Home - SEO - ข้อควรรู้ Duplicate Content คืออะไร เกิดขึ้นจากอะไร ส่งผลเสียยังไงต่อ SEO

ข้อควรรู้ Duplicate Content คืออะไร เกิดขึ้นจากอะไร ส่งผลเสียยังไงต่อ SEO

เรื่องวุ่นๆ ของการเกิด Duplicate Content บนเว็บไซต์

เรื่องวุ่นๆ ของการเกิด Duplicate Content บนเว็บไซต์

ที่มาภาพ: searchengineland.com

มีใครเคยเจอประสบการณ์หรือเผลอทำสิ่งเหล่านี้บ้างหรือเปล่าครับ? 

เช่น อยากที่จะทำ Link Building หรือทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ แต่ดัน Copy เนื้อหาคอนเทนต์บนเว็บไซต์ตัวเองทั้งหมดไปเผยแพร่เอาไว้บนเว็บไซต์อื่นๆ เผลอสร้าง URL บทความซ้ำๆ กัน ฯลฯ ถ้าใครที่นึกออกว่า เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเว็บไซต์ ตอนนี้คุณกำลังเจอกับหนึ่งในปัญหาที่เสี่ยงต่อการทำให้อันดับบน Search Engine ตกลงได้อย่าง การทำ ‘Duplicate Content’ ว่าแต่เรื่องนี้สำคัญอย่างไร ทำไมถึงส่งผลเสียต่อการทำ SEO และจะมีวิธีการตรวจสอบว่า เว็บไซต์มี Duplicate Content หรือไม่อย่างไร แก้ไขได้ด้วยวิธีไหนบ้าง? 

บทความนี้ NerdOptimize จะพาทุกคนไปรู้จักว่า Duplicate Content คืออะไรกันแบบละเอียด ถ้าพร้อมแล้วตามไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่าครับ

Duplicate Content คืออะไร

Duplicate Content คือ การทำเนื้อหาคอนเทนต์ซ้ำ เหมือน หรือทำการคัดลอกจากแหล่งอื่นมา ทำให้มีเนื้อหาบนเว็บไซต์ใกล้เคียงกับเว็บไซต์ต้นฉบับเกือบทั้งหมด ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้นอย่างในรูปด้านล่างที่เว็บไซต์ 2 เว็บไซต์ทำการเขียนรูปประโยค สำนวนการเขียน หรือคำอธิบายที่เหมือนกันทั้งหมดแบบนี้เรียกว่า Duplicate Content

Duplicate Content คืออะไร

ที่มาภาพ: backlinko.com

และนอกจากการคัดลอกแบบเหมือนกันทุกคำ ทุกประโยคแล้ว การพยายามดัดแปลงประโยคหรือคำเพียงเล็กน้อยก็นับว่าเป็นการทำ Duplicate Content ให้เกิดบนเว็บไซต์ด้วยเช่นกัน อย่างรูปภาพตัวอย่างด้านล่างนี้

ไม่เป็นการทำ Duplicate Content

ที่มาภาพ: backlinko.com

แต่ถ้าเป็นการเขียนเนื้อหาโดยทำการแปลมาจากภาษาอื่นๆ และนำมาใช้เป็นแหล่งอ้างอิงเหมือนๆ กัน ในรูปแบบนี้ไม่นับว่าเป็นการทำ Duplicate Content เพราะคงไม่มีใครที่จะทำการแปลเนื้อหาเดียวกันได้เหมือนกันทุกคำหรือทุกประโยค อย่างน้อยต้องมีความแตกต่างจากสำนวนการเขียนของคนแปลไม่มากก็น้อย

ทำไมถึงเกิด Duplicate Content

สาเหตุของการเกิด Duplicate Content นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 สาเหตุหลัก ดังนี้

  1. การซ้ำกันของ URL มากกว่า 1 ชุด

การซ้ำกันของ URL มากกว่า 1 ชุดในเว็บไซต์แบบไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เกิดหน้าเว็บไซต์ใหม่ขึ้นมา แต่เนื้อหาในหน้านั้นกลับเหมือนกัน เรื่องนี้ทำให้เกิด Duplicate Content ได้เช่นกัน โดยสาเหตุที่ทำให้เกิด URL ซ้ำกันนั้นมีอยู่หลายประการ อย่างเช่น 

  • การทำ Tracking parameters

การทำ Tracking parameters หรือที่เรารู้จักกันในชื่อการทำ UTM Parameters ซึ่งใช้ในการติดตามผลลัพธ์ของ Traffic เว็บไซต์ที่ได้มาว่ามาจากแหล่งไหน หรือใช้ในการ Tracking แคมเปญการตลาดก็ได้ ซึ่งการทำ Tracking parameters บางครั้งก็ทำให้เกิด URL ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นมาทำให้ Google เข้าใจผิดได้ และอาจจะนำลิงก์ที่ทำการ Tracking มาจัดอันดับแทนหน้าเว็บไซต์จริงที่เราทำอันดับอยู่ 

ตัวอย่างลิงก์ที่เป็น Tracking parameters จะมีการใส่ค่า Parameter ต่างๆ ต่อท้าย URL เหมือนตัวอย่างด้านล่าง 

    • example.com/page?utm_source=facebook
  • HTTPS หรือ HTTP และการใส่ www หรือไม่ใส่ www

ใครที่ทำเว็บไซต์แล้วทำการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิด Duplicate Content จากการที่มี URL ที่แตกต่างกันแต่เนื้อหาซ้ำกันเกิดขึ้นได้ ทั้งจากการใช้ HTTPS หรือ HTTP และการใส่ www หรือไม่ใส่ www ในการค้นหา ยกตัวอย่างเช่น 

แต่ลิงก์ทั้งหมดนี้มีเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์เหมือนกัน

  • การมี URL รองรับอุปกรณ์ประเภทต่างๆ

สำหรับเว็บไซต์ที่ทำให้รองรับการใช้งานได้ในหลากหลายอุปกรณ์โดยเฉพาะการทำ Mobile-friendly อาจจะเจอกับการ Duplicate Content จากการเพิ่ม URL เพื่อรองรับอุปกรณ์ประเภทต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น

  • การใช้ URL แบบไดนามิก

การใช้ URL แบบไดนามิกจะเป็นการแสดงผลข้อมูล URL ตามการทำงานต่างๆ เช่น จัดเรียงข้อมูล กรองข้อมูลอย่างการค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์ ฯลฯ ทำให้ URL เกิดขึ้นใหม่แต่ข้อมูลซ้ำกัน ยกตัวอย่างเช่น

  1. การคัดลอกเนื้อหาแล้วนำไปเผยแพร่ต่อ

ข้อนี้อาจจะเกิดจากความตั้งใจของผู้ทำเว็บไซต์ที่ต้องการ Backlink กลับมายังเว็บไซต์จึงทำการคัดลอกเนื้อหาบนเว็บไซต์ในลักษณะ Copy & Paste เพื่อนำไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์อื่นๆ แบบเหมือนกัน 100% หรือในบางครั้งก็อาจจะเกิดจากที่เว็บไซต์อื่นทำการคัดลอกเนื้อหาไปเผยแพร่ต่อ ซึ่งการถูกคัดลอกไปเผยแพร่ที่อื่นนั้นส่วนใหญ่เว็บไซต์ต้นทางจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเว็บไซต์แรกจะถูกมองว่าเป็นต้นฉบับอยู่แล้ว

Duplicate Content มีผลเสียกับ SEO อย่างไร

หากเราเป็น Google เราเองก็คงไม่อยากที่จะทำการจัดอันดับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาซ้ำๆ กันเอาไว้ในหน้าแรกถูกต้องไหมครับ? 

ดังนั้น Google จึงพยายามที่จะจัดทำดัชนีของเว็บไซต์ต่างๆ ตามเกณฑ์ที่ช่วยทำให้มีผลลัพธ์ของเนื้อหาที่มีคุณภาพและไม่เกิด Duplicate Content ขึ้น ดังนั้น เว็บไซต์ไหนที่มีเนื้อหาซ้ำกันจำนวนมากก็มักจะต้องเจอกับผลกระทบในการจัดอันดับอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งผลเสียที่ได้รับก็เกี่ยวกับ SEO แบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็น…

  • การเข้าชมเว็บไซต์แบบออร์แกนิก (Organic Traffic)​ เกิดขึ้นน้อยลง
การเข้าชมเว็บไซต์แบบออร์แกนิก (Organic Traffic)​ เกิดขึ้นน้อยลง

ที่มาภาพ: backlinko.com

ยกตัวอย่างในกรณีที่มี 3 เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเหมือนกัน 3 หน้า Google อาจจะไม่แน่ใจว่าหน้าไหนคือหน้าต้นฉบับ ก็อาจจะทำการลดอันดับของเว็บไซต์ทั้ง 3 หน้าลง ส่งผลให้ Organic Traffic ที่ควรจะได้น้อยลงตามไปด้วย (แต่เรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ยากเพราะปกติ Google จะมาเก็บ Index ที่เนื้อหาได้แทบจะทันที หาเป็นต้นฉบับจริงก็ไม่ต้องกังวลมากมายนัก ยกเว้นว่า คุณทำการลงข่าว PR ที่นำเนื้อหาจากเอกสารมาลงเหมือนกันแบบเป๊ะๆ ก็อาจจะต้องระวังว่าจะถูกมองว่า เป็นการทำ Duplicate Content ได้)

เนื้อหาจเหมือนกันเป๊ะๆ เป็นการทำ Duplicate Content

ที่มาภาพ: backlinko.com

  • Google จะ Index เว็บไซต์น้อยลง

สำหรับเว็บไซต์ที่มีหน้าเว็บจำนวนมาก เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ฯลฯ ที่ทำเนื้อหาคล้ายกันจำนวนมากๆ อาจทำให้ Google Bot ทำงานช้าลง เนื่องจากมีหน้าเว็บไซต์ที่ต้องตรวจสอบเป็นจำนวนมาก ความถี่ในการรวบรวมข้อมูลหน้าเว็บไซต์ใหม่จึงลดลง รวมถึงบางครั้ง Google ยังลงโทษถึงขั้นปฏิเสธที่จะจัดทำดัชนี (Index) เว็บไซต์นั้นที่มี Duplicate Content ไปเลยก็เป็นได้

Google จะ Index เว็บไซต์น้อยลง

ที่มาภาพ: backlinko.com

  • เกิด URL ไม่พึงประสงค์และการจัดอันดับที่ไม่ต้องการ

อย่างที่บอกไปแล้วว่า Duplicate Content เกิดขึ้นได้จากการที่มี URL ซ้ำกันมากกว่า 1 ชุด ทำให้เว็บไซต์มี URL ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นมากมาย และอาจทำให้ Bot เข้าใจผิดและทำการ Index ตัว URL ที่ไม่ใช่ URL หลัก ส่งผลให้ URL ที่ต้องการไม่ติดอันดับได้

จะรู้ได้อย่างไรว่าเว็บไซต์เรามี Duplicate Content 

สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่า ตอนนี้เว็บไซต์ของคุณมี Duplicate Content อยู่บ้างหรือเปล่า วันนี้เรามีวิธีการตรวจสอบ Duplicate Content มาฝาก ลองนำไปใช้งานดูได้เลยนะครับ

  • ตรวจสอบการ Indexed Pages
จะรู้ได้อย่างไรว่าเว็บไซต์เรามี Duplicate Content

วิธีการที่ง่ายที่สุดในการค้นหา Duplicate Content คือ การดูจำนวนหน้าเว็บไซต์ที่ถูก Google ทำการจัดทำดัชนี (Index) โดยการเข้า Google แล้วพิมพ์ว่า site: ตามด้วยชื่อเว็บไซต์ เช่น site:example.com หลังจากนั้นให้ทำการกดค้นหา ก็จะมีหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดของเว็บปรากฏขึ้น 

ตรวจสอบการ Indexed Pages

ที่มาภาพ: backlinko.com

ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ backlinko ที่มีการ Index หน้าเพจเว็บไซต์ไปทั้งหมด 112 pages

เว็บไซต์ backlinko ที่มีการ Index หน้าเพจเว็บไซต์ไปทั้งหมด 112 pages

ที่มาภาพ: backlinko.com

หลังจากนั้นให้เข้าไปตรวจสอบใน Google Search Console ว่ามีจำนวนการ Index หน้าอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งจำนวนนี้ควรสอดคล้องกันกับผลลัพธ์ หน้ามีจำนวนที่เกินขึ้นมามากๆ แสดงว่าเกิด Duplicate Content ขึ้นแล้ว

  • ตรวจสอบ URL Inspection
ตรวจสอบ URL Inspection

ที่มาภาพ : ahrefs.com

วิธีการตรวจสอบ Duplicate Content อีกหนึ่งวิธีที่ง่ายเช่นกัน ให้เข้าไปที่ Google Search Console แล้วนำ URL พิมพ์ลงไปในช่องค้นหา หลังจากนั้นจะมีหน้า URL Inspection ขึ้นมา คุณสามารถดูได้ว่ามีการ Duplicate Content หรือไม่ รวมถึงยังใช้เพื่อตรวจสอบ Meta Title, Description และ H1 ในรายงานแท็ก HTML อีกด้วย

วิธีการตรวจสอบ Duplicate Content

ที่มาภาพ : ahrefs.com

  • ตรวจสอบการคัดลอกเนื้อหาข้ามเว็บไซต์

หากคุณสงสัยว่าเว็บไซต์ของคุณถูก Copy เนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ไปบ้างหรือเปล่าสามารถทำการตรวจสอบได้ง่ายๆ ดังนี้

ตรวจสอบการคัดลอกเนื้อหาข้ามเว็บไซต์

ที่มาภาพ : ahrefs.com

หากเป็นเว็บไซต์ที่มีจำนวนหน้าไม่มากให้นำประโยคบนหน้าเว็บไซต์ใส่เข้าไปในเครื่องหมาย “…” แล้วทำการพิมพ์ลงไปในหน้า Google แบบนี้จะช่วยทำให้ปรากฏผลการค้นหาของหน้าเว็บไซต์ที่มีประโยคเดียวกันขึ้นมา

ใส่เครื่องหมายช่วยทำให้ผลการค้นหาของหน้าเว็บไซต์ที่มีประโยคเดียวกันขึ้นมา

แต่ถ้าทำการกดค้นหาแล้วไม่มีใครที่ทำการ Copy เนื้อหาบนเว็บไซต์ไปก็จะทำการขึ้นผลลัพธ์มาแค่ลิงก์เดียวแบบนี้ครับ

เว็บไซต์ไหนที่มีหน้าจำนวนมากสามารถใช้ Tool เป็นตัวช่วยได้

ที่มาภาพ : ahrefs.com

ส่วนเว็บไซต์ไหนที่มีหน้าจำนวนมากสามารถใช้ Tool เป็นตัวช่วยได้ อย่าง Copyscape เองก็นับเป็นตัวช่วยที่ทำให้ค้นหาเว็บไซต์ที่ทำการ Copy เนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายมากขึ้น

วิธีแก้ไขหากพบว่ามี Duplicate Content

รู้ถึงวิธีการตรวจสอบกันไปแล้ว คราวนี้มาดูวิธีการจัดการกับ Duplicate Content ที่เกิดขึ้นกันดีกว่าครับ โดยวิธีการแก้ไขจะมีหลายวิธีด้วยกันขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดปัญหา ดังนี้

  • วิธีการแก้ Duplicate Content จากการโดนลอกเนื้อหา

หากเว็บไซต์ของคุณโดนคัดลอกเนื้อหาไปเผยแพร่ สามารถทำการแจ้ง Google เพื่อให้ Google เอาคอนเทนต์นั้นๆ ออกจาก Search Engine หรือแบน Account Adsense ได้ โดยสามารถเข้าไปแจ้งได้เลยที่ https://support.google.com/legal/troubleshooter/1114905

  • ทำ Canonical Tags

Canonical Tags คือ การทำให้ Google รู้ว่าจะต้อง Index หน้าไหน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ Index ผิดหน้า ใช้ได้ในกรณีที่มีข้อมูลซ้ำกันหลายหน้า หรือเว็บไซต์มีเนื้อหาที่คล้ายๆ กันมากจนเกินไป นอกจากนี้ยังช่วยระบุ URL ที่ต้องการให้ผู้ใช้เห็นในผลการค้นหา เช่น คุณอาจต้องการให้ผู้ใช้เข้าถึงหน้าผลิตภัณฑ์ชุดกระโปรงสีเขียวผ่าน https://www.example.com/dresses/green/greendress.html ไม่ใช่ https://example.com/dresses/cocktail?gclid=ABCD เป็นต้น 

วิธีแก้ไขหากพบว่ามี Duplicate Content

ที่มาภาพ: backlinko.com

โดยวิธีการทำ Canonical Tags ในเว็บไซต์ที่เป็น WordPress จะง่ายหน่อยตรงที่สามารถติดตั้ง Plugin Yoast SEO เอาไว้ใช้แก้ไขได้เลย

ติดตั้ง Plugin Yoast SEO เอาไว้ใช้แก้ไข

ที่มาภาพ: yoast.com

แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ได้ใช้ WordPress จะต้องทำการแก้ไขโค้ดให้วาง Canonical Tags นี้พร้อม URL ของหน้าเป้าหมาย ในส่วน <head> … </head> ของ HTML เช่น <link rel=”canonical” href=”Example.com” /> 

ไม่ได้ใช้ WordPress จะต้องทำการแก้ไขโค้ดให้วาง Canonical Tags นี้พร้อม URL

ที่มาภาพ: seranking.com

  • ทำ Redirect

การทำ Redirect คือ การเปลี่ยนเส้นทางของ URL บนเว็บไซต์ให้เป็นไปตามที่ต้องการ ซึ่งการทำ Redirect จะมีหลายแบบ เช่น Redirect 301, Redirect 302, Redirect 303 ที่จะทำหน้าที่เปลี่ยนเส้นทางของ URL แตกต่างกัน แต่สำหรับในการทำ Redirect ที่แก้เรื่อง Duplicate Content นั้นจะใช้ Redirect 301 ที่เป็นเส้นทางของ URL บนเว็บไซต์แบบถาวร (Permanent Redirection) 

ลองอ่านความหมาย ความสำคัญและวิธีการทำ ​​Redirect 301 แบบละเอียดดูได้ใน กันอันดับร่วง! ด้วยการทำ Redirect 301 [สอนขั้นตอนการทำแบบละเอียดที่นี่] ดูนะครับรับรองว่าช่วยแก้ปัญหา Duplicate Content ที่เจอได้อย่างแน่นอน

  • ปรับเปลี่ยนคอนเทนต์ให้เป็น Original Content เสมอ

หากต้องการนำคอนเทนต์ไปเผยแพร่ในช่องทางอื่นก็ควรที่จะทำการปรับเปลี่ยนเนื้อหาคอนเทนต์ให้มีความเป็น Original Content หรือการทำคอนเทนต์ขึ้นใหม่แบบไม่ซ้ำกับใคร แล้วจึงค่อยส่ง Backlink กลับมาให้เว็บไซต์ เพื่อป้องกันการเกิด Duplicate Content ที่จะตามมา

สรุป

Duplicate Content คือ หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการทำ SEO ที่ทำให้อันดับตกลงหรือเสี่ยงต่อการโดนลงโทษจาก Google เนื่องจากเป็นการทำเนื้อหาคอนเทนต์บนเว็บไซต์ซ้ำกันจำนวนมาก และ Google เองก็ให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพของเนื้อหา หากเว็บไซต์ไหนที่มีเนื้อหาซ้ำๆ กัน  แน่นอนว่า Google ก็คงไม่อยากที่จะจัดขึ้นอันดับในหน้าต้นๆ เพราะจะทำให้ User Experience ในการค้นหาไม่น่าประทับใจ เพราะเข้าไปในเว็บไซต์ไหนก็มีข้อมูลที่เหมือนๆ กัน 

ดังนั้น หากมี Duplicate Content แนะนำให้หาทางแก้ไขให้กลับมามีหน้าที่เป็นต้นฉบับเพียงหน้าเดียวนะครับ 

อ้างอิง

https://backlinko.com/hub/seo/duplicate-content
https://www.linkedin.com/pulse/duplicate-content-basics-issues-remedies-chris-siebeneck/
https://ahrefs.com/blog/duplicate-content/
https://developers.google.com/search/docs/crawling-indexing/consolidate-duplicate-urls

ผู้เขียน

Picture of NerdOptimize Team
NerdOptimize Team
Tag:

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

NoFollow

Nofollow Link คืออะไร บทความนี้มีคำอธิบายให้ทั้งหมดครับ

เจาะลึก Nofollow Link คืออะไร ทำไมนักทำ SEO ถึงไม่ค่อยชอบใจ เดี๋ยวบทความนี้จะมีเฉลยครับ บอกได้เลยว่า คุณจะรู้เรื่องเกี่ยวกับ Backlink เพิ่มขึ้นแน่นอน

อ่านบทความ ➝
image-alt-text-optimization-for-seo

Alt Text คืออะไร ถ้าอยากให้รูปภาพขึ้นไปติดบนGoogle ห้ามพลาด !

Alt Text คืออะไร วันนี้เราจะมาอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด อ่านเสร็จสามารถทำตามได้ทันที ถ้าหากใครอยากให้รูปภาพขึ้นไปติดอันดับบน Google ห้ามพลาดบทความนี้ครับ

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top