นี่คือยุคที่คนเลือกซื้อสินค้าผ่านมือถือ มากกว่าการเดินออกจากบ้านเพื่อไปจับจ่ายในห้างหรือร้านค้าแบบเดิม ทำให้การทำธุรกิจ E-Commerce กลายเป็นโอกาสทองที่เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ นักการตลาด และนักขายออนไลน์ไม่ควรมองข้าม แต่คำถามสำคัญคือ งาน E-Commerce คืออะไร? ยังเป็นแค่การขายของในช่องทางออนไลน์หรือเปล่า แล้วถ้าเราจะเริ่มต้นอย่างไรให้ธุรกิจเติบโตได้จริงในโลกดิจิทัลที่แข่งขันสูงแบบนี้?
ต้องบอกว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปัจจุบันไม่ได้แค่เปิดร้านออนไลน์ แล้วรอให้ยอดขายเกิดขึ้นเอง แต่ต้องเข้าใจทั้งโมเดลธุรกิจ ช่องทางการขาย พฤติกรรมลูกค้า รวมถึงเทคนิคการตลาดที่ตอบโจทย์แพลตฟอร์มและ AI ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ บทความนี้เราจึงอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ E-Commerce มากขึ้นว่าคืออะไร ควรทำอะไรบ้างให้ธุรกิจไปรอด รวมถึงมีวิธีปรับตัวให้ทันอนาคตอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้จริงในสนามที่ไม่มีใครรอใคร!
E-Commerce คืออะไร?
E-Commerce คือ การซื้อขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกสินค้า ชำระเงิน ไปจนถึงการจัดส่งถึงมือลูกค้า โดยโมเดลธุรกิจของ E-Commerce แบ่งได้หลายประเภท เช่น ธุรกิจ B2B คือ Business to Business, ธุรกิจ B2C คือ Business to Consumer เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันE-Commerce ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำร้านค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ธุรกิจที่ใช้ระบบสมาชิก, subscription, ขายสินค้าดิจิทัล, หรือแม้กระทั่ง live commerce ที่สร้างยอดขายได้แบบเรียลไทม์ได้อีกด้วย
E-Commerce มีกี่ประเภท?
ธุรกิจ E-Commerce ในปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ได้จำกัดแค่การขายของจากร้านค้าถึงผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการทำธุรกรรมระหว่างองค์กร ผู้บริโภค และภาครัฐด้วย เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของโลกอีคอมเมิร์ซมากขึ้น มาลองดู รูปแบบของ E-Commerce ที่พบได้บ่อยสุดกันเลยดีกว่า
- B2C (Business to Consumer) คือ รูปแบบที่ธุรกิจขายสินค้าหรือบริการโดยตรงให้กับผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งเป็นประเภทที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย ตัวอย่างเช่น ร้านค้าออนไลน์บน Shopee หรือ Lazada, meเว็บไซต์ขายสินค้าแฟชั่น อย่างการปั้นแบรนด์เสื้อผ้าขายผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง โดยผู้ซื้อคือบุคคลทั่วไป เป็นต้น
- B2B (Business to Business) คือ การซื้อขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ เช่น ผู้ผลิตขายส่งสินค้าให้ผู้จัดจำหน่าย, ตัวแทน หรือองค์กรอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น บริษัทซอฟต์แวร์ขายระบบ CRM ให้กับองค์กร, ผู้ผลิตวัตถุดิบขายให้โรงงานผลิตสินค้า เป็นต้น
- C2B (Consumer to Business) คือ รูปแบบที่ผู้บริโภคเสนอสินค้าหรือบริการให้กับธุรกิจ เช่น อินฟลูเอนเซอร์เสนอตัวทำรีวิวให้แบรนด์, ฟรีแลนซ์เสนอโปรเจกต์หรือใบเสนอราคาให้บริษัท เป็นต้น
- C2C (Consumer to Consumer) คือ รูปแบบที่ผู้บริโภคขายสินค้าให้กับผู้บริโภคคนอื่นผ่านแพลตฟอร์มกลาง เช่น การขายของมือสองผ่าน Facebook Marketplace, การประมูลสินค้าใน eBay เป็นต้น
- B2G (Business to Government) คือรูปแบบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการหรือจัดจำหน่ายสินค้าให้กับภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล เช่น การประมูลผ่านระบบ e-GP ของไทย ที่ถึงแม้ไม่ใช่ E-Commerce แบบขายปลีก แต่เป็นธุรกรรมออนไลน์ที่อยู่ในภาคธุรกิจและใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์
- C2G (Consumer to Government) คือ ผู้บริโภคส่งเงินหรือข้อมูลให้กับภาครัฐผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น การชำระภาษีผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร, การยื่นคำร้องหรือฟ้องร้องผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้น
- G2B (Government to Business) คือ ภาครัฐให้บริการหรือข้อมูลแก่ภาคธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น ระบบภาษี e-Tax Invoice, เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจที่ให้บริการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ เป็นต้น
- G2C (Government to Consumer) คือ รูปแบบที่รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐให้บริการแก่ประชาชนผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น การลงทะเบียนวัคซีนหรือขอรับเงินเยียวยาผ่านเว็บไซต์รัฐบาล เป็นต้น
แม้ C2G, G2C และ G2B จะไม่ใช่ E-Commerce ในความหมายดั้งเดิม แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Digital Economy และระบบ e-Government ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคในโลกออนไลน์ด้วยเช่นเดียวกัน
ข้อดีของการทำ E-Commerce มีอะไรบ้าง?
การเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คือ เครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้แบบก้าวกระโดด เราลองมาดูกันว่า ข้อดีของการทำ E-Commerce มีอะไรบ้าง
เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการซื้อขายสินค้า ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถขายสินค้าและบริการให้กับลูกค้าในประเทศหรือต่างประเทศได้ทันที อีกทั้งระบบขนส่งและชำระเงินดิจิทัลในปัจจุบันก็สามารถรองรับลูกค้าได้ทุกมุมโลก จึงทำให้เป็นการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้ง่ายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศ ต้องพิจารณาเรื่องภาษา วิธีชำระเงิน การจัดส่ง และการสื่อสารที่ตอบโจทย์แต่ละตลาด เช่นเดียวกับการเลือกใช้แพลตฟอร์มที่รองรับ Global Selling เช่น Amazon, Shopee Global, หรือ eBay ร่วมด้วย
ต้นทุนต่ำกว่าการเปิดหน้าร้าน
การเปิดร้านออฟไลน์ต้องมีค่าเช่า ค่าตกแต่ง ค่าแรง แต่การทำธุรกิจแบบ E-Commerce สามารถเริ่มต้นได้ด้วยต้นทุนต่ำกว่ามาก ซึ่งการขายผ่าน Marketplace หรือสร้างเว็บไซต์เองก็ช่วยให้ควบคุมงบประมาณได้ง่าย และปรับแผนได้เร็วมากขึ้น อีกทั้งการวัดผลด้วย ROAS คือ Return on Ad Spend ที่ช่วยคำนวณว่าเงินโฆษณาที่จ่ายไปได้ยอดขายกลับมาคุ้มไหม ก็ทำให้ทำธุรกิจออนไลน์ได้แม่นยำมากขึ้นอีกด้วย
วัดผลได้ชัดเจนด้วยข้อมูล
ในโลก E-Commerce ทุกการคลิกคือข้อมูล คนทำธุรกิจสามารถรู้ได้ว่า ลูกค้ากดดูสินค้าอะไร, หยุดดูตรงไหน, มาจากช่องทางไหน ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อปรับแผนการตลาดได้อย่างแม่นยำ รวมถึงทำให้การบริหารธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นระบบมากขึ้น และสามารถใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจแบบไม่ต้องเดาเหมือนยุคก่อนๆ
ปรับกลยุทธ์ได้เร็วตามสถานการณ์
การตลาดแบบออนไลน์ช่วยให้คุณทดลองและเปลี่ยนแผนได้ตลอดเวลา ไม่ต้องรอรอบเดือนหรือรื้อระบบใหม่ทั้งหมด เช่น ปรับราคาตามฤดูกาล, เปลี่ยนรูปแบบโปรโมชั่น, ยิง Ads ตามกลุ่มเป้าหมายใหม่ได้ในไม่กี่นาที ฯลฯ และยังสามารถประยุกต์แนวคิด 7P ได้แก่ Product, Price, Place, Promotion, People, Process และ Physical Evidence มาปรับใช้ให้เหมาะกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เลือกใช้งานได้ด้วย
ข้อควรระวังในการทำธุรกิจ E-Commerce มีอะไรบ้าง?
แม้ว่าธุรกิจ E-Commerce จะเปิดโอกาสมากมายให้กับเจ้าของธุรกิจยุคใหม่ในหลายด้าน แต่ก็มีอุปสรรคหรือความเสี่ยงที่ควรระวังไว้ด้วยเช่นกัน ดังนี้
ลูกค้ามองไม่เห็นสินค้าจริง
หนึ่งในข้อเสียหลักของการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์คือ ลูกค้าไม่สามารถสัมผัสหรือทดลองสินค้าได้จริงก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดความลังเล หรือรู้สึกไม่มั่นใจ โดยเฉพาะในหมวดสินค้าที่ต้องใช้ประสบการณ์จริง เช่น เสื้อผ้า, น้ำหอม, เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ที่อาจทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ยาก
ดังนั้น จึงควรทำให้แบรนด์มีภาพถ่ายสินค้าที่ชัดเจน มีหลายมุม พร้อมข้อมูลสเปกอย่างละเอียด เสริมรีวิวจากลูกค้าเก่า หรือวิดีโอการใช้งานจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และลดความเสี่ยงจากความไม่พึงพอใจหลังจากได้รับสินค้าได้ด้วย
คู่แข่งเยอะ
โลกออนไลน์เป็นสมรภูมิที่ไม่มีใครผูกขาดพื้นที่ได้ง่ายๆ เพราะใครก็สามารถเปิดร้านได้ในไม่กี่ชั่วโมง นี่จึงทำให้การแข่งขันในธุรกิจ E-Commerce มีคู่แข่งเข้ามาลงแข่งในสนามเดียวกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada หรือ Facebook ที่มีร้านค้าหลายหมื่นรายขายของคล้ายกัน ทำให้แบรนด์แต่ละแบรนด์ต้องสร้างความแตกต่าง และงัดกลยุทธ์การทำการตลาดที่ช่วยทำให้แบรนด์โดดเด่นได้มากขึ้น
สินค้านำเข้า-ส่งออก มีต้นทุนการขนส่งสูง
แม้ธุรกิจ E-Commerce จะทำให้ขายของข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น แต่การขายสินค้านำเข้า-ส่งออกยังมีความท้าทายที่สำคัญคือ ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่อาจกระทบกับกำไร โดยเฉพาะในยุคที่ราคาค่าขนส่งระหว่างประเทศผันผวน, ค่าเงินไม่แน่นอน และมีข้อจำกัดทางภาษีนำเข้าในบางประเทศ จึงควรคำนวณราคาขายให้ครอบคลุมต้นทุนการขนส่งและภาษีนำเข้าเอาไว้ด้วย
ทำธุรกิจ E-Commerce ช่องทางไหนได้บ้าง?
ทุกวันนี้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทำให้ตลาดการทำ E-commerce ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำเว็บไซต์เพื่อขายของอีกต่อไป มาดูกันว่าถ้าจะทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซช่องทางไหนได้บ้างเพื่อทำให้เกิดการซื้อขายได้ในที่สุด
เว็บไซต์ส่วนตัว
เว็บไซต์ E-Commerce ที่ทำด้วยตัวเองเป็นช่องทางที่แบรนด์สามารถควบคุมได้ 100% ทั้งดีไซน์ ฟังก์ชัน และการสร้างประสบการณ์ลูกค้า คุณสามารถจัดการระบบตะกร้าสินค้า, การชำระเงิน, ระบบสมาชิก หรือการสะสมแต้มได้ตามต้องการ
นอกจากนี้การใช้เว็บไซต์ส่วนตัวมาขายสินค้าหรือบริการยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์มืออาชีพ เก็บข้อมูลลูกค้าได้เอง เช่น อีเมล, พฤติกรรมการซื้อ ฯลฯ เพื่อใช้ทำการตลาดระยะยาว รวมถึงไม่มีค่าธรรมเนียมต่อการขายเหมือน Marketplace ซึ่งคุณสามารถสร้างเว็บไซต์เพื่อขายของได้เองผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น CMS อย่าง Shopify, WooCommerce, Magento ฯลฯ
Marketplace Applications
Marketplace คือ พื้นที่กลางที่ให้ผู้ขายหลายรายเข้ามานำเสนอสินค้า โดยผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อได้จากหลายร้านในที่เดียว ในบริบทของ E-commerce ในไทย Marketplace ถือเป็นช่องทางหลักที่ผู้คนใช้ค้นหาและซื้อสินค้ามากที่สุด ยกตัวอย่าง Marketplace ที่คนไทยนิยมใช้ เช่น Shopee, Lazada, JD Central, TikTok Shop เป็นต้น ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการเร่งยอดขาย โดยไม่ต้องสร้างระบบเองทั้งหมด แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการแข่งขันที่สูง และต้องจ่ายค่าคอมมิชชัน รวมถึงไม่สามารถควบคุมประสบการณ์ลูกค้าได้เต็มที่ด้วย
Social Media
การใช้ Social Media คือเครื่องมือทรงพลังในการสร้างแบรนด์, สื่อสารกับลูกค้า และทำ Social Media Marketing อย่างมีระบบ ตัวอย่างการใช้ Social Media เพื่อทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่น Facebook Page, Instagram, LINE OA, TikTok เป็นต้น ซึ่งช่วยเพิ่ม Brand Awareness และทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ในระยะยาว เพราะมีการใช้ Storytelling ในการขายค่อนข้างมาก ทำให้เป็นช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและรวดเร็ว
อยากทำ E-Commerce ให้ปัง! ทำการตลาดแบบไหนดี?
ไม่ว่าจะมีสินค้าเจ๋งแค่ไหน หรือระบบร้านออนไลน์ดีขนาดไหน หากธุรกิจขาดกลยุทธ์การทำการตลาดที่ใช่ ธุรกิจของคุณก็อาจจะกลายเป็นร้านลับที่ไม่มีใครเห็นหรือรู้จัก เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ผู้บริโภคเจอกับคอนเทนต์นับพันต่อวัน การทำธุรกิจ E-Commerce ให้ปัง จึงต้องอาศัยการตลาดที่รอบด้าน ทั้งการสร้างแบรนด์, ดึงดูดลูกค้า, วัดผล และรักษาฐานลูกค้าเก่า และนี่คือวิธีการทำการตลาดของธุรกิจอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ว่าควรใช้วิธีไหนบ้าง ดังนี้
Content Marketing
Content Marketing เป็นการใช้ทำการตลาดด้วยคอนเทนต์คุณภาพ เพื่อดึงดูดและให้คุณค่าแก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ วิดีโอ หรือแม้แต่ไลฟ์สด เป้าหมายคือ การสร้างความน่าเชื่อถือ สื่อสารตัวตนของแบรนด์ และเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อ ไม่ใช่เน้นแต่การขายของเพียงอย่างเดียว ทำให้แบรนด์ได้ Engagement คือ การปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มเป้าหมายกับแบรนด์ เช่น ยอดแชร์ คอมเมนต์ เวลาที่คนใช้ดูคอนเทนต์ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดส่งผลต่อการรับรู้แบรนด์และสร้างโอกาสในการขายได้มากขึ้น
สำหรับเทคนิคการทำการตลาดด้วยคอนเทนต์ในปัจจุบัน แบรนด์นิยมทำงานร่วมกับ Content Creator หรือ KOL คือ Key Opinion Leader ที่มีอิทธิพลในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ใช้อินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้า, ใช้ยูทูปเบอร์ทำคลิปสาธิตสินค้าแบบใช้จริง ฯลฯ ซึ่งช่วยทำให้เกิด Brand Awareness, Consideration และ Decision ได้ดี
SEO
SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Search Engine เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้การทำธุรกิจ E-Commerce เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ทำการ Search คำ Keyword ที่ตรงกับสิ่งที่แบรนด์ทำ แล้วเข้ามาทำความรู้จักแบรนด์ ไปจนถึงซื้อสินค้าได้โดยตรง ซึ่งเทคนิคการทำ SEO จะแบ่งออกเป็น 3 แกนหลัก ได้แก่
- การทำ On-Page SEO : การปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างภายในหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้ Search Engine เข้าใจว่าหน้านั้นเกี่ยวข้องกับ Keyword อะไร และมีคุณภาพเพียงพอที่จะติดอันดับ
- การทำ Off-Page SEO : การสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ผ่านปัจจัยภายนอก เช่น การได้ Backlink ที่เป็นลิงก์จากเว็บอื่นที่เชื่อมมาหาเว็บเรา หรือการพูดถึงแบรนด์ในช่องทางอื่นๆ
- การทำ Technical SEO : การปรับปรุงด้านเทคนิคของเว็บไซต์เพื่อให้ Search Engine เข้าถึง, เข้าใจ และจัดอันดับเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(สำหรับใครที่ต้องการมืออาชีพช่วยดูแล NerdOptimize คือหนึ่งในบริษัทรับทำ SEO ที่เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการวางโครงสร้างเว็บ, การทำ On-Page หรือ Off-Page, การปรับ Technical SEO, สร้างคอนเทนต์เชิงกลยุทธ์ ซึ่งถ้าคุณต้องการทีมรับทำ SEO ที่วัดผลได้ชัดเจน มีการรายงาน และเข้าใจการตลาดจริง “ทีม NerdOptimize” คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ธุรกิจคุณ)
Paid Media
Paid Media คือ การทำการตลาดด้วยโฆษณา เช่น การทำ Google Ads, Facebook Ads, Instagram Ads, TikTok Ads ฯลฯ ซึ่งสิ่งสำคัญของการทำ Paid Media จะเป็นการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย การวาง Funnel และวัดผลอย่างละเอียด เช่น CPA, CTR หรือ ROAS เพื่อให้ใช้เงินอย่างคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งการจะทำให้ Ads มี Performance ที่ดี แนะนำให้ทำ A/B Testing หลายชุด เพื่อหาแคมเปญที่เวิร์กสำหรับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่ม ซึ่งทำให้แอดถูกลง และได้ Conversion ที่ต้องการมากขึ้นด้วย
CRO
CRO หรือ Conversion Rate Optimization คือ กระบวนการเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้า เพราะไม่ว่าคุณจะยิง Ads หรือทำ SEO ได้ยอดเข้าเว็บมากแค่ไหน ถ้า Conversion ไม่ดี ก็เหมือนกับการที่ทำให้คนเดินเข้ามายังหน้าร้านได้ แต่กลับไม่ซื้อของเลยสักชิ้น ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้บริการบริษัทรับทำ CRO เพื่อปรับ UI/UX, การเขียนข้อความ Call to Action, ปรับหน้าสินค้า หรือวางโฟลว์การซื้อให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยในการเพิ่มยอดขาย โดยไม่ต้องเพิ่มค่าโฆษณาในระยะยาว
CRM
CRM (Customer Relationship Management) คือ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยเฉพาะในธุรกิจ E-Commerce ที่การซื้ออาจไม่ใช่ครั้งเดียว แต่มักจะทำการซื้อซ้ำอยู่บ่อยครั้งหากเกิด Brand Loyalty ในสินค้าใดสินค้าหนึ่งแล้ว ดังนั้นเป้าหมายของการทำ CRM จึงเป็นการรักษาลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ สร้าง Loyalty และเพิ่ม LTV (Lifetime Value) ให้กับธุรกิจ
สำหรับหนึ่งในเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้ในการทำ CRM เลยก็คือ Salesforce คือ แพลตฟอร์มที่ช่วยจัดการลูกค้าทั้งฝั่งการตลาด, การขาย และการบริการที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลจากทุกช่องทางเข้าด้วยกัน ทำให้เข้าใจลูกค้าแบบ 360 องศา และส่งแคมเปญการตลาดแบบ Personalization ได้อย่างแม่นยำมากขึ้นด้วย
ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไรในยุค AI-Driven
วันนี้เจ้าของ ธุรกิจ E-Commerce ไม่ได้แข่งขันกันแค่เรื่องของราคา หรือยิงแอดยังไงให้ถูกกว่าคู่แข่ง แต่เป็นการเน้นการทำการตลาดที่ต้องเข้าใจลูกค้าได้ลึกกว่า เร็วกว่า และแม่นยำกว่า จึงจะมีโอกาสเอาชนะในเกมที่เป็น Red Ocean ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงและต้องสู่อยู่ตลอดเวลา และนี่แหละคือสิ่งที่ AI Marketing จะเข้ามาเปลี่ยนโลกการทำการตลาดของธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้เร็ว ลึก และมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น
เพราะ AI จะเข้ามาช่วยรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าได้แบบ Real-time เช่น ใครกดดูสินค้าชิ้นไหน, อยู่นานแค่ไหน, ซื้อ-ไม่ซื้อเพราะอะไร ฯลฯ จากนั้นก็นำมาวิเคราะห์เพื่อทำ Segmentation (แบ่งกลุ่มลูกค้า), วิเคราะห์แนวโน้มการซื้อ และส่งโปรโมชันเฉพาะบุคคล (Personalized Offers) ต่อได้ หรือถ้าเป็นในฝั่งการทำ Customer Service ในธุรกิจ E-Commerce ก็นิยมทำ AI Chatbot ที่สามารถตอบคำถามพื้นฐาน ติดตามสถานะคำสั่งซื้อ หรือแนะนำสินค้าได้อัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดภาระทีมงาน เพิ่ม Conversion และลดโอกาสที่ลูกค้าจะหลุดออกจากหน้าร้านได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้เว็บไซต์ E-Commerce สามารถแสดงสินค้าเฉพาะที่ลูกค้าคนนั้นอาจสนใจ โดยดูจากพฤติกรรมการซื้อ และความสนใจที่ผ่านมา เช่น หน้าแรกของลูกค้าแต่ละคนจะไม่เหมือนกันเลย บางคนเห็นเสื้อผ้าผู้หญิง บางคนเห็น Gadget หรือของแต่งบ้าน เป็นต้น
จะเห็นว่า AI เข้ามามีส่วนช่วยให้การขายของออนไลน์สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องหยิบ AI ทุกตัวมาใช้งาน แต่ควรที่จะเริ่มต้นปรับตัวและเริ่มต้นใช้งานก่อน ดังนี้
- ทดลองใช้ AI ที่ตอบโจทย์กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซของตนเองก่อน เช่น ลองใช้ AI ช่วยเขียนคำโฆษณา หรือตั้งชื่อแคมเปญ, ใช้ทำ Chat Bot ฯลฯ ก่อนจะค่อยๆ สเกลเพิ่มต่อ
- ทำการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ จะช่วยทำให้ใช้ AI และเทรน AI ได้ดีขึ้น
- ต้องไม่กลัวเทคโนโลยีหรือการหยิบมาใช้งาน
- เพราะจุดแข็งของ AI คือการทดสอบและเรียนรู้จากข้อมูลจริง จึงควรทดลองและวัดผลเสมอ
- ธุรกิจควรมองหาวิธีเชื่อมระบบที่มีอยู่ร่วมกันกับการใช้ AI เพื่อที่จะได้ไม่ต้องป้อนข้อมูลซ้ำ และสามารถใช้ AI ในทุก Touchpoint ได้อย่างเต็มที่
บทสรุป E-Commerce 2025 โอกาส ความท้าทาย และวิธีชนะในตลาดดิจิทัล
เมื่อมองภาพรวมของธุรกิจ E-Commerce ในปี 2025 จะเห็นได้ว่าตลาดยังคงเปิดกว้าง มีโอกาสเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะกับธุรกิจที่พร้อมปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนเร็ว แต่ในขณะเดียวกันความท้าทายก็ยิ่งมีมากขึ้น ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนที่ผันผวน พฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่แน่นอน และเทคโนโลยีอย่าง AI ที่เข้ามาเปลี่ยนทุกเกมการตลาดแบบฉับพลัน
หากใครต้องการชนะในสนามนี้ก็จำเป็นต้องเลิกทำการตลาดแบบเดา และหันมาเข้าใจลูกค้าให้ลึกกว่าเดิม ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมจริง วางแผนบนพื้นฐานข้อมูล และใช้เครื่องมือดิจิทัลให้ตรงจุด เพราะเทรนด์หลังจากนี้คือการที่ใครเข้าใจลูกค้าได้ลึกกว่าและขยับได้ไวกว่า คนนั้นจึงจะเป็นผู้ชนะตัวจริงในโลก E-Commerce