ทุกวันนี้คนเรานิยมใช้ช่องทาง Social Media ในการเสพสื่อ การทำ Social Media Marketing จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ทุกแบรนด์ต้องใช้อย่างมีกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสาย E-Commerce, สร้างแบรนด์, หรือขยายฐานลูกค้า ถ้าใช้โซเชียลเพื่อปั้นแบรนด์ไม่เป็น ก็เหมือนพลาดโอกาสทองไปครึ่งหนึ่ง
เพราะ Social Media Marketing หมายถึง การทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มโซเชียล เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในจังหวะที่พวกเขากำลังใช้งานจริง แต่ถึงแม้จะเป็นช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป ควรเรียนรู้ว่าข้อดีและข้อเสียของ Social Media Marketing มีอะไรบ้าง? ที่นักการตลาดต้องระวัง และต้องลงมือทำอย่างไรถึงจะปัง บทความนี้เรามีคำตอบมาฝากกันแบบละเอียด!
Social Media Marketing คืออะไร?
Social Media Marketing คือ การทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์ม Social Media เช่น Facebook, Instagram, TikTok, YouTube, X (Twitter) ฯลฯ โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้าง Brand Awareness หรือ การสร้างการรับรู้แบรนด์ , สร้าง Engagement คือ กระตุ้นการมีส่วนร่วม, และผลักดันให้เกิดการซื้อหรือสมัครใช้งานในที่สุด
หากมองในมุมของ 4P (Product, Price, Place, Promotion) เราสามารถวาง Social Media Marketing
ให้ตรงกับกลยุทธ์การทำการตลาดของแบรนด์ได้ เช่น
- Product: ใช้โซเชียลนำเสนอจุดเด่นของสินค้าหรือบริการ
- Price: ใช้แจ้งโปรโมชันหรือข้อเสนอพิเศษแบบ Real-Time
- Place: เข้าถึงลูกค้าในจุดที่พวกเขาใช้เวลาด้วยทุกวันบนโซเชียลมีเดีย
- Promotion: ทำแคมเปญให้เกิดการแชร์ กระตุ้นยอดขาย และเพิ่ม Conversion
อย่างไรก็ตาม การทำ Social Media Marketing ให้ได้ผลจริง ต้องวางแผนแบบมีโครงสร้าง เช่น การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย, การเลือกแพลตฟอร์มให้ตรงกับ Customer Journey ไปจนถึงการวัดผลด้วย Data ที่มีประสิทธิภาพ
ช่องทางการทำ Social Media Marketing ที่น่าสนใจ มีอะไรบ้าง?
สำหรับใครที่สงสัยว่า Social Media มีอะไรบ้าง ที่เหมาะสำหรับการทำ Social Media Marketing คำตอบคือ มีมากมายหลายแพลตฟอร์ม และแบรนด์ควรที่จะเลือกใช้ให้เหมาะสมด้วย ยกตัวอย่างเช่น
- Facebook: เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก มีจุดแข็งคือระบบโฆษณาที่แม่นยำและฟีเจอร์ Community เช่น กลุ่ม (Group) และเพจ จึงควรทำทั้ง Content Marketing และ Direct Response ให้กับแบรนด์
- Instagram: เหมาะกับสาย Lifestyle, แฟชั่น, ความงาม หรือแบรนด์ที่ขายสินค้าด้วยภาพลักษณ์ จุดเด่นคือ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบภาพสวย วิดีโอสั้น (Reels) และ Story ที่กระตุ้น Engagement ได้ดี รวมถึงเหมาะกับการทำ Influencer Marketing ได้ดี
- TikTok: แพลตฟอร์มมาแรงที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ จุดแข็งคือ ทำคอนเทนต์ไวรัลง่าย ด้วยการใช้เสียงและภาพเคลื่อนไหวช่วยเล่าเรื่อง เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการ Engagement แบบรวดเร็ว
- YouTube: เหมาะสำหรับแบรนด์ที่เน้นคอนเทนต์แบบ Long-form Video และการสร้าง Brand Authority ด้วยคอนเทนต์แนวให้ข้อมูลเชิงลึก รีวิว หรือ How-to กลุ่มที่ธุรกิจที่เหมาะจะใช้ช่องทางนี้ เช่น สินค้า High Consideration, ธุรกิจสาย B2B คือ Business-to-Business เป็นต้น
- X: เหมาะกับแบรนด์ที่เน้นการสื่อสารแบบรวดเร็ว กระชับ และใช้ข่าว หรือกระแสที่ทำให้เกิด Engagement แบรนด์สาย Tech, ข่าว หรือแบรนด์ที่อยากทำกระแสด้วย Hashtag มักจะใช้ช่องทางนี้ในการสื่อสารอยู่บ่อยครั้ง
- LINE: เป็นช่องทางที่แบรนด์ไทยขาดไม่ได้ โดยเฉพาะด้านการทำ CRM และ Chat Commerce เหมาะกับการปิดการขายหรือสร้าง Loyalty Program ด้วยการส่ง Broadcast, ใช้ LINE OA และ Mini App ในการสื่อสาร
- LinkedIn: เหมาะกับสาย B2B, บริการที่เน้นความเป็นมืออาชีพ หรือบริษัทที่ต้องการสร้าง Thought Leadership เพราะกลุ่มคนที่ใช้มักเป็นเป้าหมายคุณภาพสูง เช่น ผู้บริหาร, HR, Tech Lead ฯลฯ การทำคอนเทนต์เชิงอินไซต์, Case Study และบทความเชิงกลยุทธ์มักทำให้เกิด Engagement ได้ดี
- Blogdit: เป็นแพลตฟอร์มคอนเทนต์เชิงความรู้ที่กำลังเติบโตในไทย จุดแข็งคือผู้อ่านเน้นคุณภาพ สนใจข้อมูลลึก ไม่เน้นการเสพความบันเทิง แบรนด์ที่ต้องการสื่อสารแบบ Thought Leadership หรือ Business Insight สามารถใช้ช่องทางนี้ในการสร้าง Brand Awareness ได้
- Pantip: Community ยอดนิยมของไทย ซึ่งเป็นช่องทางที่เหมาะสำหรับการเก็บฟีดแบ็ก การเขียนรีวิว และสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว
Social Media Marketing กับ Digital Marketing ต่างกันยังไง?
หลายคนยังสับสนว่า Digital Marketing กับ Social Media Marketing ต่างกันอย่างไร เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว Social Media Marketing เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Digital Marketing เท่านั้น
อธิบายให้เข้าใจมากขึ้นให้ลองนึกภาพว่า Digital Marketing คือ ภาพใหญ่ของการทำตลาดออนไลน์ที่รวมทุกเครื่องมือดิจิทัลไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น…
- Social Media Marketing (การตลาดผ่านแพลตฟอร์มโซเชียล)
- Email Marketing (การส่งอีเมลหาลูกค้าอย่างเป็นระบบ)
- SEO / SEM (ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google)
- Content Marketing, Display Ads, Affiliate Marketing และอื่นๆ
ในขณะที่ Social Media Marketing จะโฟกัสเฉพาะการใช้ Facebook, Instagram, TikTok, X และแพลตฟอร์มโซเชียลอื่นๆ เพื่อสร้างการรับรู้, สร้าง Engagement และผลักดันให้เกิด Conversion ผ่านคอนเทนต์ที่เหมาะกับแต่ละช่องทาง
ข้อดี vs ข้อควรระวังในการทำ Social Media Marketing ที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง?
เมื่อพูดถึง Social Media Marketing ข้อดี ข้อเสีย คือสิ่งที่นักการตลาดต้องรู้ เพราะถึงแม้แพลตฟอร์มโซเชียลจะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย แต่หากใช้ไม่ถูกวิธี ก็อาจกลายเป็นช่องทางที่ทำให้แบรนด์เสียภาพลักษณ์ หรือเสียต้นทุนไปโดยไม่รู้ตัว และนี่คือข้อดี-ข้อระวังที่ควรรู้!
ข้อดีของการทำ Social Media Marketing
การวางกลยุทธ์ Social Media Marketing อย่างถูกต้อง สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เร็ว เพราะถ้าแบรนด์โพสต์คอนเทนต์ที่ดี เลือกใช้แฮชแท็กที่ใช่ ก็สามารถสร้างการเข้าถึงได้ทันที
- สนับสนุนกลยุทธ์ SWOT ในการทำแบรนด์ผ่านช่องทางโซเชียลฯ เช่น ใช้จุดแข็ง (Strength) ด้านความคิดสร้างสรรค์ดึงความสนใจ หรือใช้โอกาส (Opportunity) จากกระแสสังคเพื่อสร้าง Engagement เพิ่มได้
- เหมาะกับการทำงานร่วมกับ Content Creator และ KOL คือ Key Opinion Leader ที่เป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลและเป็นกระบอกเสียงให้กับแบรนด์ได้ดี
- สามารถวัดผลและปรับแคมเปญได้แบบ Real-time โดยไม่ต้องรอสิ้นเดือนถึงรู้ว่าแคมเปญเวิร์กหรือไม่
- สร้างภาพจำของแบรนด์ได้ผ่านความต่อเนื่องของคอนเทนต์ เช่น การทำซีรีส์คอนเทนต์, การเล่าแบรนด์ผ่าน Story, การยิง Ads ตาม Funnel เป็นต้น
ข้อควรระวังในการทำ Social Media Marketing
แม้โซเชียลมีเดียจะเปิดโอกาสให้กับแบรนด์ แต่ก็มีกับดักที่นักการตลาดต้องไม่มองข้าม ยกตัวอย่างเช่น
- อัลกอริธึมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้การเข้าถึงแบบ Organic ลดลง ต้องเตรียมงบโฆษณาไว้เสมอ
- คอนเทนต์ต้องสม่ำเสมอ ไม่งั้นคนลืมง่าย ถ้าหยุดโพสต์นานไป แบรนด์อาจถูกมองว่าไม่มีตัวตน
- มีความเสี่ยงด้านกระแสดราม่า หรือ Feedback เชิงลบแบบสาธารณะ ซึ่งถ้าแบรนด์ไม่พร้อมรับมือทันที อาจสร้างผลเสียต่อแบรนด์ระยะยาว
- มักวัดผลผิดจุด เช่น เน้นยอดไลก์มากกว่ายอดขาย ทำให้แคมเปญดูดีแค่ตัวเลข แต่ไม่ส่งผลต่อธุรกิจจริง
- เลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ผิดคน อาจทำให้เกิดกระแสแอนตี้ ส่งผลให้แคมเปญไม่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นประเด็นดราม่า หรือลูกค้าสับสนได้
6 ขั้นตอน ทำ Social Media Marketing ยังไง ให้ประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใหญ่ที่มี Social Media Marketing Agency ดูแล หรือธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มบริหารแคมเปญด้วยตัวเอง การทำ Social Media Marketing ให้ได้ผลจริงต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจน และทำอย่างมีเป้าหมายในทุกเฟสของแคมเปญ และนี่คือ 6 ขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณเริ่มต้นทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียได้ดีขึ้น
เริ่มต้นด้วยเป้าหมายในการทำ Social Media Marketing ที่ชัดเจน
อย่าทำคอนเทนต์โพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียโดยไม่มีเป้าหมาย คุณควรที่จะรู้ว่าการทำ Social Media Marketing คุณต้องการผลลัพธ์อะไร เช่น ต้องการเพิ่ม Brand Awareness, ต้องการให้คน Engage กับโพสต์, ต้องการให้คน แชร์, คอมเมนต์ หรือซื้อทันที เป็นต้น
และหนึ่งใน Framework ที่นิยมใช้มากที่สุดคือการตั้ง SMART Goal ซึ่งช่วยให้การตั้งเป้าหมายชัดเจนและวัดผลได้จริง โดย SMART Goal จะประกอบด้วย…
- S – Specific ระบุให้ชัดว่าจะทำอะไร เช่น ต้องการเพิ่มผู้ติดตามใน IG
- M – Measurable ต้องเป็นเป้าที่วัดผลได้ด้วยตัวเลข เช่น เพิ่ม 2,000 Followers
- A – Achievable เป็นเป้าหมายที่ทำได้จริง เช่น การทำให้ยอดฟอลฯ เพิ่มด้วยแผน Content
- R – Relevant สอดคล้องกับธุรกิจ เช่น ทำไปเพื่อโปรโมตสินค้าใหม่
- T – Time-bound มีกรอบระยะเวลาชัดเจน เช่น เริ่มแคมเปญสิงหาคม–กันยายน
ตัวอย่างการเขียน SMART Goal เช่น เพิ่มผู้ติดตามใน Instagram 2,000 คน เพื่อสร้างฐานลูกค้าสำหรับสินค้าใหม่ในไตรมาสหน้า (ภายใน 60 วัน เดือนสิงหาคม–กันยายน)
ทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมาย (รู้ใจลูกค้า = ขายได้ตรงจุด)
หนึ่งในสิ่งที่เราควรทำก่อนลงมือวางแผนทำ Social Media Marketing คือการเจาะลึก Insight ของลูกค้า เพื่อเข้าใจว่าใครคือคนที่คุณจะต้องสื่อสารด้วยจริงๆ เป็นใคร โดยอาจจะใช้กลยุทธ์ Persona และ 7P Marketing Mix เพื่อเลือกช่องทาง (Place) และกลยุทธ์ (Promotion) ให้เหมาะกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น
กลุ่มเป้าหมายมี Persona เป็น Gen Z สายครีเอทีฟ ขี้เบื่อ และชอบความไว
- Platform ที่เหมาะ: TikTok, Instagram, YouTube Shorts
- พฤติกรรม: เสพวิดีโอสั้น, ชอบคอนเทนต์สนุก ขำ ตัดต่อดี หรือแฝงสาระใน 60 วินาที
- P ที่เกี่ยวข้อง คือ
- Product: ต้องมี Visual เด่นตั้งแต่ 3 วินาทีแรก
- Promotion: ใช้ KOL, Meme, Challenge และแฮชแท็กมาแรง
- Place: Short Video Platform
- คอนเทนต์ที่เหมาะสม เช่น Edutainment, How-to สั้น, Behind the scenes เป็นต้น
วิเคราะห์คู่แข่ง
การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นการเรียนรู้ว่าตลาดกำลังเล่นเกมแบบไหน และเราจะลงสนามยังไงให้แตกต่างและชนะ ซึ่งสิ่งที่ต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับการทำ Social Media Marketing ของคู่แข่งนั้นก็มีหลากหลายด้าน เช่น
- คอนเทนต์แบบไหนที่เขาใช้
- ช่องทางไหนที่เขาเน้นใช้งานบ้าง
- รูปแบบแคมเปญที่ใช้ เช่น ใช้ KOL หรือเปล่า เป็นต้น
- Engagement เป็นยังไง
- จุดแข็ง-จุดอ่อนของเขาคืออะไร
โดยเราสามารถหาข้อมูลของคู่แข่งได้จากหลายวิธี เช่น วิเคราะห์จากหน้า Social Media ของคู่แข่งโดยตรง, การใช้ Social Listening, การสมัครรับ Newsletter หรือ Add LINE คู่แข่ง เป็นต้น
เลือกกลยุทธ์ที่ใช่ ในการทำ Social Media Marketing
กลยุทธ์ Social Media Marketing ที่ดี คือ การวางแผนโดยอิงจากพฤติกรรมผู้ใช้จริง ผสานกับเทรนด์ปัจจุบันที่เปลี่ยนเร็ว และอย่างที่เราบอกการทำความรู้จักพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายด้วยการทำ Persona เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ ขั้นต่อมาคือการผสมผสานเทรนด์ใหม่ให้กลยุทธ์ไม่ตกยุค เช่น รู้จักการทำคอนเทนต์หรือยิงแอดแบบ Hyper-Personalization, การรู้จักใช้ Micro-influencer & KOL เฉพาะทาง เป็นต้น ซึ่งเป็นเทรนด์ของการทำ Social Media Marketing ที่เกิดขึ้นเร็วและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ยังควรที่จะวางกลยุทธ์การใช้ Social Media ในทุก Marketing Funnel และครอบคลุมทุกช่วงของการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ไม่ว่าจะเป็น…
- TOFU (Top of Funnel): Awareness (สร้างการรู้จัก) เช่น ทำวิดีโอ TikTok แนวปัญหาที่คนไม่รู้ว่าตัวเองเจอ, ทำแคมเปญไวรัล (เกม IG Filter, Challenge, Meme กระแส) เป็นต้น
- MOFU (Middle): Consideration (ให้ข้อมูล เปรียบเทียบ) เช่น ทำ How-to หรือรีวิวสินค้าของตัวเองหรือจาก KOL, LIVE รีวิวสินค้าพร้อมตอบคำถามสด เป็นต้น
- BOFU (Bottom): Conversion (กระตุ้นให้ซื้อ สมัคร ติดต่อ) เช่น Retargeting Ads บน Facebook หรือ Instagram, มี Testimonials จากลูกค้าจริง (ภาพ/วิดีโอ/รีวิวแบบสั้น) เป็นต้น
มองหา Tools ดี ๆ ที่จะทำให้การเก็บข้อมูลง่ายขึ้น
เราจะแบ่ง Social Media Marketing Tools ออกเป็น 3 ประเภทหลักที่นักการตลาดนิยมใช้กัน ได้แก่
- Analytics Tools เป็นเครื่องมือใช้วัดผลลัพธ์แคมเปญ, วิเคราะห์ Engagement, วิเคราะห์ ROAS หรือดู Performance รายโพสต์หรือรายช่องทางได้ ตัวอย่าง Analytics Tools ที่น่าสนใจ เช่น Google Analytics, Sprout Social เป็นต้น
- Listening Tools เป็นเครื่องมือฟังเสียงผู้บริโภคว่าคนกำลังพูดถึงแบรนด์ คู่แข่ง หรือหัวข้อใดอะไรบ้างที่เกี่ยวกับแบรนด์ ตัวอย่าง Listening Tools ที่น่าสนใจ เช่น Zocial Eye, Brand24, Mandala AI เป็นต้น
- Management Tools เป็นเครื่องมือจัดการโพสต์และแคมเปญ ใช้เพื่อวางแผนโพสต์ล่วงหน้า, จัดการหลายเพจพร้อมกัน หรือรวมข้อความจากลูกค้าไว้ที่เดียว ตัวอย่าง Management Tools ที่น่าสนใจ เช่น Meta Business Suite, Hootsuite, Salesforce คือ CRM ที่มีโมดูลสำหรับทำ Social Management เป็นต้น
วัดผล วิเคราะห์ และปรับ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม
แคมเปญที่ดีต้องไม่จบที่การโพสต์ แต่ต้องดูผลลัพธ์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น คุณจึงควรดูว่าโพสต์ไหนได้ผลดี แล้วทำซ้ำหรือขยายต่อ โดยอาจจะวิเคราะห์ว่าโฆษณาตัวไหนคุ้มค่าที่สุดจาก ROAS คือ Return on Ad Spend ที่เป็นตัวชี้วัดที่บอกว่าคุณได้เงินกลับมากี่บาทจากการยิงแอด 1 บาท, ดู CTR (Click-Through Rate) โดยดูว่า อัตราส่วนของคนที่คลิกต่อจำนวนที่เห็นโพสต์หรือโฆษณาเป็นเท่าไหร่ เป็นต้น
สรุป Social Media Marketing สำคัญแค่ไหน?
อ่านมาถึงตรงนี้คงรู้แล้วว่า Social Media Marketing มีอะไรบ้าง และคงจะเข้าใจกันดีว่า ไม่ใช่ว่าทุกแบรนด์ต้องอยู่บนทุกช่องทาง เพราะหัวใจของ Social Media Marketing ที่ดีคือ การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย แล้วลงลึกกับกลยุทธ์ให้ถูกจังหวะมากกว่าการพยายามสื่อสารให้ครบทุกช่องทาง แต่กลับไปไม่ถึงใจของผู้บริโภค เพราะแบรนด์ที่เข้าใจและวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ด้วยเทคนิคเหล่านี้ คือแบรนด์ที่สามารถสร้างยอดขาย สร้าง Brand Loyalty และวัดผลทางธุรกิจได้จริงบนโซเชียลได้อย่างยั่งยืน
อยากให้ Social Media ทำยอดขายได้จริง? เริ่มจากรากฐานให้แข็งแรงก่อน!
จากประสบการณ์ของเรา NerdOptimize ที่เป็นบริษัทรับทำ SEO และเชี่ยวชาญด้านการทำ Digital Marketing เราพบว่าหลายแบรนด์ทำโซเชียลได้ดีแต่กลับไม่โต เพราะไม่มีรากฐานใน 2 เรื่องสำคัญนี้ คือ
- SEO ที่วางโครงสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ถ้า Social Media คือการจุดพลุที่ทำให้แคมเปญไวรัล การทำ SEO คือ การทำให้แบรนด์ติดตลาดในระยะยาว เราจึงรับทำ SEO ซึ่งเป็นช่องทางการทำการตลาดที่ช่วยส่งเสริมให้การทำ Social Media Marketing แข็งแรงขึ้น ทั้งในแง่ Branding และ Traffic ที่จะกลายเป็น First Party Data ที่สำคัญสำหรับแบรนด์
- การทำ CRO (Conversion Rate Optimization) ที่เปลี่ยนคนดูให้กลายเป็นลูกค้า
เราช่วยคุณปรับ UX/UI, เขียนข้อความ, และสร้างหน้า Landing Page ด้วยการรับทำ CRO ที่ช่วยให้การทำเว็บไซต์สามารถเปลี่ยนกลุ่มคนที่เข้ามาหาจากช่องทาง Social Media หรือช่องทางอื่นๆ และเข้ามายังเว็บไซต์ ให้กลายเป็นยอดขายจากการสร้าง Customer Journey ที่มีประสิทธิภาพ
หากคุณต้องการทีมที่เข้าใจทั้งกลยุทธ์ Social, SEO และ Conversion ทีม NerdOptimize พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่วางรากฐานธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างยั่งยืน ดูรายละเอียดเกี่ยวกับบริการของเราได้เลย!










