวดเร็วมากขึ้น เพราะใช้วิธีดึงข้อมูลแบบ API โดยไม่ต้องโหลดทั้งหน้าใหม่
ซึ่งในการวัดผลด้านประสิทธิภาพเว็บไซต์ เช่น ทำผ่าน Google Lighthouse จะเห็นว่าเว็บไซต์ที่ใช้ SSR มักได้คะแนนส่วน First Contentful Paint (FCP) และ Time to Interactive (TTI) ดีกว่า ในขณะที่ CSR อาจต้องปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้ได้คะแนนในระดับที่ดี โดยเฉพาะกับการโหลดหน้าเว็บไซต์ในครั้งแรก
การทำ SEO
SSR (Server-Side Rendering) ▶︎ SSR จะเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำ SEO เพราะเนื้อหาบนเว็บไซต์ถูกเรนเดอร์ออกมาเป็น HTML ที่เห็นได้เลยตั้งแต่แรก ทำให้ Bot ของ Search Engine เช่น Google Bot สามารถเข้ามาอ่านข้อมูลได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ JavaScript ทำงาน ซึ่งช่วยให้การจัดทำดัชนี (Indexing) มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น
CSR (Client-Side Rendering) ▶︎ CSR อาจไม่เหมาะกับการ SEO แบบดั้งเดิม เนื่องจากเนื้อหาจะถูกเรนเดอร์ผ่าน JavaScript หลังจากโหลดหน้าเว็บ ซึ่งอาจทำให้ Google Bot ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้ในทันที หากต้องการให้ SEO ทำงานได้ดีในเว็บที่ใช้ CSR จำเป็นต้องใช้เทคนิคเฉพาะ เช่น Pre-rendering, Dynamic Rendering, SSR Hybrid เป็นต้น
สำหรับธุรกิจหรือเจ้าของเว็บไซต์ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเหล่านี้ อาจเลือกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทรับทำ SEO เพื่อวางโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการทำอันดับใน Google ตั้งแต่แรกเริ่มก็จะช่วยทำให้ได้คะแนนการทำ SEO ที่ดีได้อย่างรวดเร็ว และไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกอีกด้วย
User Experience
SSR (Server-Side Rendering) ▶︎ ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถเห็นเนื้อหาบนหน้าเว็บได้ทันทีตั้งแต่คลิกแรก โดยไม่ต้องรอโหลดหรือพบกับหน้าเว็บเปล่า (White Screen) จึงเหมาะอย่างยิ่งกับเว็บไซต์ที่ต้องการให้แสดงผลข้อมูลบนหน้าเว็บอย่างรวดเร็วและชัดเจน เช่น เว็บข่าว บทความ Landing Page ฯลฯ ที่เน้นสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ดังนั้น SSR คือปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาในการออกแบบเว็บไซต์ที่เน้นความเร็วในการแสดงผลเป็นหลัก
CSR (Client-Side Rendering) ▶︎ แม้ในช่วงแรกที่จะโหลดเว็บช้ากว่าเล็กน้อย แต่หลังจากโหลดเสร็จแล้ว ประสบการณ์การใช้งานเว็บจะราบรื่นมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้งานเว็บไซต์คลิกไปยังหน้าอื่นๆ หรือมีการ Interact กับเว็บไซต์บ่อยๆ เช่น การเลื่อนเมนู การกดปุ่ม การอัปเดตข้อมูลแบบ Real-time เป็นต้น CSR จึงเหมาะกับเว็บไซต์หรือ Web Application ที่มีความ Interactive สูง เช่น แอปพลิเคชันแชท ระบบ Dashboard หรือ Social Media เป็นต้น
การพัฒนาและดูแลรักษา
SSR (Server-Side Rendering) ▶︎ SSR จะมีความซับซ้อนมากกว่าในด้านการพัฒนาและดูแลรักษา เนื่องจากต้องมีการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ให้สามารถเรนเดอร์ข้อมูล HTML แบบเรียลไทม์ ซึ่งส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการ deploy และ scale ระบบ อีกทั้งยังอาจต้องใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์สูงขึ้น โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากหรือมีคอนเทนต์ที่หลากหลาย
CSR (Client-Side Rendering) ▶︎ เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการระบบเว็บไซต์ที่ดูแลรักษาง่ายในระยะยาว เพราะโครงสร้างแยกชัดเจนระหว่างฝั่ง Frontend และ Backend ทำให้สามารถพัฒนาแต่ละส่วนได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ ยังช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ เนื่องจากการเรนเดอร์เกิดขึ้นที่ฝั่งผู้ใช้งาน ไม่ต้องประมวลผลผ่านระบบของเซิร์ฟเวอร์หลัก
ต้นทุนและงบประมาณ
SSR (Server-Side Rendering) ▶︎ การใช้ SSR มักใช้งบประมาณสูงกว่า เพราะต้องใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์มากขึ้นในการเรนเดอร์หน้าเว็บไซต์แบบเรียลไทม์ เพราะทุกครั้งที่มีการเข้าชมหน้าใหม่ ระบบจะต้องประมวลผลและสร้าง HTML ส่งไปยังผู้ใช้งานเว็บ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านเซิร์ฟเวอร์และระบบแคชเพิ่มขึ้น SSR จึงเหมาะกับเว็บไซต์ที่มี Traffic ไม่สูงมาก หรือมีการทำ Caching ที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดภาระของระบบเว็บไซต์
CSR (Client-Side Rendering) ▶︎ การใช้ CSR จะช่วยลดภาระบนเซิร์ฟเวอร์ได้ดี เพราะการประมวลผลส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นฝั่งผู้ใช้งาน (Browser) ไม่ต้องให้เซิร์ฟเวอร์เรนเดอร์ทุกหน้าเหมือน SSR จึงเหมาะกับเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากพร้อมกัน เช่น เว็บบอร์ด, Web App ขนาดใหญ่ ฯลฯ แต่ก็ต้องมั่นใจว่าผู้ใช้งานมีอุปกรณ์ที่สามารถรัน JavaScript ได้ดี เพราะหากเครื่องช้าก็อาจเกิดปัญหา UX ตามมาได้
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือองค์กรที่กำลังวางแผนสร้างเว็บไซต์ และยังตัดสินใจไม่ได้ว่าเทคโนโลยีแบบไหนเหมาะกับงบประมาณมากที่สุด ดังนั้น การหาข้อมูลหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญนับเป็นทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะหากคุณกำลังคิดว่า จะจ้างทำเว็บไซต์ ที่ไหนดี การเลือกปรึกษาและร่วมงานกับทีมที่เข้าใจทั้ง SSR และ CSR ก็จะช่วยให้การวางแผนงบประมาณและโครงสร้างเว็บไซต์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นอีกด้วย
สรุปภาพรวม SSR คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์เร็ว แรงและติดอันดับ SEO
เมื่อพิจารณาจากทุกแง่มุมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์, การทำ SEO, ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (UX), ความซับซ้อนในการพัฒนา และงบประมาณในการดูแลเว็บไซต์ จะเห็นว่า SSR คือ หนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ได้จริง โดยเฉพาะกับเว็บที่เน้นการทำคอนเทนต์, การติดอันดับบน Google หรือสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มีคนคลิกเข้ามา
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกเว็บไซต์จะเหมาะกับ SSR เสมอไป การเลือกใช้ SSR หรือ CSR จึงควรเป็นไปตามเป้าหมายของธุรกิจ โครงสร้างเนื้อหาบนเว็บ และลักษณะของผู้ใช้งาน ซึ่งถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะจ้างทำเว็บไซต์ ที่ไหนดี หรือยังไม่มีทีมที่เข้าใจเรื่องเทคนิคด้าน SSR, CSR ไปจนถึงการรับทำ SEOแบบครบวงจร NerdOptimize เราคือทีมที่เข้าใจในเรื่องการทำเว็บไซต์ การทำ SEO และการทำ Digital Marketing ที่พร้อมช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้อย่างแท้จริง