ในยุคที่การทำธุรกิจเปรียบเสมือนการแข่งขันอันดุเดือด ทุกบริษัทต่างต้องการหา “ลูกค้า” เข้ามาให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต แต่ในขั้นตอนการหาลูกค้าเข้ามารู้จักกับธุรกิจคุณนั้น มีอยู่ 1 กลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นกลยุทธ์ที่เปลี่ยนคนแปลกหน้า เข้ามาเป็นลูกค้าของคุณได้อย่างมีคุณภาพที่สุด
กลยุทธ์ที่ว่าก็คือ Inbound Marketing หรือการตลาดแบบแรงดึงดูด ที่จะช่วยทำให้ลูกค้าวิ่งเข้ามาหาธุรกิจเอง ผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ลงในช่องทางที่เหมาะสม โดยที่ธุรกิจไม่จำเป็นต้องเสียงบประมาณมากมายไปกับการทำโฆษณาเหมือนแต่ก่อน
บทความนี้เราจะพาทุกคนมาศึกษาถึงความหมายของ Inbound Marketing อย่างละเอียดพร้อมตัวอย่างกลยุทธ์ ที่จะเป็นส่วนช่วยให้ธุรกิจของคุณสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในยุคออนไลน์นี้ ไปติดตามเนื้อหาทั้งหมดได้ในบทความนี้
Inbound Marketing คืออะไร?
Inbound Marketing คือ เทคนิคการทำการตลาดแบบ “แรงดึงดูด” เพื่อทำให้ผู้คนหันมาสนใจและเริ่มเข้าหาธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณ ผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ลงในช่องทางที่เหมาะสม และค่อย ๆเปลี่ยนให้คนที่ได้เข้ามาอ่านมาเป็นผู้ติดตาม จนกลายเป็นลูกค้าที่พร้อมจะซื้อสินค้า/บริการ จากธุรกิจของคุณในที่สุด
โดยคำว่า “คอนเทนต์ที่มีคุณค่า” นั้นสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ไม่มีกฎตายตัวเช่น การสร้างบทความลงในเว็บไซต์, Social Media Content ต่าง ๆ, Infographic, E-book หรือ Video Content และอื่น ๆ ที่ต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ นำเสนอข้อดีของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหา และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ณ ตอนนั้นได้
ซึ่งการทำ Inbound Marketing หรือการตลาดแบบแรงดึงดูดจะเป็นเทคนิคที่มีความแตกต่าง เหมือนเป็นคนละขั้วกันกับอีกเทคนิคที่ชื่อว่า Outbound Marketing หรือการตลาดแบบแรงผลัก โดยเราอยากให้คุณมาเริ่มทำความเข้าใจความหมายของ Outbound Marketing ก่อนครับ
Inbound marketing และ Outbound Marketing แตกต่างกันอย่างไร แล้วตัวไหนดีกว่า ?
Inbound Markeitng แตกต่างกับ Outbound Marketing ตรงที่ Outbound Marketing นั้นคือเทคนิคการทำการตลาด “แบบแรงผลัก” หรือการกระจายคอนเทนต์ออกไปสู่ผู้คนให้ได้มากที่สุด ผ่านการทำโฆษณาลงในสื่อต่าง ๆ เช่น การทำโฆษณาตามทีวี วิทยุ ,การโฆษณาตามป้าย Billboard ตามรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า หรือแม้แต่การยิง Ads บน Facebook, Youtube ฯลฯ เปรียบเหมือนเป็นการผลักคอนเทนต์ออกไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งจะแตกต่างจาก Inbound Marketing ที่จะเป็นการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า “เพื่อดึงดูด” ให้ลูกค้าเข้ามาหาธุรกิจของคุณเอง
โดยถ้าเราจำแนกความแตกต่างของทั้ง 2 กลยุทธ์นี้ออกเป็นข้อ ๆ จะได้ดังนี้
- Outbound Marketing เปรียบเหมือนการที่เราต้องวิ่งเข้าหาลูกค้า ด้วยการสร้างคอนเทนต์ไปมอบให้แก่ผู้บริโภค เพื่อให้พวกเห็นสินค้าและบริการของเรามากที่สุด แต่ Inbound Marketing จะสร้างคอนเทนต์คุณภาพขึ้นมา แล้วรอให้ลูกค้าวิ่งเข้ามาหาเราเอง
- Outbound Marketing จะเน้นไปที่การขายสินค้าแบบตรง ๆ เพราะต้องการให้ผู้ที่ได้รับสารเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าให้ได้ โดยที่ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา แต่ Inbound Marketing จะทำความเข้าใจว่าเป้าหมายของพวกเขากำลังมีปัญหาอะไรอยู่ แล้วนำเสนอคอนเทนต์เพื่อมาเป็นส่วนช่วยในการแก้ปัญหาให้พวกเขา
- Outbound Marketing เน้นเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก ไม่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เหมือนการหว่านแหลงในมหาสมุทร (แม้จะมีปลาเยอะ แต่โอกาสที่จะได้ปลาติดแหมีน้อย) แต่ Inbound Marketing จะเน้นการเข้าถึงกลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายของธุรกิจจริง ๆ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสที่จะเป็นลูกค้าได้มากกว่า เปรียบเหมือนการหว่านแหลงในบ่อปลาขนาดเล็ก (แม้มีปลาไม่เยอะเท่ามหาสมุทร แต่มั่นใจได้ว่าหว่านแหลงไปจะมีปลาติดแน่นอน)
- Outbound Marketing จะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพราะเป็นการทำการโฆษณาแบบกว้าง ๆ แต่ Inbound Marketing จะต้องใช้งบประมาณให้น้อยที่สุด (หรือ 0 บาท)
แต่ถ้าถามว่า แล้วกลยุทธ์ Inbound Marketing และ Outbound Marketing แบบไหนดีกว่ากันล่ะ ?
คำตอบคือ ทั้ง 2 กลยุทธ์ที่กล่าวไปนั้น มีไม่มีอะไรดี-แย่ไปกว่ากัน ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งขนาดธุรกิจ ความต้องการ รวมถึงเป้าหมายในการทำธุรกิจของคุณ
ถ้าธุรกิจของคุณมีขนาดใหญ่ มีกำลังทรัพย์ งบประมาณในการโฆษณาเยอะ ขายสินค้าทั่วไปที่ต้องการถึงผู้บริโภคในตลาดวงกว้าง (Mass Market) การทำ Outbound Marketing ก็จะช่วยให้ธุรกิจคุณได้ลูกค้า ได้ยอดขายเพิ่มขึ้น ทำกำไรให้ธุรกิจได้ในระยะสั้น ๆ
แต่ถ้าธุรกิจของคุณยังมีขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่ได้มีงบประมาณในการโฆษณามากมาย อยากสร้างธุรกิจให้เติบโตในระยะยาว และที่สำคัญหากธุรกิจมีสินค้าที่ต้องการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เช่นธุรกิจประเภท B2B, ธุรกิจที่มีสินค้าและบริการราคาสูง ที่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจก่อน การทำ Inbound Marketing ก็จะมีโอกาสทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักได้ง่ายกว่าและทำให้ธุรกิจได้ลูกค้าเข้ามา อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะลูกค้าจะเห็นถึงคุณค่าของธุรกิจผ่านคอนเทนต์ที่คุณสร้างขึ้นมา ก่อนการตัดสินใจซื้อนั่นเอง
ตัวอย่างการทำ inbound marketing
ตัวอย่างการทำ Inbound Marketing ที่ได้ประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จจนเป็นอีก 1 ธุรกิจราชาในการทำ Inbound Marketing ที่ผมจะยกตัวอย่างก็คือ HubSpot บริษัทด้าน Marketing Software ที่ถือเป็นผู้ให้กำเนิดและบัญญัติศัพท์คำว่า Inbound Marketung อีกด้วย
Hubspot ต้องการที่จะขายคอร์สเรียนด้าน Content Marketing ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการหาความรู้ด้าน Content Marketing ซึ่งทาง Hubspot รู้ดีว่าพฤติกรรมของผู้คนส่วนใหญ่ มักจะใช้ Search Engine อย่าง Google ในการตอบคำถามสิ่งที่พวกเขาสงสัย Hubspot จึงไม่รอช้า สร้างคอนเทนต์คุณภาพที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Content Marketing ขึ้นมาในเว็บไซต์ของพวกเขาเป็นจำนวนมาก (ถึงวันนี้ก็ยังสร้างอยู่)
เพื่อดึงดูดให้ผู้ที่ใช้งาน Search Engine ที่กำลังมีปัญหาด้านการทำ Content Marketing หรือต้องการที่จะศึกษาเรื่อง Content Marketing ให้กดเข้ามาอ่าน หลังจากนั้นเมื่อเป้าหมายได้กดเข้ามาอ่านจนพวกเขาพบเข้ากับ “คุณค่า” หรือคุณภาพของเนื้อหาที่ Hubspot สร้างขึ้น ก็ทำให้ผู้อ่านส่วนใหญ่เชื่อถือและมั่นใจในแบรนด์ของ Hubspot (ตอนนี้คนพวกนี้จะกลายเป็น”กลุ่มเป้าหมายคุณภาพ”ขึ้นมาทันที)
จนเมื่อ Hubspot เปิดขายคอร์สเรียนออนไลน์ด้าน Content Marketing กลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นก็จะลงสมัครคอร์สเรียนออนไลน์ของ Hubspot อย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขาเชื่อในคุณภาพของ Hubspot เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
และ Hubspot ก็ยังส่งมอบคุณค่าไปมากกว่าการทำคอนเทนต์ เพราะในคอร์สเรียนต่าง ๆ ที่ Hubspot ได้สร้างขึ้น พวกเขาจะมีการให้ Certificate หรือใบประกาศนียบัตรจบหลักสูตรให้กับผู้เรียนด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถใช้ใบ Certification นั้นเป็นเครื่องรับรองความรู้ในการสมัครงานหรือเปลี่ยนตำแหน่งในอนาคตได้อีกด้วย ทำให้คอร์สเรียน Content Marketing ของ Hubspot กลายเป็นอีกหนึ่งคอร์สเรียนด้าน Content Marketing ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของโลก
ซึ่งกับทุกผลิตภัณฑ์ของ Hubspot ไม่ว่าจะเป็นขายคอร์สเรียน ขายผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ หรือแม้แต่การหาสมาชิก (Lead) รับข่าวสารคอนเทนต์ของพวกเขาผ่านอีเมล Hubspot จะใช้แต่กลยุทธ์ Inbound Marketing เกือบทั้งหมด
กลยุทธ์การทำ Inbound Marketing มีอะไรบ้าง ?
ในการทำ Inbound Marketing ให้ได้ประสิทธิภาพที่สุดนั้น จะอาศัยกลยุทธ์ในการทำอยู่ 4 ขั้นตอน ซึ่งแต่ขั้นตอนมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. Attract
Attract คือการดึงดูดความสนใจความคนแปลกหน้า (Strangers) ให้เริ่มเข้ามาทำความรู้จักกับธุรกิจของคุณหรือเปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นผู้เข้าชม (Visitors) ซึ่งคำว่าคนแปลกหน้าในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงใครก็ได้ แต่ต้องเป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่คุณได้มีการกำหนดเอาไว้แล้ว โดยวิธีในการได้มาซึ่งผู้เข้าชมนั้นจะต้องเทคนิคการทำคอนเทนต์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น
- การทำ SEO (Search Engine Optimization) : ถือเป็นช่องทางที่ได้ผลดีที่สุด เพราะอย่างที่ได้กล่างไปว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ถ้าพวกเขาสงสัยหรืออยากรู้อะไร พวกเขาจะใช้ Search Engine อย่าง Google ในการหาคำตอบ ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสพบเข้ากับคอนเทนต์ของคุณที่เผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ ดังนั้นหากคุณต้องการทำ Inbound Marketing ก็ควรเริ่มให้ความสำคัญกับการทำ SEO และการสร้างคอนเทนต์ในรูปแบบบทความครับ
- Social Media : เพราะปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่เลือกใช้ Social Media เช่น Facebook, Instagram, Twitter หรือแม้แต่โซเชียลหน้าใหม่อย่าง TikTok ในการรับสาร รับคอนเทนต์ต่าง ๆ ดังนั้นช่องทางนี้ก็ถือเป็นทำเลทองในการใช้ Inbound Marketing เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย
2. Convert
Convert คือการเปลี่ยนแปลงจากผู้เข้าชม (Visitors) ให้กลายเป็น ว่าที่ลูกค้า (Leads) กล่าวคือหลังจากที่คุณได้ทำการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นผู้เข้าชมได้ คุณต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างให้พวกเขากลายมาเป็น ว่าที่ลูกค้า หรือกลุ่มคนที่พร้อมที่จะเข้ามาเป็นลูกค้าของคุณแล้ว
โดยขั้นตอนนี้จะมีชื่อเรียกเทคนิคอย่างเป็นทางการว่า Lead Generation หรือกระบวนการสร้าง Leads สู่ธุรกิจ ซึ่งหัวใจสำคัญของขั้นตอนนี้จะมีอยู่ 2 อย่างคือ
- การสร้างคุณค่าให้กับตัวคอนเทนต์ : คุณต้องมั่นใจว่าเมื่อลูกค้าเข้ามาพบกับคอนเทนต์ของคุณแล้ว พวกเขาจะต้องได้รับคุณค่าหรือสิ่งที่พวกเขาต้องการกลับไป โดยต้องอาศัยการนำเสนอข้อมูลที่มีคุณภาพ (หรือข้อมูลเชิงลึก) ที่เป็นประโยชน์ต่อเป้าหมายจริง ๆ และทันทีที่เป้าหมายได้พบกับสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการ พวกเขาก็จะเริ่มรู้สึกสนใจหรือชอบแบรนด์ของคุณ จนมีโอกาสกลายเป็นว่าที่ลูกค้าได้
- การเก็บรายชื่อของว่าที่ลูกค้าไว้ : เพราะบางทีคุณก็ไม่รู้หรอกว่าเมื่อลูกค้าเข้ามาอ่านคอนเทนต์ของคุณแล้ว พวกเขาจะสนใจในธุรกิจของคุณเหมือนที่คุณหวังไว้หรือเปล่า จึงต้องอาศัยการเก็บ Lead เข้ามาช่วยเช่นการทำ CTA (Call To Action), Landing Pages Forms เอาไว้ เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจจริง ๆ กดเข้าไปดูรายละเอียดและลงชื่อแจ้งความสนใจเอาไว้ ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มาก ๆ สำหรับการขายสินค้าในขั้นตอนต่อไป
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : Lead Generation คืออะไร ? หลักการทำการตลาดที่เจ้าของธุรกิจควรรู้และนำไปใช้
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : เทคนิคการหาลูกค้าที่แท้จริงด้วย Lead Scoring โดยการใช้ ManyChat
3. Close
Close คือการเปลี่ยนให้ ว่าที่ลูกค้า กลายมาเป็นลูกค้าจริง ๆ ของธุรกิจให้ได้ โดยอาศัยการใช้เทคนิคการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ และการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีให้กับลูกค้า จนทำให้พวกเขารู้สึกชอบหรือใกล้ชิดกับธุรกิจของคุณ
โดยขั้นตอนนี้จะเรียกเทคนิคอย่างเป็นทางการว่า Lead Nurturing หรือการเปลี่ยนจากว่าที่ลูกค้าธรรมดา (Leads) ให้มาเป็น ว่าที่ลูกค้าคุณภาพ (Quality Leads) ซึ่งกลุ่ม ว่าที่ลูกค้าคุณภาพ ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสเปลี่ยนเข้ามาเป็น ลูกค้าจริง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งหัวใจสำคัญของขั้นตอนนี้มีจะมีด้วยกันดังนี้
- Email Marketing : เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขั้นตอนนี้ โดยหลังจากที่คุณได้รายชื่อ Email ของ Leads จากขั้นตอนที่แล้ว ก็ให้คุณส่งข่าวสาร แจ้งโปรโมชัน สิทธิพิเศษไปยัง Email ของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นว่า คุณเห็นพวกเขาสำคัญ
- การใช้งาน Marketing Automation และการสร้าง Workflows : เป็นเหมือนตัวช่วยในการทำงานรูปแบบต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจในแบรนด์ โดยที่คุณไม่ต้องลงแรงทำเอง เพราะบางทีหากคุณมี Leads เยอะเป็นจำนวนหลักร้อย หลักพันหรือมากกว่านั้น จะให้มาส่งอีเมลไปหาทุกคนอาจเป็นเรื่องที่ทำไม่ไหวแน่ ๆ ดังนั้นเลยต้องอาศัยเครื่องมือและการติดตั้ง Flows การทำงานเข้าช่วย เช่น การใช้ Email Tools ในการส่งอีเมลแจ้งโปรโมชันข่าวสารไปหากลุ่มเป้าหมายแบบอัตโนมัติ, การติดตั้ง ChatBot ในกล่องข้อความเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพวกเขา จนกลุ่มเป้าหมายรู้สึกประทับใจ และยินดีที่จะเข้ามาเป็นลูกค้าของธุรกิจคุณในที่สุด
4. Delight
Delight คือขั้นตอนสุดท้ายของการทำ Inbound Marketing ในการทำให้ลูกค้าเต็มใจที่จะบอกต่อสินค้า/บริการของคุณไปให้ผู้อื่นได้รับรู้ เพราะหลังจากที่คุณสามารถเปลี่ยน Leads ให้กลายมาเป็นลูกค้าได้แล้ว คุณห้ามหยุดแค่นั้น เพราะถ้าคุณหยุดแค่นั้นเท่ากับว่าเมื่อเวลาที่คุณจะหาลูกค้าใหม่ คุณก็จะต้องมานั่งสร้างคอนเทนต์ เก็บ Leads หรือการทำอะไรเดิม ๆ อีกรอบ แต่จะดีกว่าไหม ถ้าคุณใช้ลูกค้าเก่าเหล่านั้น ในการช่วยคุณหาลูกค้าใหม่
โดยการทำให้ลูกค้าที่คุณได้มาจากขั้นตอนที่แล้ว ให้กลายมาเป็นพรีเซนเตอร์ในการบอกต่อสินค้าหรือบริการของเราไปให้ผู้อื่นได้รับรู้ และยังเป็นการสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจมากขึ้น จนทำให้ลูกค้าเก่าเหล่านั้น กลับมาหาธุรกิจเราอีกในอนาคต (Retention) ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องอาศัยเทคนิคเหล่านี้
- การทำแบบสำรวจ (Survey) : วิธีนี้จะช่วยให้คุณรับทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ความพึงพอใจ ของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นการฟัง Feedback จากมุมลูกค้าเพื่อการนำไปพัฒนาธุรกิจของคุณให้ดีขึ้นต่อไปในอนาคต วิธีนี้จะทำให้ลูกค้าเห็นถึงความจริงใจของธุรกิจคุณและทำให้พวกเขาพร้อมที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณอีกในอนาคต
- Social Media Monitoring : ถ้าในความคิดคุณ การทำแบบสำรวจอาจจะดูยาก เปลืองงบประมาณ และลูกค้าอาจให้ความร่วมมือน้อย ลองหันมาใช้ Social Media ต่าง ๆ ในการรับทราบถึง Feedback ของธุรกิจคุณดู วิธีนี้ไม่เปลืองงบและอาจได้รับฟังเสียงจากลูกค้าได้มากขึ้น เช่นการสร้างโพสต์ให้ลูกค้าคอมเมนท์ถึงเรา, อ่านคอมเมนท์ของลูกค้าจากรีวิวตามที่ต่าง ๆ
- การใช้ Influencer Marketing : คุณสามารถใช้งาน Influencer Marketing เพื่อเป็นตัวช่วยในการบอกต่อถึงสินค้า/บริการของคุณได้ ในกรณีที่ลูกค้าส่วนใหญ่ของคุณยังไม่ได้มีความคิดที่จะบอกต่อ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นการใช้ Influencer โปรโมท เพื่อทำให้ลูกค้าจริง ๆ กล้าที่จะมาบอกต่อสินค้า/บริการของคุณบ้าง อีกทั้งคุณอาจจะได้มีโอกาสลูกค้าใหม่ ๆ จาก Influencer ก็เป็นได้
- Personalized Marketing : เพราะการที่ลูกค้าจะกล้าบอกต่อ พวกเขาต้องได้รับความพิเศษมากกว่าลูกค้าทั่วไป ดังนั้นแค่การส่งอีเมลอวยพรวันเกิด หรือให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ มอบความรู้สึกดีให้เขา ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ได้ผล ที่จะทำให้ลูกค้ากล้าที่จะบอกต่อรวมถึงการเป็นลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ในอนาคต (ฺCustomer Loyalty) อีกด้วย
หัวใจหลักของการทำ Inbound Marketing คืออะไร ?
สำหรับใครที่ต้องการทำ Inbound Marketing แต่ยังไม่รู้ว่าควรต้องให้ความสำคัญกับขั้นตอนไหนก่อน หรือหัวใจหลักในการทำ Inbound Marketing นั้นคืออะไร
จริง ๆ แล้วถ้าพูดกันในหลักความเป็นจริงส่วนที่สำคัญที่สุดของการทำ Inbound Marketing นั้นก็คือช่วงขั้นตอนของการ Attract หรือดึงดูดเปลี่ยนจากคนแปลกหน้าให้กลายเป็นผู้ที่สนใจ เพราะในขั้นตอนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำ Inbound Marketing ถ้าคุณออกแบบมาได้ดีในขั้นตอนต่อ ๆ ไปก็จะทำได้ง่ายขึ้น และทำให้คุณได้ลูกค้าที่มีคุณภาพมายังธุรกิจ
กลับกันถ้าในขั้นตอนนี้คุณทำได้ไม่ดีพอหรือทำผิดพลาด ก็จะส่งผลให้ในขั้นตอนต่อ ๆ ไปประสบความสำเร็จได้ยากหรือคุณอาจจะโชคดีได้ลูกค้ามา แต่ลูกค้าที่คุณได้มา ก็จะเป็นลูกค้าที่ไม่มีคุณภาพ ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้อีกในอนาคต
ดังนั้นหัวใจสำคัญของการทำ Inbound Marketing คุณควรต้องเริ่มมองหาช่องทาง (Channel) ที่คุณสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย (Attract User) ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งผมแนะนำไปที่การทำ SEO ให้เว็บไซต์นั้นติดอันดับต้น ๆ บนหน้าการค้นหาของ Google คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากที่จะสร้างโอกาสให้กลุ่มเป้าหมาย ได้พบเจอกับคอนเทนต์ของเราได้ง่ายขึ้นเมื่อพวกเขาค้นหาข้อมูลบน Search Engine
หรือต่อให้ในขั้นตอนต่อไปเราอาจทำได้ไม่ดี จนได้ลูกค้ากลับมาไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่อย่างน้อยถ้าคุณสามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามายังเว็บไซต์ (ผ่านการทำคอนเทนต์บทความ) ได้เยอะ คุณก็ยังมีข้อมูลหรือ List ที่จะนำไปใช้ในการทำการตลาดด้วยกลยุทธ์อื่น ๆ เช่น Retargeting ได้ต่อในอนาคต
ดังนั้น Nerd Optimize ขอสรุปไว้ว่า หากคุณต้องการที่จะทำ Inbound Marketing ให้ประสบความสำเร็จก็ควรหันมาเริ่มให้ความสำคัญกับการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอันดับแรกเสมอครับ