Technical SEO ถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคในการทำ SEO ที่สำคัญไม่แพ้กับการทำ On Page SEO หรือ Off Page โดยการทำ Technical SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ Google Bot สามารถเข้าไปเก็บข้อมูลและเข้าใจคอนเทนต์บนเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการทำอันดับให้กับเว็บไซต์ของคุณในหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) บน Search Engine
ในบทความนี้เราเลยขอมาอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจถึง Technical SEO ว่ามีวิธีในการทำอย่างไรบ้าง และสามารถใช้เครื่องมือไหนที่เข้ามาช่วยให้การทำ Technical SEO ทรงพลังมากยิ่งขึ้น
Technical SEO คืออะไร ?
Technical SEO คือกระบวนการเชิงเทคนิคในการปรับแต่งและพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการใช้วิธีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ Google Bot สามารถเข้ามาเก็บข้อมูล เนื้อหาบนเว็บไซต์ (Crawler) ได้โดยง่าย และนำข้อมูลเหล่านั้นไปทำการจัดอันดับ (Index) เพื่อแสดงผลบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) เช่นการทำ Sitemap, Site Structure, Robots.txt ฯลฯ
ซึ่งการทำ Technical SEO ที่ดีและถูกต้องนั้น สามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราปรากฏในผลการค้นหาและติดอันดับหน้าแรกของ Search Engine อย่าง Google อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของ Users ได้อีกด้วย
ทำไมต้องทำ Technical SEO ?
เพราะการทำ Technical SEO เป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบและรวบรวมข้อมูลโดย Search Engine ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำ Technical SEO นั้นสามารถช่วยยกระดับการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้ เช่น
- เพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกของ Google
การทำ Technical SEO ที่ดีและถูกต้องนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ได้มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการได้รับการคลิกและ Traffic ของเว็บไซต์คุณได้มากขึ้น
- ช่วยการทำงานของ Crawlers เข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น
Crawlers หรือ Bot ของ Search Engine ที่มีหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งการทำ Technical SEO ช่วยให้ Crawlers สามารถเข้าถึงและรวบรวมข้อมูลจากทุกหน้าของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ข้อมูลถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดอันดับของเว็บไซต์ให้ดีขึ้น
- ปรับปรุงกระบวนการ Indexing
Indexing คือกระบวนการที่ Search Engine จัดเก็บข้อมูลที่รวบรวมมาในฐานข้อมูลเพื่อส่งให้เว็บไซต์มีการทำอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) ซึ่งการทำ Technical SEO ช่วยให้ Bot ที่มีหน้าที่มาเก็บข้อมูลของเว็บไซต์สามารถทำการ indexing ข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน
Technical SEO ที่ดีช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ เช่น การโหลดหน้าเว็บที่รวดเร็ว, การใช้งานบนมือถือที่สะดวก, และการเข้าถึงข้อมูลในหน้าต่าง ๆ ของเว็บไซต์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีเมื่ออยู่ในเว็บไซต์ของคุณ
- เพิ่ม Click Through Rate (CTR)
เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีการจัดการ Technical SEO อย่างดี จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในตำแหน่งที่ดึงดูดสายตาในหน้าผลการค้นหา หรืออันดับต้น ๆ ของหน้า SERP ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ หรือ Click Through Rate (CTR) ได้ และแน่นอนว่าสิ่งนี้จะช่วยให้การทำธุรกิจของคุณบนเว็บไซต์ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น
ขั้นตอนการเช็ก Technical SEO มีอะไรบ้าง
มาถึงขั้นตอนของการตรวจสอบและปรับปรุง Technical SEO กันบ้าง ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและติดอันดับที่ดีที่สุดในหน้าแสดงผลการค้นหา โดยการเช็ก Technical SEO มีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
การใช้ HTTPs เพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์
การใช้ HTTPs (Hypertext Transfer Protocol Secure) คือการใช้ SSL Certificate เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ของคุณ HTTPs ช่วยให้ข้อมูลที่ส่งระหว่างผู้ใช้งานและเว็บไซต์ถูกเข้ารหัส ทำให้ไม่ถูก Hack ข้อมูล หรือแก้ไขโดยผู้ที่ไม่ประสงค์ดี นอกจากนี้ Google ยังให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPs โดยให้คะแนน SEO เพิ่มขึ้นสำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ HTTPs ซึ่งการเริ่มใช้ HTTPs ทำได้โดยการติดตั้ง SSL Certificate หรือใบรับรองความปลอดภัย บนเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ของคุณ
วาง Site Structure เพื่อให้ Bot เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น
การจัดโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) ที่ดีช่วยให้ Crawler ของ Search Engine สามารถเข้าถึงและรวบรวมข้อมูลได้ง่ายขึ้น การจัดโครงสร้างที่ดีประกอบด้วยการใช้ URL ที่ชัดเจน, การใช้ Breadcrumb navigation, และการสร้างลิงก์ภายใน (Internal Links) ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานและ Google Bot สามารถเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น
Robots.txt ช่วยบอกทาง Bot ให้เข้าไปเก็บข้อมูล
ไฟล์ Robots.txt ใช้ในการบอกให้ Google Bot รู้ว่าหน้าไหนของเว็บไซต์ที่สามารถรวบรวมข้อมูลได้และหน้าไหนที่ไม่ควรรวบรวม การตั้งค่า robots.txt อย่างถูกต้องถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการช่วยควบคุมการ Crawling ของ Search Engine บนเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้ Bot สามารถเข้าไปยังหน้าที่สำคัญต่อการทำอันดับได้โดยไม่เสียเวลา
วางโครงสร้างของ Sitemap บนเว็บไซต์
Sitemap คือสิ่งที่เปรียบเสมือนแผนผังของเว็บไซต์ที่จะคอยบอกทางให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้การจัดอันดับผลการค้นหาดีขึ้น การมี sitemap ช่วยให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณและสามารถจัดเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้าง Sitemap และส่งให้กับ Search Engine (เช่น Google Search Console) เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ Technical SEO
ปรับปรุงเรื่อง Page Speed ของเว็บไซต์
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ (Page Speed) เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ Search Engine และประสบการณ์ของผู้ใช้งาน เว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะมีโอกาสติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา การตรวจสอบและปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือเช่น Google PageSpeed Insights ซึ่งจะทำให้คุณได้รู้ว่าปัจจุบันเว็บไซต์ของคุณมี PageSpeed Score อยู่ที่เท่าไร และต้องปรับแต่งเว็บไซต์ส่วนไหนบ้าง ถึงจะได้ทำให้เว็บไซต์มี PageSpeed Score ที่ดีขึ้น
แก้ไข Core Web Vitals
Core Web Vitals เป็นเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการประเมินประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ ประกอบด้วย
- Largest Contentful Paint (LCP): วัดเวลาที่ใช้ในการโหลดเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ
- First Input Delay (FID): วัดเวลาที่ผู้ใช้งานต้องรอก่อนที่หน้าเว็บจะตอบสนองต่อการคลิกหรือการโต้ตอบครั้งแรก
- Cumulative Layout Shift (CLS): วัดความเสถียรของการจัดวางหน้าเว็บ
โดยการปรับปรุง Core Web Vitals นั้นก็ถือเป็นการทำ Technical SEO อีกวิธีที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วและมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น โดยคุณสามารถเข้าไปเช็ก Core Web Vitals ได้ในเว็บไซต์ Page Speed Insights ของ Google
Mobile Friendly
การออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงผลได้บนโทรศัพท์มือถือ (Mobile Friendly) หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เช่น แท็บเลต เป็นสิ่งสำคัญอีกปัจจัยของการทำ Technical SEO เนื่องจากผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์มือถือในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ที่มีดีไซน์ที่รองรับ กับมือถือจะได้รับคะแนน SEO ที่สูงขึ้นจาก Google การทดสอบความเป็นมิตรกับมือถือสามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Mobile-Friendly Test
แนะนำเครื่องมือตรวจสอบ Technical SEO
Google Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือ SEO ฟรีจาก Google ที่ช่วยในการตรวจสอบและรายงานผลการทำ Technical SEO ของเว็บไซต์ ช่วยให้คุณสามารถติดตามการทำ Technical SEO ได้แบบครบลูปทั้งการเช็ก Crawling, Indexing, การส่ง Sitemap ให้ทาง Google ตรวจสอบ รวมถึงเช็กปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ได้แบบ Real Time นอกจากนั้น Google Search Console ยังมีประโยชน์ในการติดตาม Performance ของการทำ SEO ทั้งเว็บไซต์ที่คุณสามารถดูได้ใน Performance Dashboard เช็กผลลัพธ์ของการทำ SEP และความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา
Ahrefs’ SEO Toolbar
Ahrefs’ SEO Toolbar เป็นส่วนขยายของเบราว์เซอร์ (Extension) จาก Ahrefs ที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการทำ Technical SEO โดยให้ข้อมูลและเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างรอบด้าน โดย Ahrefs’ SEO Toolbar มีฟีเจอร์สำหรับการเช็ก Technical SEO เช่น Broken Link Checker (ตรวจสอบลิงก์เสียในโดเมน), Redirect tracer with HTTP Headers (เครื่องมือตรวจสอบการ Redirect ของเว็บไซต์) และฟีเจอร์อื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำ SEO ทั้ง Techinical SEO และ On Page SEO โดย Ahrefs SEO Tools Bar สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งได้ฟรี
PageSpeed Insights
PageSpeed Insights เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือฟรีของ Google ที่จะเข้ามาช่วยในการเช็ก Technical SEO ในฝั่งของความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Page Speed) ที่สามารถวิเคราะห์ความเร็วของเว็บไซต์คุณได้อย่างละเอียดและสามารถวิเคราะห์แบบละเอียด (Diagnostics) ได้เลยว่าสิ่งที่คุณต้องปรับปรุงถ้าอยากเพิ่ม Speed ให้กับเว็บไซต์นั้นมีอะไรบ้าง รวมถึงยังสามารถแสดงผลในส่วนของค่า Core Web Vitals ได้ด้วย เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการเช็ก Technical SEO ที่ใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน เพียงแค่กรอก URL ของเว็บไซต์ลงไป ก็สามารถใช้งานได้ทันที ไม่ต้องสร้าง Account อะไรทั้งสิ้น
สรุป Technical SEO
การทำ Technical SEO นั้นหากมีการทำอย่างถูกต้องและครบถ้วน นั้นสามารถเข้ามายกระดับการทำ SEO ของเว็บไซต์คุณสามารถติดอันดับในหน้าแรกของ Google อย่างยั่งยืน
นอกจากนั้นการทำ Technical SEO ไม่เพียงแค่ช่วยเรื่องอันดับอย่างเดียว แต่ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ด้วย เว็บไซต์ที่โหลดเร็ว, ใช้งานง่ายบนทุกอุปกรณ์, และมีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ โดยสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีในการเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้การทำธุรกิจออนไลน์โดยใช้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น