ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดด การยิงโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่แทบทุกแบรนด์ต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการทำผ่าน Google Ads, Facebook Ads หรือช่องทางอื่นๆ แต่ปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญคือ จะรู้ได้ยังไงว่าเงินที่ลงทุนไป คุ้มค่าหรือไม่?
นั่นคือจุดที่ตัวชี้วัดอย่าง ROAS คือ เครื่องมือสำคัญที่เข้ามาเป็น Key Metric ที่นักการตลาดมืออาชีพนำไปใช้ในการประเมินผลตอบแทนจากการลงโฆษณาได้ แต่ ROAS คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และจะใช้เพื่อวางแผนการตลาดให้แม่นยำขึ้นได้อย่างไร มาหาคำตอบจากบทความนี้ที่ NerdOptimize รวบรวมองค์ความรู้มาให้ได้เลย
ROAS คืออะไร?
ROAS (Return on Advertising Spend) คือ ตัวชี้วัดที่ใช้วัดประสิทธิภาพของโฆษณาโดยเปรียบเทียบรายได้ที่เกิดขึ้นจากแคมเปญกับงบประมาณที่ใช้ไป โดย ROAS จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า เงินที่จ่ายเพื่อโฆษณาไปนั้น สร้างรายได้กลับมาให้คุ้มค่าหรือไม่?
ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น คุณเปิดร้านขายเค้กออนไลน์ และคุณตัดสินใจลงโฆษณาบน Facebook ด้วยงบ 3,000 บาท ภายใน 1 สัปดาห์คุณได้ออเดอร์รวม 12,000 บาทจากลูกค้าใหม่ ROAS ในที่นี้คือ 12,000 ÷ 3,000 = 4 เท่า หมายความว่าทุก 1 บาทที่คุณจ่ายไป ได้ยอดขายกลับมา 4 บาท เป็นต้น
ROAS สำคัญอย่างไร ใช้วัดผลอะไรได้บ้าง?
ROAS นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ทั้งนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุนว่าจะเพิ่มหรือลดงบโฆษณาอย่างไรให้คุ้มที่สุด จึงมักเป็นตัวเลขที่ต้องคำนวณให้ได้ หากต้องการทำให้กลยุทธ์การตลาดแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งที่สามารถใช้วัดด้วย ROAS มีอะไรบ้างนั้น ลองดูสรุปตัวอย่างของผลลัพธ์ที่สามารถวิเคราะห์และวัดผลได้ ดังนี้
วัดผลตอบแทนจากงบโฆษณา
ROAS คือวิธีการวัดว่าเงินทุกบาทที่ใช้ไปและได้รายได้กลับมาเท่าไหร่ เช่น หากคุณลงทุน 10,000 บาท แล้วได้ยอดขาย 50,000 บาท นั่นเท่ากับ ROAS = 5 เท่า หมายความว่าได้รับรายได้กลับมาถึง 500% ของงบโฆษณา ดังนั้น นี่จึงเป็น Metric ที่ใช้ในการวัดผลลัพธ์ที่ได้จากงบโฆษณาที่ทำการลงทุนไปนั่นเอง
ปรับงบโฆษณาให้เหมาะสม
เมื่อคุณรู้ว่าแคมเปญไหนได้ ROAS สูง เช่น Google Ads ได้ ROAS 9 เท่า แต่ TikTok Ads ได้แค่ 3 เท่า คุณสามารถทำการ Optimize Campaign เพิ่มได้ไม่ว่าจะเป็นการปรับงบประมาณในการยิงแอดไปยังช่องทางที่ได้ผลดีกว่าในทันที ซึ่งช่วยลดโอกาสการสูญเสียงบประมาณในการทำโฆษณาไปโดยไม่จำเป็น
วัดประสิทธิภาพของช่องทางการตลาด
ROAS ช่วยให้เปรียบเทียบประสิทธิภาพของการทำการตลาดในแต่ละแพลตฟอร์มได้อย่างเป็นรูปธรรม ในมุมของผลตอบแทนจากรายได้ เช่น Email Marketing ที่ทำได้ ROAS สูงถึง 30เท่า หรือ Organic Search ที่ทำได้มี ROAS สูง 15 เท่า สะท้อนให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โฆษณาเท่านั้นที่สร้างผลตอบแทนได้ดี ก็จะช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ของการทำการตลาดในช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติมได้อย่างแม่นยำขึ้นด้วย
ใช้ในการวางกลยุทธ์การตลาดแบบ Omnichannel
เพราะยุคนี้ผู้บริโภคเข้าถึงแบรนด์ได้จากหลากหลายช่องทาง ทำให้หลายธุรกิจเริ่มต้นหันมาทำการตลาดในรูปแบบ Omnichannel Marketing หรือการรวบรวมว่า ลูกค้าหนึ่งคนนั้นติดต่อกับธุรกิจ ทักมาสอบถาม หรือซื้อสินค้าในช่องทางไหนบ้าง แล้วรวบรวมมาไว้ในระบบที่นักการตลาดสามารถใช้วิเคราะห์หา Customer Journey ได้ในระบบเดียว วิธีนี้เรียกว่า Blended ROAS ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยผลตอบแทนจากหลายช่องทางรวมกัน
ดังนั้น การคำนวณหา ROAS แบบข้ามแพลตฟอร์มก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถเข้าใจภาพรวมของทั้งแคมเปญ วางแผนการสื่อสารที่ต่อเนื่องระหว่างช่องทาง และลดค่าใช้จ่ายรวมของทั้งระบบ
วัดประสิทธิภาพของหน้าเว็บไซต์เพื่อปรับ UX/UIใหม่
หากค่า ROAS ต่ำทั้งที่ยิงแอดแม่น อาจเป็นไปได้ว่าหน้าเว็บไซต์ทำให้มี Conversion Rate ต่ำ การวัด ROAS จึงช่วยชี้ให้เห็นว่าอาจต้องกลับมาออกแบบเว็บไซต์ใหม่ เพื่อทำให้เกิด Conversion Rate ได้สูงขึ้น ลดโอกาสเกิด Bounce Rate ได้ ซึ่งวิธีการก็ทำได้หลายอย่าง เช่น ปรับ Journey บนเว็บไซต์ใหม่, ปรับ UX/UI, ปรับคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับ Keyword ที่นำไปทำโฆษณา เป็นต้น
สูตรการคำนวณ ROAS คืออะไร?
หลายคนอาจเคยได้ยินว่า ROAS คือค่าที่บอกว่าโฆษณาของเราคุ้มค่าหรือไม่ แต่คำถามต่อมาคือ ROAS คิดยังไง? มาดูวิธีการคำนวณ ROAS สูตรพื้นฐานและตัวอย่างได้เลยดังต่อไปนี้
ตัวอย่างเช่น สมมติคุณลงทุนโฆษณาบน Facebook เป็นเงิน 8,000 บาท และได้ยอดขายกลับมา 40,000 บาท
ROAS = 40,000 (Revenue from ads) ÷ 8,000 (Ads spend) = 5
นั่นหมายความว่า ทุก 1 บาทที่คุณใช้ไปในโฆษณา คุณได้รายได้กลับมา 5 บาท หรือคิดเป็น 500% ของต้นทุนแคมเปญ
ดังนั้น การวัดค่า ROAS ไม่ได้มีไว้แค่ดูตัวเลขสวยๆ แต่ใช้เพื่อปรับกลยุทธ์ให้แม่นยำ เช่น หากแคมเปญใดได้ ROAS ต่ำ อาจต้องปรับข้อความโฆษณา, กลุ่มเป้าหมาย หรือแม้แต่ Keyword ที่ใช้ยิงแอดให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเลือก Longtail Keyword ที่มีเจตนาซื้อสูง จะช่วยเพิ่ม ROAS ได้มากยิ่งขึ้น เป็นต้น
ROAS, ROI, ROSS ต่างกันอย่างไร
สำหรับนักการตลาดสาย Paid advertising (Performance marketing) คงจะเคยได้ยินคำว่า ROAS และ ROI กันมาไม่มากก็น้อย แต่อาจจะไม่รู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร รวมถึงใครที่เริ่มต้นทำ SEO คือ Search Engine Optimization อาจจะอยากรู้ด้วยว่าจะวัดผลลัพธ์การทำ SEO ได้อย่างไรบ้าง
หัวข้อนี้ NerdOptimize จึงจะมาสรุปถึงความแตกต่างของ ROAS VS ROI ให้ได้ทราบ และบอกวิธีการวัดผลการทำ SEO หรือที่เรียกว่า ROSS ให้ได้ลองนำไปใช้ในการคำนวณผลลัพธ์ทางการตลาดกัน
เปรียบเทียบระหว่าง ROAS และ ROI
ROAS (Return on Advertising Spend) | ROI (Return on Investment) |
เน้นวัดผลตอบแทนจากงบโฆษณาโดยตรง | เน้นวัดกำไรสุทธิจากการลงทุนโดยรวม |
ใช้คำนวณจากรายได้ที่ได้จากโฆษณาเทียบกับค่าใช้จ่ายโฆษณาเท่านั้น | รวมทั้งค่าใช้จ่ายโดยตรงและค่าใช้จ่ายทางอ้อม เช่น ค่าโสหุ้ย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน |
เหมาะกับการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญแบบ Performance Marketing | ใช้กับภาพรวมธุรกิจหรือการลงทุนที่ซับซ้อนมากกว่าแค่โฆษณา |
ไม่รวมต้นทุนอื่นๆ เช่น ค่าพนักงาน หรือค่าใช้จ่ายดำเนินการ | ไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าแคมเปญโฆษณาให้ผลคุ้มค่าหรือไม่ |
สูตรการคำนวณ ROAS = รายได้จากโฆษณา / ค่าใช้จ่ายโฆษณา | สูตรการคำนวณ ROI = (กำไรสุทธิ / เงินลงทุนทั้งหมด) x 100 |
ตัวอย่าง สมมติคุณใช้เงินโฆษณา 10,000 บาท และสร้างรายได้จากโฆษณาได้ 50,000 บาท ROAS = 50,000 ÷ 10,000 = 5 | ตัวอย่าง ลงทุนทำเว็บไซต์และโฆษณา 50,000 บาท ได้ยอดขายรวม 90,000 บาท และกำไรสุทธิหลังหักต้นทุนทั้งหมดอยู่ที่ 20,000 บาท ROI = (20,000 ÷ 50,000) x 100 = 40% |
ROSS คืออะไร?
มาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งตัวชี้วัดอย่าง ROSS คือ Return on SEO Spend เป็นแนวคิดของทาง NerdOptimize ที่เราใช้วัดผลตอบแทนจากการลงทุนใน SEO เช่น จำนวน Traffic ที่เกิดขึ้นจริงจาก Organic Search เทียบกับต้นทุนที่ใช้ไป เช่น การจ้างนักเขียน SEO, ค่าทำ Backlink, ค่าพัฒนา Content ฯลฯ ROSS จึงเป็น Metric ที่เหมาะกับธุรกิจที่เน้นการเติบโตแบบยั่งยืน และไม่พึ่งพาแต่ค่าแอด โดยเฉพาะในแคมเปญที่ไม่ได้เน้นผลลัพธ์ระยะสั้นเหมือนโฆษณาแบบจ่ายเงิน
โดยใช้สูตรการคำนวณเป็น…
ROSS = (มูลค่าที่ได้จาก SEO ÷ ต้นทุนรวมของการทำ SEO) × 100
ตัวอย่าง: สมมติคุณลงทุนทำ SEO ทั้งหมดเดือนละ 30,000 บาท และได้ยอดขายจาก Organic Search เท่ากับ 150,000 บาท ดังนั้น ROSS = (150,000 ÷ 30,000) × 100 = 500%
ROAS ที่ดี ควรเป็นเท่าไหร่?
คำถามที่นักการตลาดหลายคนมักสงสัยคือ ROAS ควรเป็นเท่าไหร่ ถึงจะเรียกได้ว่าคุ้มค่า?
คำตอบคือ “ไม่มีตัวเลขเดียวที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจ” เพราะค่า ROAS ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งเทคนิคที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ว่า ROAS เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมจะขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและกลยุทธ์ที่ใช้ เช่น
- เทคนิคเทียบ Margin ที่คำนวณกำไรต่อหน่วยสินค้าแล้วตั้งเป้า ROAS ให้ครอบคลุม Margin ที่ต้องการ
- เทคนิคเทียบ CPA (Cost per Acquisition) เป็นการใช้ ROAS ร่วมกับต้นทุนการได้ลูกค้า 1 คน เพื่อตรวจสอบจุดคุ้มทุน
- เทคนิคอิงจาก LTV (Customer Lifetime Value) โดยวาง ROAS เป้าหมายต่ำในช่วงแรก หากลูกค้ามีแนวโน้มซื้อซ้ำหลายครั้งแล้วค่อยเพิ่ม
- เทคนิคอิงจาก Blended ROAS คือ การวัดจากค่าเฉลี่ยรายได้ที่ได้จากช่องทางรวมทั้งหมด เพื่อใช้ประเมินภาพรวมของแคมเปญ
- เทคนิคเทียบกับ Benchmark ในอุตสาหกรรม โดยดูค่า ROAS โดยเฉลี่ยของคู่แข่งหรือในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อตั้งเป้าให้แม่นยำมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในอุตสาหกรรมทั่วไปมักใช้อัตราส่วน 4:1 หรือ ROAS 4 เท่า เป็นเกณฑ์เบื้องต้น นั่นหมายความว่า ทุก 1 บาทที่จ่ายไป ควรได้ยอดขายกลับมาอย่างน้อย 4 บาท เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนสินค้า ต้นทุนการตลาดอื่นๆ และยังมีกำไรคงเหลือกลับมา หลังจากนั้นก็ควรที่จะใช้วิธีการตั้งค่าเป้าหมาย ROAS ที่เหมาะสมกับแต่ละแคมเปญ พร้อมมีแผนเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และปรับให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็จะช่วยให้การวัดผล ROAS ที่เกิดขึ้นตรงกับเป้าหมายของธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น
สรุปให้เข้าใจง่าย ROAS คือตัวชี้วัดที่นักการตลาดต้องรู้
จากเนื้อหาทั้งหมด เราได้เรียนรู้ว่า ROAS คือ หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดสำหรับนักการตลาดยุคดิจิทัล มีสูตรการคำนวณที่ง่ายและชัดเจน (รายได้จากโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา × 100) พร้อมช่วยให้วัดผล, ปรับงบ และวิเคราะห์ช่องทางการตลาดได้อย่างแม่นยำ ส่วนใครที่อยากจะวัดผลด้วย ROAS ควรวิเคราะห์ตามบริบท เช่น Margin, CPA, LTV ฯลฯ มากกว่าการยึดตัวเลขเดียวเป็นหลัก
ส่วนใครที่ต้องการจ้างบริษัทรับทำ SEO ก็ได้รู้แล้วว่า ในการทำ SEO เองก็มีวิธีการวัดผลลัพธ์จากการลงทุนไปด้วยเช่นกัน นั่นคือ การวัด ROSS ซึ่งถ้าคุณไม่แน่ใจว่าธุรกิจทำ ROSS ได้ดีหรือไม่ คิดแบบไหน รวมถึงอยากขยายกลยุทธ์สู่การทำ SEO ในแบบยั่งยืน ทีมรับทำ SEO จาก NerdOptimize พร้อมช่วยออกแบบแผนงานที่วัดผลได้จริง รับรองว่าช่วยให้ทุกธุรกิจมองเห็นความคุ้มค่าจากการทำ Digital Marketing ได้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน