สาย SEO ทุกคนต่างก็รู้ว่า URL นั้นมีผลต่อการทำ SEO เพราะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะแสดงให้อัลกอริทึ่มเห็นว่าหน้าต่างเว็บไซต์หน้านั้นกำลังบอกเล่าเรื่องอะไรอยู่และบอกเล่าเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดคำใดเป็นพิเศษ ทำให้ในการทำ seo audit หรือการปรับแก้ให้เว็บไซต์ตรงกับเงื่อนไข SEO มากขึ้นจะต้องมีการแก้ URL หรือแม้แต่ย้ายเว็บไซต์ ย้ายเซิร์ฟเวอร์ซึ่งส่งผลให้ URL เกิดความเปลี่ยนแปลงและทำให้ User ที่คลิกเข้า URL เดิมไม่สามารถเข้าดูได้กลายเป็นส่งผลเสียต่ออันดับ SEO แทน ฟังดูเป็นปัญหาที่น่าปวดหัว
แต่เรื่องนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการทำ Redirect ซึ่งจะต้องทำอะไรบ้าง บทความนี้ Nerd มีสรุปทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ URLRedirect มาฝากกัน
Redirect คืออะไร ?
Redirect คือ การเปลี่ยนเส้นทางจาก URL หนึ่งไปยังอีก URL หนึ่งเมื่อมีการเข้าถึง URL หรือลิงก์ที่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อ URL การย้ายเว็บไซต์ การปรับปรุงโครงสร้าง URL หรือการลบหน้าที่ไม่จำเป็น
การทำ Redirect นี้จะช่วยให้ User เข้าไปยังหน้าต่างเว็บไซต์ที่ต้องการได้และยังทำให้เครื่องมือค้นหา (Search Engine) สามารถเข้าไปเก็บข้อมูลจัดอันดับได้ตามเดิมส่งผลให้อันดับ SEO ยังคงถูกดันขึ้นไปยังอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาด้วย
Redirect สำคัญอย่างไรต่อการทำ SEO บ้าง ?
สำหรับคนทำเว็บและนักการตลาดออนไลน์โดยเฉพาะด้าน SEO แล้ว การให้ความสำคัญกับ User และอัลกอริทึ่มของ Google นับว่ามีความสำคัญมาก ทำให้การทำ URL Redirection มีความสำคัญมาก มาดูกันว่าสำคัญอย่างไรบ้าง
- ลดโอกาสเกิด 404 Errors
การเข้าเว็บไซต์แล้วพบหน้า 404 Errors หรือ 404 not found ย่อมไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีสำหรับ User ทำให้เมื่อ Google พบประสบการณ์เดียวกันก็จะหักคะแนนเว็บไซต์ของเราทันที ซึ่งหากมีการตรวจสอบและทำการ Redirect ให้ Url นั้นสามารถพาไปยังปลายทางที่ถูกต้องได้ ก็จะทำให้การเก็บข้อมูลของ Search Engine ไม่สะดุดและยังรักษา User Experience เอาไว้ได้ในระดับที่ดี
- รักษา Link Equity
การทำ Redirect ที่เหมาะสมสามารถช่วยส่งผ่านคุณค่าของลิงก์ (Link Equity) จากหน้าเก่าไปยังหน้าใหม่ได้อย่างเต็มที่ ทำให้อัลกอริทึ่มสามารถเก็บข้อมูลต่อจากหน้าลิงก์เดิมได้อย่างต่อเนื่อง จึงไม่เสียคะแนนการจัดอันดับ SEO ไป
- ลดการเสีย Backlink
การทำ Redirect ที่เหมาะสมและถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถรักษา Backlink ที่สร้างเอาไว้ได้ ทำให้เราไม่เสียคะแนนในการจัดอันดับ SEO ในด้านการทำ Off-Page SEO
- รองรับการปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์
การเปลี่ยน URL ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะเราต้องการเปลี่ยนชื่อ URL เดิมให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดแล้วเพิ่มคะแนน SEO ให้สูงขึ้น หรือสอดคล้องกับโครงสร้างเว็บไซต์ที่ต้องการปรับปรุงใหม่เพื่อให้อัลกอริทึ่มของ Search Engine สามารถเก็บข้อมูลได้สะดวกและยังทำให้นักพัฒนาเว็บไซต์หรือเหล่าผู้ดูแลสามารถดูแลจัดการได้ง่ายมากขึ้น
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามข้อมูล
การเก็บข้อมูลอย่างละเอียดเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนทำเว็บไซต์และนักการตลาด ซึ่งการทำ Redirect จะทำให้การเก็บ วิเคราะห์และติดตามข้อมูลเชิงลึกอย่างการโต้ตอบของ User ทำได้สะดวกและแม่นยำมากขึ้น สามารถนำไปพัฒนาเสริมประสิทธิภาพด้านการตลาดต่อไปได้
ทราบได้อย่างไรว่าเวลาไหนที่ควรต้อง Redirect เว็บไซต์ ?
การทำ Redirect เมื่อไหร่นั้น เราต้องดูที่ความเหมาะสมของเว็บไซต์หรือหน้าเว็บไซต์ว่ามีสถานการณ์ไหนบ้างที่ต้องการทำ Redirect URL โดยหลักแล้วจะต้องทำเมื่อมีสถานการณ์ดังนี้
- เมื่อมีการเปลี่ยน URL หากต้องการเปลี่ยนชื่อหรือ URL ของเว็บไซต์เพื่อการทำอันดับ SEO หรือเปลี่ยนเพื่อให้มีความเป็นมิตรกับ User มากขึ้น ทำให้ปลายทางของ URL เปลี่ยนไปจึงต้องทำการ Redirect ให้ปลายทางกลายเป็นหน้าเดิมเพื่อรักษาข้อมูลหรือคุณค่าเว็บไซต์ (Link Equity) เอาไว้และไม่ทำให้เกิดผลเสียกับอันดับ SEO
- เมื่อมีการย้ายเว็บไซต์ หากต้องการเปลี่ยนโดเมนเว็บไซต์หรือย้ายเว็บไซต์ เช่น การเปลี่ยนจาก HTTP ไปเป็น HTTPS จะต้องมีการเปลี่ยน URL ด้วย จึงต้องทำการ Redirect ให้หน้าเว็บไซต์ยังสามารถเข้าใช้งานได้
- เมื่อมีการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ หากมีการจัดหมวดหมู่ของเว็บไซต์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ Sub Domain หรือ Sub Directory ก็ทำให้ URL ต้องเปลี่ยนตามไปด้วยทั้งนั้น จึงต้องทำการ Redirect ให้หน้าเว็บยังคงเข้าถึงได้ด้วยเช่นกัน
- เมื่อต้องการแก้ไขหน้าเว็บ 404 Errors การคลิกเข้าไปเจอกับ Broken Link หรือ 404 Errors นั้นจะส่งผลต่อ User Experience และอันดับของ SEO ดังนั้น ต้องทำการ Redirect ให้ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องหรือหน้าใหม่ เพื่อไม่ให้ลิงก์นั้นๆ กลายเป็นลิงก์เสีย
- เมื่อต้องการรวมเนื้อหาจากหลายหน้า หากมีเนื้อหาซ้ำซ้อน (Duplicate Content) เราสามารถใช้การทำ Redirect เข้ามารวมเนื้อหาไว้ในหน้าเดียวได้
ประเภทของ Redirect ที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง ?
การทำ Redirects มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ซึ่งในการเลือกใช้นั้นจะต้องเลือกตามความเหมาะสมกับแต่ละประเภทด้วย เรามาดูการทำ Redirect ทั้ง 5 ประเภทนี้กันว่าควรจะเลือกอย่างไร
301 Redirect
Redirect 301 เป็นการ Redirect ที่เหมาะสำหรับการย้าย URL เก่าไปยัง URL ใหม่อย่างถาวรพร้อมกับย้ายเอาคุณค่าเว็บไซต์ (Link Equity) หรือเหล่าคะแนน Backlink Authority ไปทั้งหมด ทำให้ไม่ส่งผลกับการเก็บคะแนนของ SEO จึงได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อต้องการเปลี่ยน URL จากเดิมเป็นของใหม่
302 Redirect
302 Redirect จะมีลักษณะคล้ายกับ 301 Redirect เลย โดยสามารถเอาคุณค่าของเว็บไซต์ (Link Equity) และ Backlink Authority มาได้เพียงแต่อาจจะไม่ทั้งหมด ความแตกต่างของการ Redirect ทั้งสองนี้อยู่ที่ 302 Redirect เป็นการย้าย URL เพียงชั่วคราวเท่านั้น ส่วนใหญ่มักใช้เมื่อต้องการทำ A/B Test หรือเปรียบเทียบหน้าต่างเว็บไซต์หรือใช้เมื่อต้องการโปรโมท Landing Page ชั่วคราว
303 Redirect
303 Redirect จะมีความพิเศษต่างจาก 301 และ 302 ที่เป็นการพาไปยังหน้าที่จะบอก User ว่า “ดูอื่นๆ” หรือเปลี่ยนช่องทาง URL ใหม่ ซึ่งมักจะใช้ 303 Redirect เมื่อมีการให้ User กรอกข้อมูลหรือแบบฟอร์มบางอย่างและกดส่ง 303 Redirect ก็จะพา User ไปหน้าขอบคุณเพื่อบอกว่าเสร็จสิ้น ป้องกันไม่ให้มีการส่งข้อมูลซ้ำอีกและบอกกับ User ว่าจะต้องกดไปยัง URL อื่นเพื่อเข้าเว็บไซต์นั่นเอง
307 Redirect
307 Redirect จะมีความคล้าย 302 Redirect อยู่บ้างตรงที่เป็นการย้ายแบบชั่วคราว แต่จะต่างกันที่เป็นการย้ายเฉพาะ HTTP ซึ่งจะเป็นการย้ายหน้าเว็บไซต์และทรัพยากรชั่วคราวโดยรักษา HTTP ไว้ อย่างไรก็ตามการใช้ 307 Redirect นั้นอาจมีปัญหาได้หากใช้กับเบราว์เซอร์รุ่นเก่า ดังนั้น การใช้ 302 Redirect อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าแต่ข้อเสียของ 302 Redirect คือไม่รับประกันการรักษา HTTP
308 Redirect
308 Redirect อีกหนึ่งรูปแบบของการทำ Technical SEO ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับ 301 Redirect ทุกประการ สามารถใช้แทนกันได้ในทุกกรณี
ข้อควรระวังก่อนการทำ Redirect ให้เว็บไซต์มีอะไรบ้าง ?
การทำ Redirect นับว่าเป็นการรองรับการเปลี่ยน URL ที่ค่อนข้างมีรายละเอียดเพราะนอกจากต้องใช้ให้เหมาะสมแล้ว ยังมีข้อควรระวังที่อาจทำให้เกิดปัญหาและส่งผลไปถึงการจัดอันดับ SEO ได้ โดยมีข้อควรระวังอยู่ 5 ข้อด้วยกัน ดังนี้
ระวังการ Redirect Loop
Redirect Loop เป็นการย้ายหน้าเว็บไซต์แบบวนซ้ำ จากหน้าเก่าไปยังหน้าใหม่แล้วก็กลับมายังหน้าเก่าทำให้เบราว์เซอร์ติดอยู่ในวงจรการ Redirect อย่างไม่สิ้นสุด ทำให้ User ไม่สามารถเข้าดูเว็บไซต์ได้ตามต้องการ จึงควรมีการตรวจสอบการทำ Redirect ให้ดี โดยการตรวจสอบนั้นมักมีการใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยอย่าง SerpWorx , Semrush Site Audit หรือใช้ส่วนขยายอย่าง Redirect Path มาตรวจสอบเส้นทางของเว็บไซต์
อย่าทำ Redirect Chain
Redirect Chain จะต่างจาก Redirect loop ที่เป็นการเปลี่ยนเส้นทางต่อไปเรื่อยๆ จากหน้า A ไปยังหน้า C ขณะเดียวกัน B เองก็ไปยังหน้า C ต่อกันเหมือนลูกโซ่ไม่สิ้นสุด จึงมีการเรียกว่า Redirect Chains and Loop นั่นเอง ซึ่งการ Redirect ไม่สิ้นสุดนี้จะทำให้เว็บไซต์ช้าลงและยังเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ได้ไม่ครบถ้วนจนถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพไป ส่งผลให้อันดับ SEO ลดลง
ตรวจสอบ Link Equity
หนึ่งในเป้าหมายของการ Redirect คือ การที่เว็บไซต์จะยังคงเก็บรักษาคะแนน SEO และ Backlink Authority เอาไว้ได้ดังเดิม ดังนั้น หลังจากการทำ Redirect เรียบร้อยแล้วควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่าข้อมูลเหล่านั้นถูกย้ายตามมาด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO
หลีกเลี่ยงการ Redirect ไปยังหน้าที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกัน
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการ Redirect คือ การที่เนื้อหาในหน้า URL ใหม่นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับ URL เดิมเลย
ซึ่งอาจส่งผลทำให้ User ที่เข้ามากดออกโดยทันที เพราะเนื้อหาใหม่ไม่ตรงกับสิ่งที่คาดว่าจะได้เห็น เกิดเป็น Bounce Rate ส่งผลต่อ User Experience และยังอาจทำให้ Search Engine ที่เข้ามาเก็บข้อมูลมองว่าเป็นคนละหน้าเว็บไซต์ ทำให้เริ่มเก็บคะแนน SEO ใหม่ อันดับก็จะร่วงลงในที่สุด
Redirect ในส่วน Internal Linking
การตรวจสอบ Internal Links เป็นส่วนที่หลายคนมักจะลืมไปเพราะโดยส่วนใหญ่แล้วการ Redirect มักจะย้ายมาด้วยทั้งหมด แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันดับร่วงอย่างไร้คำตอบ จึงควรตรวจสอบและย้ายมาด้วย เพื่อไม่ให้ Search Engine สับสนและเกิดปัญหาในการค้นหาหน้าเว็บไซต์ของเราได้
Redirect เป็นเปลี่ยนแปลงลิงก์เพื่อ User Experience ที่คนทำ SEO ต้องให้ความสำคัญ
Redirect แปลว่า การเปลี่ยนเส้นทาง ดังนั้น หากคุณต้องการเปลี่ยนเส้นทางของเว็บไซต์ด้วยการปรับปรุงบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ URL จะต้องทำการ Redirect เสมอ เพราะอย่างที่รู้กันว่าการจัดอันดับของ Google นั้นจะเน้นไปที่ User Experience เป็นหลัก และการที่ User สามารถเข้าเว็บไซต์ไปยังหน้าที่ต้องการได้เมื่อมีการเปลี่ยน URL จึงเป็นเป้าหมายที่การทำ Redirect สามารถเข้ามาแก้ปัญหาได้ทั้งยังช่วยให้คะแนน SEO และ Backlink Authority ที่เคยสร้างมาไม่สูญเปล่า ไม่ทำให้เราเสีย User และอันดับ SEO ไปขณะที่กำลังพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้นด้วย