นักการตลาดทุกคนล้วนทราบกันดีอยู่แล้วว่า หนึ่งในเทคนิคการทำการตลาดออนไลน์ยอดนิยม ที่สามารถช่วยให้ธุรกิจเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่และสร้างยอดขาย จนในไปสู่การเติบโตของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ การทำ SEO (Search Engine Optimization) ถือเป็นทางเลือกอันดับต้น ๆ ที่ใครหลายคนเลือกใช้ โดยเฉพาะการเลือกใช้บริการ รับทำ SEO ซึ่งช่วยให้ธุรกิจได้ผลลัพธ์อย่างตรงจุด
ซึ่งการทำ SEO หรือการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับที่ดีที่สุดในหน้าการค้นหาบน Search Engine ด้วยคำค้นหา (Keyword) ต่าง ๆ ที่ว่านี้ก็มีหลากหลายเทคนิคในการทำ เช่น การสร้างคอนเทนต์คุณภาพ, การปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ของเว็บไซต์ (On Page SEO) ไปจนถึงการปรับปรุงระบบหลังบ้านเชิงเทคนิคของเว็บไซต์ให้ตรงตามความต้องการของ Search Engine ให้ได้มากที่สุด ซึ่งในส่วนนี้เรียกว่าการทำ Technical SEO
แต่ยังมีอีกหนึ่งวิธีการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จที่นักการตลาดหลายคนมักลืมนึกไปนั่นก็คือเรื่องของ HTTPS หรือเรื่องระบบความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ บนเว็บไซต์นั้น ๆ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ Search Engine อย่าง Google ให้ความสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วยนั่นเอง
ในบทความนี้ เราเลยขออธิบายความหมายและความสำคัญของ HTTPS กับการทำ SEO ในปัจจุบัน รวมถึงการนำผลจาก SEO Audit มาปรับปรุง จะมีอะไรที่นักการตลาดอย่างคุณควรทราบเพื่อการทำ SEO ให้ได้ผลลัพธ์ที่สุด ติดตามต่อในบทความ
HTTPS คืออะไร ?
HTTPS คือระบบการเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตที่ต้องอาศัยการเข้ารหัส (Encryption) และยืนยันตัวผู้ส่ง (Authentication) โดย HTTPS ย่อมาจาก Hypertext Transfer Protocol Secure มีขึ้นเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญบนเว็บไซต์ ทำให้ผู้อื่นหรือผู้ไม่หวังดีที่ต้องการดักจับข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานแต่ละคน ไม่สามารถอ่านข้อมูลที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่งไปยังเว็บไซต์นั้นๆ ได้
โดย HTTPS นั้นจะปรากฏตัวอยู่บนแถบ URL ของเว็บไซต์ตามรูปตัวอย่างด้านบน ซึ่งเว็บไซต์ไหนที่มีการใช้ระบบ HTTPS ก็จะมีคำว่า https:// ขึ้นต้นนำหน้า URL พร้อมไอคอนรูปแม่กุญแจแบบนี้ ในมุมของผู้ใช้งานถ้าคุณเจอเว็บไซต์ไหนที่มี URL ตรงตามรูปตัวอย่างก็ขอให้มั่นใจได้เลยครับ ว่าเว็บไซต์นั้นมีความปลอดภัยสูง ทุกกิจกรรมของคุณบนเว็บไซต์นั้น ๆ จะไม่ถูกใครดักจับข้อมูลไปแน่นอน
ซึ่งระบบการทำงานที่อยู่เบื้องหลังของ HTTPS นั้นจะมีชื่อว่า SSL หรือ Secure Socket Layer ที่เป็นเทคโนโลยีการเข้า-ถอดรหัสข้อมูลเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการส่งข้อมูลบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต ที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราถูกดักจับหรือแฮกข้อมูลได้ยาก
ทำไมเว็บไซต์ที่ดี ควรต้องติดตั้งระบบ HTTPS ?
สำหรับใครที่เป็นมือใหม่ที่กำลังจะเริ่มสร้างเว็บไซต์หรือใครที่มีแผนจะจ้างรับทำเว็บไซต์ WordPress ต่อให้ไม่เกี่ยวกับการทำ SEO แต่สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือการทำเว็บไซต์ให้เป็น HTTPS เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยมากขึ้น ใน SEO Checklist การเปลี่ยนเว็บไซต์เป็น HTTPS นั้นยังช่วยเพิ่มคะแนนของการทำ SEO และทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับที่ดีขึ้น
ดังนั้นการติดตั้งระบบ HTTPS ให้กับเว็บไซต์คุณนั้น ก็เหมือนกับการล้อคประตูบ้านด้วยแม่กุญแจ 2 ชั้นเพื่อทำให้ผู้ไม่หวังดี ไม่สามารถเข้ามาเห็นหรือขโมยสิ่งของสำคัญภายในบ้านของเราไปได้
ซึ่งการติดตั้งระบบ HTTPS ให้กับเว็บไซต์ของตัวเองนั้นก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่นการจดทะเบียน SSL Certificate แบบออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ DirectAdmin, Cloudfare หรือสำหรับใครที่ใช้ WordPress เป็นระบบหลังบ้านของเว็บไซต์ คุณก็สามารถติดตั้ง PlugIn ฟรีอย่าง CloudFlare Flexible SSL เพื่อเปลี่ยนให้เว็บไซต์เป็นระบบ HTTPS ได้เลย
แล้วถ้าเว็บไซต์ไม่ได้ใช้งานระบบ HTTPS จะเกิดอะไรขึ้นไหม ?
ที่จะใช้เมื่อเรียกโปรแกรมบนเบราว์เซอร์ เช่น Google Chrome, MS Edge
เพื่อเรียกดูข้อมูลหรือเว็บนั้น ๆ เบราว์เซอร์จะใช้ HTTP เป็นตัวเรียกให้เซิร์ฟเวอร์ส่งข้อมูลมาให้เพื่อแสดงผลบนหน้าจอได้อย่างถูกต้อง โดยจะเป็นการส่งข้อมูลแบบปกติ (Clear Text) ไม่ได้มีการเข้ารหัส เหมือน HTTPS ทำให้เกิดการแฮกหรือดักจับข้อมูลบนเว็บไซต์เหล่านี้ได้ง่ายกว่า HTTPS หลายเท่า (แฮกเกอร์จะเห็นข้อมูลทุกอย่าง)
ซึ่งจะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณมีความเสี่ยงที่จะถูกแฮกข้อมูลได้ง่าย ส่วนฝั่งของผู้ใช้งานเองก็จะมีความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยถ้าต้องทำการใช้งานเว็บไซต์แบบ HTTP ธรรมดา ยิ่งถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ประเภท E-Commerce ด้วยแล้ว ถ้ายังใช้งานระบบ HTTP อยู่ก็มีความเสี่ยงที่ข้อมูลสำคัญของลูกค้าเช่น เลขบัญชี เลขบัตรเครดิต จะถูกโจรกรรมได้
และนอกจากนั้นฝั่งของ Google เองก็จะไม่สนับสนุนเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้ใช้งานระบบความปลอดภัยแบบ HTTPS ด้วย โดยถ้าคุณได้กดเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ไหน ที่ยังไม่ได้เป็น HTTPS (หรือเป็นแค่ HTTP อยู่) ตรงแถบ URL ทาง Google จะขึ้นคำเตือนมาเลยว่า Not Secure เพราะถือว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน
ทางที่ดี หากคุณกำลังเริ่มสร้างเว็บไซต์ใหม่หรือมีแพลนที่จะสร้างเว็บไซต์ใหม่นั้นอันดับแรก ควรจะทำให้เว็บไซต์ของตัวเองมีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นด้วยการติดตั้งระบบ HTTPS ก่อนเสมอ ถึงจะเริ่มไปใส่ใจองค์ประกอบอื่นได้
HTTP กับ HTTPS ต่างกันอย่างไร?
HTTP และ HTTPS เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างเว็บเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์ ทั้งสองโปรโตคอลนี้มีหน้าที่หลักในการทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ แต่มีความแตกต่างที่สำคัญในเรื่องของความปลอดภัยและกระบวนการเข้ารหัสข้อมูล ดังนี้
1. HTTP (Hypertext Transfer Protocol)
HTTP คือโปรโตคอลที่ใช้สำหรับการส่งข้อมูลระหว่างเว็บเบราว์เซอร์ (เช่น Chrome, Firefox) และเว็บเซิร์ฟเวอร์โดยไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล
ข้อดี:
- การทำงานรวดเร็วกว่า HTTPS ในบางกรณี เนื่องจากไม่มีขั้นตอนการเข้ารหัสและถอดรหัส
- ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ไม่ได้มีข้อมูลสำคัญ เช่น บล็อกส่วนตัวหรือเว็บไซต์แสดงข้อมูลทั่วไป
ข้อเสีย:
- ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล: ข้อมูลที่ส่งผ่าน HTTP สามารถถูกดักจับ (intercept) และอ่านได้โดยง่าย ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากแฮกเกอร์
- ไม่ปลอดภัย: หากเว็บไซต์มีการกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลนี้สามารถถูกขโมยได้
- ส่งผลต่อ SEO: เว็บไซต์ HTTP ได้รับการจัดอันดับต่ำกว่า HTTPS เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย
2. HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure)
HTTPS คือเวอร์ชันที่ปลอดภัยของ HTTP โดยเพิ่มกระบวนการเข้ารหัสข้อมูลด้วย SSL/TLS (Secure Sockets Layer/Transport Layer Security) ซึ่งช่วยปกป้องข้อมูลระหว่างผู้ใช้งานและเซิร์ฟเวอร์จากการถูกดักจับ
ข้อดี:
- เข้ารหัสข้อมูล (Encryption): ป้องกันไม่ให้บุคคลที่สามอ่านหรือแก้ไขข้อมูลระหว่างทาง
- ยืนยันตัวตน (Authentication): มั่นใจได้ว่าเว็บไซต์ที่คุณเข้าถึงเป็นเว็บไซต์จริง ไม่ใช่เว็บไซต์ปลอม
- ป้องกันการโจมตี (Data Integrity): ลดความเสี่ยงของการโจมตีแบบ man-in-the-middle (MITM) หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลระหว่างทาง
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ HTTPS จะมีสัญลักษณ์รูปกุญแจในเบราว์เซอร์ ทำให้ผู้ใช้งานไว้วางใจมากขึ้น
- ส่งผลดีต่อ SEO: Google ใช้ HTTPS เป็นหนึ่งในปัจจัยในการจัดอันดับ (ranking signal) และเว็บไซต์ HTTPS มักได้รับการแสดงผลที่สูงกว่าในผลการค้นหา
- ป้องกันข้อความเตือน: เบราว์เซอร์อย่าง Chrome และ Firefox จะแสดงข้อความเตือนว่าเว็บไซต์ “ไม่ปลอดภัย” หากไม่ได้ใช้ HTTPS
ข้อเสีย:
- อาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับใบรับรอง SSL (แม้ว่าจะมีแบบฟรี เช่น Let’s Encrypt)
- กระบวนการเข้ารหัสอาจเพิ่มเวลาโหลดเพียงเล็กน้อยในบางกรณี
วิธีตรวจสอบว่าเว็บไซต์ใช้ HTTPS หรือไม่ มีอะไรบ้าง ?
การตรวจสอบว่าเว็บไซต์ที่คุณกำลังเข้าชมนั้นใช้ HTTPS หรือไม่ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการป้องกันข้อมูลส่วนตัวของคุณจากการถูกโจมตีหรือดักจับข้อมูล ขั้นตอนเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถเช็กได้อย่างง่ายดายว่าการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์มีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่
- มองหาสัญลักษณ์รูปกุญแจที่แถบที่อยู่ (Address Bar)
สัญลักษณ์รูปกุญแจเล็ก ๆ จะปรากฏที่ด้านหน้าของ URL หากเว็บไซต์นั้นใช้ HTTPS - ตรวจสอบ URL ของเว็บไซต์
เว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS จะเริ่มต้นด้วย https:// ในขณะที่ HTTP จะเริ่มต้นด้วย http:// - ข้อความแจ้งเตือนจากเบราว์เซอร์
หากเว็บไซต์ใช้ HTTP เบราว์เซอร์ เช่น Google Chrome อาจแสดงข้อความว่า “ไม่ปลอดภัย (Not Secure)” - ใช้เครื่องมือออนไลน์
เครื่องมืออย่าง SSL Checker ช่วยตรวจสอบว่าเว็บไซต์ใช้ HTTPS หรือไม่และใบรับรอง SSL ถูกต้องหรือไม่ - ตรวจสอบใบรับรอง SSL
คลิกที่สัญลักษณ์รูปกุญแจบนเบราว์เซอร์เพื่อดูรายละเอียดใบรับรอง SSL ว่าถูกต้องและออกโดยผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือหรือไม่
HTTPS ช่วยสร้างประโยชน์อะไรให้กับเว็บไซต์และธุรกิจของคุณได้บ้าง ?
ในยุคที่ความปลอดภัยบนโลกออนไลน์กลายเป็นสิ่งสำคัญ HTTPS ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่เว็บไซต์และธุรกิจไม่ควรมองข้าม การใช้งาน HTTPS ไม่เพียงแค่ช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ แต่ยังเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และส่งผลดีต่ออันดับ SEO ของเว็บไซต์ มาดูกันว่า HTTPS สามารถสร้างประโยชน์อะไรให้กับเว็บไซต์และธุรกิจของคุณได้บ้าง?
- การติดตั้ง HTTPS และ SSL ให้กับเว็บไซต์คุณนั้นถือเป็นการเพิ่มระบบความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการถูกดักจับหรือแฮกข้อมูล รวมถึงช่วยลดโอกาสเกิดความเสียหายจากการถูกแฮกข้อมูลสำคัญของลูกค้าจากเหล่ามิจฉาชีพออนไลน์
- เว็บไซต์ที่มีไอคอนสัญลักษณ์รูปกุญแจ (หรือการติดตั้ง HTTPS) สามารถช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าที่กดเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ ทำให้ลูกค้ากล้าที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น เช่น ใส่ข้อมูลส่วนตัวเพื่อกรอก Lead, ทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อการสั่งซื้อสินค้า ซึ่งช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้ เป็นต้น
- การติดตั้งระบบ HTTPS นั้นถือเป็นเทคนิคในการทำ SEO อีกวิธีหนึ่งด้วย เพราะ Search Engine Algorithm ของ Google จะให้ความสำคัญในการจัดอันดับ SEO ให้กับเว็บไซต์ที่มีความปลอดภัยสูงก่อนเสมอ (เช่นมีการติดตั้ง HTTPS) เลยช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีคะแนนดี ติดอันดับ SEO ได้เร็วขึ้น
- ป้องกันการถูกโจมตีจากมิจฉาชีพออนไลน์ การติดตั้งระบบ HTTPS นั้นเรียกว่าเป็นการใส่กุญแจ 2 ชั้นป้องกันการแฮกข้อมูลได้ดีที่สุด ปิดโอกาสการโดนแฮกเกอร์ขโมยเว็บไซต์หรือเข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้เว็บไซต์ของคุณ
HTTPS ส่งผลต่อการทำ SEO ของคุณอย่างไร ?
อย่างที่ได้กล่าวไปในหัวข้อข้างต้นแล้วว่า Googleให้ความสำคัญกับเรื่อง “ความปลอดภัยของผู้ใช้” เป็นสำคัญเสมอ เพราะ Google มองว่าเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งานที่ดี เป็นปัจจัยที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ดีตามมานั่นเอง (ปัจจัยความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์)
ทาง Google จึงได้มีนโยบายสนับสนุนให้เว็บไซต์ต่าง ๆ ใช้งาน HTTPS มาโดยตลอด ซึ่ง Google ก็ได้ทำการใช้เรื่อง HTTPS มาเป็นปัจจัยในการจัดอันดับเว็บไซต์เพื่อการทำ SEO มาเกือบ 7-8 ปีแล้ว รวมถึงได้มีการปรับปรุงขั้นตอนการทำงานของ Algorithm ในระบบ Indexing (หนึ่งในขั้นตอนการทำงานของ SEO) ให้ตรวจจับเว็บไซต์แบบ HTTPS ก่อนเสมอ และขณะเดียวกัน Google ก็จะลดความสำคัญของเว็บไซต์ HTTP ปกติลงไปด้วย
หรืออธิบายให้ชัดขึ้น สมมติมี 2 เว็บไซต์ A กับ B ที่หน้าตาเหมือนกัน คอนเทนต์เหมือนกัน มี Keyword เดียวกัน มีเวลาการสร้างใกล้เคียงกัน (ทุกอย่างแทบจะเป็นฝาแฝดกันเลย) แต่เว็บไซต์ A เป็น HTTP ปกติ ส่วนเว็บไซต์ B มีการติดตั้ง HTTPS ปลอดภัยกว่า ทาง Google ก็จะเลือกเว็บไซต์ B ให้ชนะและให้ติดอันดับดีกว่าเว็บไซต์ A บนคำค้นหาเดียวกันแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่เพียงแค่มีเว็บไซต์ที่ติดตั้งระบบ HTTPS อย่างเดียวแล้วจะทำให้การทำ SEO ของคุณดีขึ้นได้เลยนะครับ การจะทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีที่สุดในหน้าการค้นหาของ Keyword นั้น ๆ ได้ก็ยังคงต้องอาศัยปัจจัยด้านเทคนิคอื่น ๆ ในการสร้างเว็บไซต์คุณภาพเหมือนเดิมเช่น
- เว็บไซต์ของคุณต้องไม่มี Internal Links ที่ไปยังหน้า HTTP บน Hosting เดียวกัน
- เว็บไซต์ของคุณต้องปราศจากคอนเทนต์ ( รูปภาพ วิดีโอ) ที่ไม่ปลอดภัยต่อประสบการณ์การใช้งาน
- เว็บไซต์ของคุณต้องไม่มีโค้ด Canonical ที่เชื่อมต่อไปยังหน้าที่เป็น HTTP
- เว็บไซต์ของคุณต้องไม่ใช้โค้ดบล็อคกันบ็อทเข้ามาอ่านหรือตรวจสอบ
- เว็บไซต์ของคุณต้องไม่ Redirect ผู้ใช้งานไปยังเว็บไซต์ HTTP ที่ไม่ปลอดภัย (ไม่ควรแม้กระทั่งแค่ให้กดผ่าน)
นอกจากปัจจัยด้านเทคนิคที่ได้กล่าวไปแล้ว Google เองก็เคยได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า จริงอยู่ที่การมีเว็บไซต์ที่ใช้งานระบบ HTTPS นั้นเป็นผลดีอย่างมากต่อทั้งตัวเว็บไซต์เองและผู้ใช้งาน
แต่ในการจะปรับปรุงการทำ SEO นั้น แค่ HTTPS อย่างเดียวช่วยให้ผลของอันดับเว็บไซต์ขยับขึ้นได้ไม่เยอะและ Google เองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ HTTPS เป็นอันดับหนึ่ง
คุณต้องอาศัยองค์ประกอบการทำ SEO ปัจจัยอื่น ๆ ช่วยด้วยเสมอเช่น การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ มีคำค้นหาชัดเจน ที่ต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้ รวมไปถึงภาพรวมในการทำ On Page SEO ปรับแต่งรายละเอียดเว็บไซต์ และ Off Page SEO ในการสร้าง Backlink คุณภาพ (หรือพูดง่าย ๆ คือยังต้องครอบคลุมภาพรวมการทำ SEO ทั้งหมดอยู่)
ถึงจะสามารถช่วยสนับสนุนการทำ SEO ควบคู่ไปกับการมีเว็บไซต์ระบบ HTTPS เพื่อให้ธุรกิจของคุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
HTTPS คือปัจจัยสำคัญของการทำ SEO ให้เห็นผล! ที่นักทำ SEO ทุกคนไม่ควรมองข้าม
คงเป็นเรื่องจริงแน่นอนที่ HTTPS มีส่วนสำคัญกับการทำ SEO ในปัจจุบัน ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผู้ใช้งาน แถมยังช่วยในเรื่องของการเพิ่มระบบความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ของคุณได้ด้วย
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำเว็บไซต์รูปแบบไหน การเริ่มทำหน้าเว็บให้เป็น HTTPS นั้นเปรียบเสมือนการวางรากฐานที่มั่นคงให้เว็บไซต์และธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์ครั้งนี้นั่นเอง