Home - SEO - รู้จัก Google My Business เครื่องมือที่ทำให้ร้านค้าของคุณปรากฏบน Google Maps

รู้จัก Google My Business เครื่องมือที่ทำให้ร้านค้าของคุณปรากฏบน Google Maps

Google My Business

Google My Business คือเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏบน Google Search และ Google Maps เปรียบเสมือนหน้าร้านออนไลน์ที่ช่วยให้ลูกค้าค้นหาร้านของคุณเจอ ช่วยโปรโมทธุรกิจ เพิ่มการเข้าถึงจากลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งการทำ Google My Business นั้นถือว่าสำคัญกับร้านค้าในปัจจุบันอย่างมากเพราะผู้คนต่างใช้สมาร์ทโฟนค้นหาข้อมูลและติดต่อสื่อสาร ธุรกิจของคุณจึงจำเป็นต้องปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้า

ในบทความนี้เราเลยขอมาอธิบายว่า Google My Business คืออะไร? พร้อมสอนวิธีติดตั้ง Google My Business แบบ Step By Step อ่านจบ ทำเป็นแน่นอน

Google My Business คืออะไร ?

Google My Business (GMB) คือ เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏบน Google Search และ Google Maps เมื่อมีคนค้นหาชื่อธุรกิจของคุณบน Google เป็นอีกหนึ่งวิธีการทำ Local SEO ที่ทุกธุรกิจควรต้องทำ เพื่อช่วยให้ลูกค้าค้นหาร้านของคุณเจอได้ง่ายขึ้น เพราะข้อมูลธุรกิจของคุณไม่ว่าจะเป็น ชื่อร้าน เบอร์โทรศัพท์ โลเคชัน เว็บไซต์ ฯลฯ จะปรากฏบน Google Search บนหน้า SERP และ Google Maps ที่สามารถนำทางและดึงดูดลูกค้าใหม่ให้เข้ามาเยี่ยมชมหน้าร้านหรือเว็บไซต์ได้มากขึ้นนั่นเอง

Google My Business เหมาะกับใคร? ธุรกิจประเภทไหนบ้างที่ต้องใช้งาน

Google My Business เหมาะสำหรับธุรกิจหลากหลายประเภท โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ เพิ่มความน่าเชื่อถือในโลกออนไลน์ หรือต้องการเพิ่มร้านใน Google Maps 

1. เจ้าของธุรกิจท้องถิ่น (Local Businesses)

ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของชำ หรือร้านเสริมสวยที่พึ่งพาลูกค้าในพื้นที่สามารถใช้ GMB เพื่อให้ลูกค้าค้นหาร้านได้ง่ายขึ้น เช่น การแสดงตำแหน่งร้านบน Google Maps หรือบอกเวลาเปิด-ปิดร้าน

ตัวอย่าง

  • ร้านอาหารในย่านชุมชนที่ต้องการดึงดูดลูกค้าผ่านการค้นหาคำว่า “ร้านอาหารใกล้ฉัน”
  • ร้านกาแฟที่ต้องการแสดงรูปภาพเมนูและบรรยากาศร้านเพื่อดึงดูดลูกค้า

2. ธุรกิจที่ให้บริการในพื้นที่ (Service-based Businesses)

ธุรกิจประเภทนี้อาจไม่มีหน้าร้าน เช่น ช่างซ่อมไฟฟ้า ช่างประปา หรือผู้ให้บริการขนส่ง สามารถใช้ GMB เพื่อระบุพื้นที่ที่ให้บริการ พร้อมแสดงเบอร์โทรศัพท์หรือแบบฟอร์มการติดต่อ เพื่อให้ลูกค้าในพื้นที่เข้าถึงบริการได้ง่าย

ตัวอย่าง

  • บริษัททำความสะอาดที่ให้บริการในกรุงเทพฯ
  • ธุรกิจรถรับจ้างที่ระบุพื้นที่ให้บริการใน Google Maps

3. ธุรกิจที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ (Reputation-focused Businesses)

ธุรกิจที่ต้องการแสดงรีวิวจากลูกค้าเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เช่น คลินิกความงาม โรงแรม หรือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ การมี GMB จะช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถตอบกลับความคิดเห็นหรือรีวิวได้โดยตรง

ตัวอย่าง

  • คลินิกทันตกรรมที่ลูกค้าสามารถให้คะแนนบริการ
  • โรงแรมที่แสดงรีวิวบวกเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ผู้พัก

วิธีการติดตั้ง Google My Business ทำอย่างไร ?

วิธีการติดตั้ง Google My Business ฟรี นั้นทุกคนสามารถทำตามได้ง่าย ๆ ไม่วุ่นวาย ใช้เพียงแค่ 6 ขั้นตอนดังนี้

1. ไปที่เว็บไซต์ Google My Business

อันดับแรกให้คุณเข้าไปที่ เว็บไซต์ Google My Business เพื่อเริ่มทำการติดตั้ง Google My Business เข้าสู่ระบบ https://www.google.com/business 

2. ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google ของคุณ

หากคุณมีบัญชี Google (Google Account) อยู่แล้ว ให้คลิก “ลงชื่อเข้าใช้” และกรอกข้อมูลบัญชีของคุณ แต่ถ้ายังหากไม่มีบัญชี Google ให้คลิก “สร้างบัญชี” และทำตามขั้นตอนเพื่อสร้างบัญชีใหม่

3. กรอกข้อมูลต่าง ๆ ของธุรกิจให้ครบถ้วน

กรอกชื่อธุรกิจของคุณในช่อง “ค้นหาธุรกิจของคุณ” จากนั้นกดเลือกประเภทธุรกิจของคุณจากรายการที่แสดงขึ้นมา แล้วทำการกรอกข้อมูลที่ทาง Google ต้องการให้ครบถ้วนเช่น ชื่อร้าน เบอร์โทรศัพท์ โลเคชัน เว็บไซต์ รูปภาพที่ต้องการ (อาจจะเป็น เมนูอาหาร เมนูเครื่องดื่ม หรือราคาของสินค้า ฯลฯ)

4. ยืนยันการสร้างหน้าร้านออนไลน์ของธุรกิจคุณ

Google My Business จะส่งไปรษณียบัตรไปยังที่อยู่ธุรกิจของคุณ ซึ่งคุณสามารถเลือกวิธีการยืนยันได้หลายช่องทาง เช่น ยืนยันเบอร์โทรศัพท์ ยืนยันผ่านไปรษณียบัตร หรือจะกดข้ามไปก่อนก็ได้ ซึ่งทาง Google จะส่งรหัสยืนยันมาให้คุณคอนเฟิร์มในการสร้างหน้าร้าน

5. ปรับแต่งหน้า Google My Business ของคุณ

หากใครที่ลองติดตั้ง Google My Business ไปแล้วรู้สึกว่าอยากเพิ่มข้อมูล หรืออยากอัปเดตข้อมูลที่สำคัญ ๆ ของธุรกิจที่คุณต้องการให้ลูกค้าได้เห็น ก็สามารถเข้ามาปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มข้อมูลในรูปแบบของ โพสต์ หรือ Q&A Section ได้ 

  • เพิ่มรูปภาพ: รูปหน้าร้าน รูปสินค้า รูปพนักงาน ฯลฯ
  • เขียนโพสต์: แชร์ข่าวสาร โปรโมชั่น กิจกรรม บทความ ฯลฯ
  • ตอบคำถามลูกค้า: ตอบคำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับธุรกิจของคุณ

6. เริ่มต้นใช้งาน Google My Business ได้เลย!

เพียงเท่านี้การติดตั้ง Google My Business ก็เสร็จเรียบร้อย โดยคุณสามารถเข้าไปยัง Google และเสิร์ชค้นหาธุรกิจของคุณบน Google Search และ Google Maps ได้ทันที เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลธุรกิจของคุณแสดงผลอย่างถูกต้องหรือไม่ นอกจากนั้นเมื่อติดตั้ง Google My Business ให้กับธุรกิจของคุณแล้ว ยังสามารถโปรโมทธุรกิจของคุณไปยังแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ด้วย เช่นการแชร์ลิงก์ Google My Business ของคุณบนโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และสื่อออนไลน์อื่น ๆ ที่คุณต้องการ

วิธีการตั้งค่า Google My Business ให้รองรับ SEO 

สำหรับการตั้งค่า Google My Business ให้รองรับ SEO นั้นก็สามารถทำได้ และเราแนะนำว่าเป็นสิ่งทีุ่คณควรต้องทำด้วย เพราะการตั้งค่า Google My Business ให้รองรับ SEO จะสามารถช่วยให้ Google เข้าใจธุรกิจของคุณมากขึ้น ดึงดูดลูกค้าที่ค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องมาเจอกับหน้าร้านของคุณได้ง่ายขึ้น

โดยวิธีการสมัคร Google My Business และตั้งค่าให้รองรับ SEO นั้นให้คุณลองทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. กรอกข้อมูลธุรกิจให้ครบถ้วน

สิ่งสำคัญที่สุดของการตั้งค่า Google My Business ให้รองรับ SEO คือการระบุข้อมูลของธุรกิจให้ครบถ้วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ Google Algorithm สามารถเรียนรู้ได้ว่า ธุรกิจของคุณนั้นเป็นธุรกิจอะไร

  • ชื่อธุรกิจ: ใช้ชื่อที่ตรงกับชื่อจริงของธุรกิจ
  • ประเภทธุรกิจ: เลือกประเภทที่ตรงกับธุรกิจของคุณมากที่สุด
  • คำอธิบายธุรกิจ: เขียนคำอธิบายที่ชัดเจน กระชับ เกี่ยวกับธุรกิจของคุณ สินค้า บริการ
  • ข้อมูลติดต่อ: ใส่เบอร์โทร เว็บไซต์ ที่อยู่ เบอร์โทร เวลาทำการ
  • รูปภาพและวิดีโอ : อัปโหลดรูปหน้าร้าน รูปสินค้า รูปเมนูอาหาร ฯลฯ

2. ใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องลงไปในชื่อร้าน หรือ Description ที่อธิบายธุรกิจของคุณ

ใส่ Keyword ที่ลูกค้าใช้ค้นหาธุรกิจของคุณในชื่อธุรกิจ ประเภทธุรกิจ คำอธิบาย สินค้า บริการ

ใช้เครื่องมือ Keyword Planner ของ Google หรือ SEO Tools ตัวอื่น ๆ ทำ keyword research คือ การค้นหา keyword ที่มีคนค้นหาบ่อย เช่น หากธุรกิจของคุณเป็นร้านซ่อมมือถือ ชื่อร้านว่า ABC Mobile ในการตั้งชื่อร้านให้รองรับ SEO นั้น ก็ควรปรับชื่อร้านที่ใส่ไปใน Google My Business ว่า ‘ร้านซ่อมมือถือ ABC Mobile’ จะช่วยให้คนที่ค้นหา สามารถเจอและรับรู้ได้ว่าธุรกิจของคุณนั้นมีสินค้า/บริการอะไร

3. เพิ่มโลเคชันหรือทำเลของร้านลงไปด้วย

การเพิ่มโลเคชั่นหรือทำเลที่ตั้งของร้านคุณลงไปในการตั้งค่า Google My Business ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะช่วยลูกค้าที่ค้นหาธุรกิจในบริเวณใกล้เคียงจะเห็นร้านของคุณบน Google Maps ซึ่งช่วยให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายในพื้นที่ของคุณได้ง่ายกว่าเดิม ทำให้ร้านมีรายได้เพิ่มมากขึ้น (เพราะถูกค้นหาเจอบน Google ได้ง่ายขึ้น) เช่น ร้านซ่อมมือถือ ABC Mobile อยู่แถวลาดพร้าว ก็ควรตั้งชื่อร้านบน Google My Business ว่า ร้านซ่อมมือถือลาดพร้าว ABC Mobile เป็นต้น 

4. โพสต์คอนเทนต์รีวิวจากลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

ใน Google My Business นั้นฝั่งธุรกิจสามารถโพสต์ภาพข่าวสาร วิดีโอ โพสต์แจ้งโปรโมชั่น กิจกรรม ไปจนถึงการรีวิวจากลูกค้า ใส่ลงไปได้ ช่วยให้ลูกค้าเกิด Awareness กับธุรกิจของคุณได้มากขึ้น ซึ่ง Google Algorithm ของ Google My Business จะมีหลักเกณฑ์การประเมินที่เหมือนกับการทำ SEO ให้เว็บไซต์ คือ ถ้าธุรกิจไหนที่มีการโพสต์คอนเทนต์หรือมีการรีวิวจากลูกค้าบ่อย ๆ ตัว Algorithm ก็จะประเมินให้บัญชีร้านค้านั้นถูกค้นหาเจอได้ง่ายมากขึ้น หรือไปปรากฏตามการค้นหาที่แนะนำ เมื่อลูกค้าค้นหาด้วย Keyword ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

ฟังก์ชั่นที่ใช้ได้ของ Google My Business

ถึงตรงนี้เราขอแนะนำ 3 ฟีเจอร์บน Google My Business ที่คุณควรต้องลองใช้งานและใส่ข้อมูลให้ครบถ้วนที่สุด เพราะเป็น 3 ฟีเจอร์สำคัญที่มีผลต่อการทำ SEO ให้ร้านค้า ธุรกิจของคุณโดยตรง ได้แก่

1. Posts and Updates

ฟีเจอร์โพสต์และอัปเดต ช่วยให้คุณสามารถแชร์ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจของคุณ เช่น

  • โปรโมชั่น
  • กิจกรรม
  • ข่าวสาร
  • บทความ
  • สินค้าใหม่
  • บริการใหม่

โดยฝั่งธุรกิจสามารถใส่รูปภาพ วิดีโอ ลิงก์ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ ช่วยให้ลูกค้าติดตามข่าวสาร เกี่ยวกับธุรกิจของคุณ ทั้งยังช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเก่าได้ด้วย

2. Q&A Section

เป็นฟีเจอร์ถามตอบ ช่วยให้ลูกค้าสามารถถามคำถามเกี่ยวกับร้านค้าของคุณ หรือดูคำถามที่พบบ่อยของธุรกิจคุณเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจว่าจะเข้ามาใช้บริการหรือไม่ ซึ่งตัวอย่างของการตั้งคำถาม-คำตอบของ Q&A Section ที่เราแนะนำมีดังนี้

  • สินค้า : มีอะไรขายบ้าง, ราคาเท่าไร, ขายเยอะไหม ฯลฯ
  • บริการ : มีบริการอะไรบ้าง, ราคาเท่าไร. กฏของการใช้บริการมีอะไรบ้าง ฯลฯ
  • เวลาทำการ : เปิด-ปิดกี่โมง, เปิดวันไหนบ้าง, วันไหนหยุดบ้าง ฯลฯ
  • สถานที่ตั้ง : ร้านอยู่ที่ไหน, ถ้าไปด้วยรถสาธารณะ ไปยังไง ฯลฯ

ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถช่วยให้คุณสามารถตอบคำถาม ของลูกค้าได้โดยตรง ช่วยให้ลูกค้าได้รับข้อมูล ที่ถูกต้อง รวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี Service Mind ให้กับลูกค้าอย่างจริงใจ

3. Messaging Feature

เป็นฟีเจอร์ส่งข้อความ ช่วยให้ลูกค้าสามารถส่งข้อความ ถึงคุณโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามข้อมูล

สั่งซื้อสินค้า หรือการทำการนัดหมายเพื่อขอดูสินค้า ฯลฯ โดยข้อดีของฟีเจอร์นี้บน Google My Business คือช่วยให้คุณสามารถตอบข้อความ ของลูกค้าได้โดยตรง ช่วยให้สื่อสารกับลูกค้า ได้สะดวก รวดเร็ว

ช่วยเพิ่มการบริการกับลูกค้าให้ครอบคลุมขึ้น และสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเจอ

การวิเคราะห์และดูข้อมูลเชิงลึกของ Google My Business มีอะไรบ้าง ? 

อีกหนึ่งฟีเจอร์ของ Google My Business ที่น้อยคนจะรู้คือการวิเคราะห์และดูข้อมูลเชิงลึกของ Google My Business ที่จะทำให้คุณรู้สถิติต่าง ๆ ว่าในแต่ละเดือนมีคนกดเข้ามาที่ Google My Business ของคุณกี่คน และกดมาทำอะไรบ้าง 

โดยวิธีการดูข้อมูลเชิงลึกของ Google My Business นั้นง่ายมาก ๆ แค่เข้าไปที่ Google แล้วพิมพ์ชื่อร้านของคุณเอง (ต้องใช้อีเมลที่สมัคร Google Account ไว้ด้วยนะ) จากนั้นเมื่อกดค้นหา ตรงล่างช่องเสิร์ชระบบจะขึ้นคำว่า Your Business On Google และจะขึ้นตัวเลขของคนที่กดเข้ามาดู Google My Business ของคุณทั้งหมดในเดือนนั้น ๆ ( xxx Views This Month)

google my business accounts

จากนั้นให้กดเข้าไปตรงจำนวนเลขนั้น ระบบจะขึ้นข้อมูลหลังบ้านทั้งหมดของ Google My Business ซึ่งคุณสามารถดูได้เลยว่าในแต่ละเดือน (กำหนดช่วงระยะเวลาเองได้) มีคนกดเข้ามาดู Google My Business ของคุณกี่คน กดโทรศัพท์มากี่คน กด Message เข้ามากี่ครั้ง ไปจนถึงการวัดผลว่ามีคนกดเข้าลิงก์เว็บไซต์ของคุณผ่าน Google My Business กี่คลิก

performance google my business

หรืออีกวิธีหนึ่งในการวิเคราะห์และดูข้อมูลเชิงลึกของ Google My Business ที่ทำได้ คือการเข้าผ่าน Google My Business เลย จากนั้นกดไปที่แถบ Insights ซ้ายมือ ก็สามารถดูสถิติในลักษณะของ Dashboard Chart ได้ทันที (อันนี้ดูง่ายกว่าแบบแรก)

google my business insights

ประโยชน์ของ Google My Business มีอะไรบ้าง ? 

ประโยชน์ของ Google My Business นั้นเรียกว่า มีประโยชน์มาก ๆ สำหรับทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง – เล็ก (SMEs) เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ คาเฟ่ ร้านนวด ร้านซ่อมคอม ฯลฯ จะยิ่งได้ประโยชน์มาก ๆ เพราะนอกจาก ข้อมูลธุรกิจของคุณจะปรากฏบน Google Search และ Google Maps ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ยิงแอด ได้เยอะ เพราะวิธีการตั้งค่า Google My Business ให้คนหาเจอได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณอะไรเลย ทำได้ฟรี ๆ ขอเพียงแค่มีการตั้งค่า Google My Business ที่ถูกต้องตามหลัก SEO แบบที่เราได้อธิบายไปในข้างต้น 

และนอกจากนั้น ประโยชน์ของ Google My Business ยังมีอีกเยอะมาก ๆ ที่จะเข้ามาช่วยสร้างยอดขายให้ธุรกิจของคุณ ดังนี้

  • เพิ่มโอกาสในการค้นหาเจอได้ง่ายขึ้น: ลูกค้าค้นหาร้านของคุณบน Google Search และ Google Maps ได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจของคุณ: เพราะบน Google My Business มีการแสดงโลเคชั่นบน Google Maps สร้างความมั่นใจว่าธุรกิจของคุณมีอยู่จริง
  • ดึงดูดลูกค้าในพื้นที่: ลูกค้าค้นหาธุรกิจในบริเวณใกล้เคียง พบกับร้านของคุณบน Google Maps
  • วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้: เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าจากข้อมูลสถิติของ Google My Business
  • โปรโมทธุรกิจได้ง่าย: ใส่ข้อมูลติดต่อ เว็บไซต์ โปรโมชั่น บน Google My Business
  • เป็นอีกช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า: ตอบคำถามลูกค้า โพสต์อัปเดต และส่งข้อความผ่าน Google My Business
  • ประหยัดค่าใช้จ่าย: เครื่องมือฟรี ช่วยให้ธุรกิจประหยัดค่าโฆษณา
  • ช่วยเพิ่มยอดขายและขยายโอกาสทางธุรกิจ: เข้าถึงลูกค้าใหม่ เพิ่มโอกาสในการขาย และยังช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตให้ธุรกิจได้

เทคนิคสร้าง Google Business Profile ให้ดึงดูดผู้ใช้งานบนหน้า Google

การมี Google Business Profile ที่โดดเด่นและดึงดูดสายตาผู้ใช้งานสามารถเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณถูกค้นหาและตัดสินใจเลือกใช้บริการได้ง่ายขึ้น นี่คือเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้โปรไฟล์ของคุณเป็นที่น่าสนใจและเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายได้ มาดูกันว่าจะมีเทคนิคอะไรที่สำคัญบ้าง

  • ใส่ข้อมูลธุรกิจให้ครบถ้วนและถูกต้อง : ผู้ใช้งานมักตัดสินใจจากข้อมูลที่ครบถ้วน โดยข้อมูลที่คุณต้องมี เช่น เวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจน, เบอร์โทรศัพท์และเว็บไซต์ (ถ้ามี) ฯลฯ
  • ใช้รูปภาพคุณภาพสูงที่ดึงดูดสายตา : รูปภาพช่วยสร้างความประทับใจแรกได้ดีที่สุด ดังนั้นควรอัปโหลดภาพดังนี้ ภาพหน้าร้าน, ภาพสินค้าและบริการ, ภาพทีมงานหรือบรรยากาศในร้าน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • เขียนคำอธิบายธุรกิจให้โดดเด่น (Business Description) : บอกเล่าจุดเด่นของธุรกิจ เช่น บริการที่เชี่ยวชาญ ความแตกต่างจากคู่แข่ง หรือประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับ
  • เก็บและแสดงรีวิวจากลูกค้า : เพราะใน Google Business การมีรีวิวจำนวนมากและคะแนนดีช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ พยายามให้ลูกค้าของธุรกิจของคุณช่วยรีวิวประสบการณ์หลังใช้บริการ และอย่าลืมตอบกลับรีวิวทั้งเชิงบวกและเชิงลบอย่างมืออาชีพ
  • ใส่ Main Keywords ลงในโปรไฟล์ : ใส่ Keyword ที่ลูกค้ามักค้นหา เช่น “ร้านอาหารไทยในเชียงใหม่” หรือ “ช่างซ่อมไฟด่วน” ลงใน Description ของ Google Business Profile จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ร้านของคุณปรากฏขึ้น ในกรณีที่ Users มีการค้นหาใน Google และเปิด Location อยู่ในบริเวณใกล้กับร้านของคุณ

Google My Business คือสิ่งสำคัญที่ร้านค้าต้องทำถ้าอยากเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น

สรุปแล้ว Google My Business (GMB) นั้นถ้าจะบอกว่าเป็นอีกเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้ก็คงไม่ผิดอะไรเลย อีกทั้งการเริ่มทำ Google My Business ตั้งแต่วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการทำ SEO ให้กับธุรกิจของคุณ ที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้ธุรกิจได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยดึงดูดลูกค้า เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างความสำเร็จบนโลกออนไลน์ให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้ แต่สำหรับคนที่อยากผลักดันอันดับเว็บไซต์ก็อาจจะพิจารณาการจ้างบริษัทรับทำ SEO เพิ่มเติมภายหยลัง

ผู้เขียน

Picture of NerdOptimize Team
NerdOptimize Team
Tag:

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

seo-tools

7 SEO Tools ที่จะเข้ามาช่วยให้การทำ SEO ของคุณประสบความสำเร็จ พร้อมสอนวิธีใช้

SEO Tools คือ ตัวช่วยสำคัญของธุรกิจหรือแบรนด์ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO Content มากยิ่งขึ้น ทั้ง On-page และ Off-page ไม่ว่าจะเป็นทั้งการค้นหาไอเดีย Keyword, การวางแผนทำ

อ่านบทความ ➝
สถิติที่น่าสนใจในการทำ SEO

รวม 78 SEO Statistics ที่น่าสนใจสำหรับปี 2023 ที่คนทำ SEO ต้องรู้!

รวมสถิติ SEO ที่น่าสนใจทั้งหมด 78 เรื่อง เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับปี 2023 มีทั้งเรื่อง Ranking Backlink Keyword ฯลฯ มาอัปเดตไปพร้อมๆ กันเลย

อ่านบทความ ➝
คอนเทนต์ คืออะไร ดูตัวอย่างการทำคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย

คอนเทนต์ คืออะไร ดูตัวอย่างการทำคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย

หัวใจของการทำการตลาดออนไลน์คือ คอนเทนต์ แต่คอนเทนต์คืออะไร มีกี่ประเภท จะทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์คนอ่านและธุรกิจอย่างไร ดูตัวอย่างและเทคนิคการทำที่นี่

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top