เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางเว็บไซต์ถึงโหลดเร็วทันใจ แต่บางเว็บกลับต้องรอจนท้อถึงจะเข้าใช้งานได้?
สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการสร้าง Web Page ที่ทั้งสวยงามและใช้งานได้จริง ความเร็ว คือหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม และปัจจัยลึกๆ ที่ส่งผลโดยตรงก็คือ Bandwidth แล้วแบนด์วิดท์ หมายถึงอะไร
ถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ Bandwidth คือ ปริมาณข้อมูลสูงสุดที่นำส่งจากเซิร์ฟเวอร์มายังผู้ใช้งาน เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ แบนด์วิดท์ คือ ท่อที่ใช้ลำเลียงปริมาณข้อมูลที่จะทำการรับ-ส่ง ดังนั้น การเข้าใจว่า Bandwidth คืออะไร และทำงานอย่างไร จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับใครก็ตามที่กำลังมองหาวิธีทำเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของผู้ใช้งานและ SEO เพราะไม่ว่าคุณจะมีดีไซน์เว็บไซต์ที่สวยแค่ไหน ถ้าโหลดช้า ลูกค้าก็พร้อมกดปิดเว็บในไม่กี่วินาทีเท่านั้น ซึ่งนักการตลาดและคนทำเว็บไซต์จะต้องรู้อะไรบ้าง ตามไปดูกันต่อได้เลย
Bandwidth (แบนด์วิดท์) คืออะไร ?
แบนด์วิดท์ หรือ Bandwidth คือ ปริมาณข้อมูลสูงสุดที่สามารถถ่ายโอนจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังผู้ใช้งานผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในระยะเวลาหนึ่งหน่วย เช่น วินาที โดยทั่วไป Bandwidth จะวัดเป็นหน่วย bps (bit per second) เช่น Mbps หรือ Gbps ขึ้นอยู่กับขนาดของข้อมูลและความเร็วที่ต้องการรองรับ
เมื่อพูดถึงการออกแบบเว็บไซต์ หรือพัฒนา Web Page ขึ้นมา หลายคนอาจไม่ทันนึกว่า Bandwidth คืออีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีผลกระทบโดยตรงต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน เพราะ Bandwidth ทำหน้าที่เสมือนท่อส่งข้อมูลให้กับเว็บไซต์ ทั้งในส่วนของรูปภาพ วิดีโอ และองค์ประกอบต่างๆ ถ้าท่อนี้รับปริมาณการใช้งานและส่งข้อมูลต่างๆ ได้ดี (หรือก็คือมี Bandwidth สูง) ก็จะทำให้การใช้งานเว็บเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด แต่ถ้า Bandwidth จำกัด ก็อาจทำให้ผู้ใช้งานต้องรอนาน ส่งผลต่อความพึงพอใจ และอาจทำให้พวกเขาเลือกปิดหน้าเว็บไปในที่สุด
นอกจากนี้ Bandwidth ยังมีบทบาททางอ้อมต่อการทำ SEO เพราะความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google ใช้ประเมินอันดับการค้นหาเช่นกัน
Bandwidth แตกต่างจาก Speed อย่างไร
แล้ว Bandwidth กับ Speed ต่างกันอย่างไร? มาทำความเข้าใจความหมายของ 2 คำนี้กัน
อย่างที่บอกไปแล้วว่า Bandwidth คือ ปริมาณข้อมูลสูงสุดที่สามารถส่งผ่านจากเซิร์ฟเวอร์มายังผู้ใช้งานได้ภายในระยะเวลาหนึ่งหน่วย เช่น 100 Mbps หมายถึง ในหนึ่งวินาทีสามารถส่งข้อมูลได้สูงสุด 100 เมกะบิต
ส่วน Speed หรือความเร็วอินเทอร์เน็ต คือ ความเร็วจริงที่ผู้ใช้งานรู้สึกได้ขณะใช้งาน เช่น ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ การดูวิดีโอ การดาวน์โหลดไฟล์ ฯลฯ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยทำให้ความเร็วนั้นทำงานได้ดีหรือช้า เช่น ระยะทางจากเซิร์ฟเวอร์ ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ใช้งาน ฯลฯ
อธิบายให้เข้าใจง่ายมากขึ้น คือ Bandwidth จะเหมือนกับจำนวนเลนของถนน ซึ่งถ้าเรามีถนนหลายเลน (Bandwidth มาก) ก็จะสามารถรองรับรถได้จำนวนมากในเวลาเดียวกัน ส่วน Speed จะเหมือนกับความเร็วที่รถวิ่งได้บนถนน ถึงแม้ว่าถนนจะมีหลายเลน แต่ถ้าเกิดรถติดหรือมีการจำกัดความเร็ว รถก็ยังวิ่งช้าอยู่ดี
ซึ่งการเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Bandwidth กับ Speed จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับการวางแผนทำเว็บไซต์และดูแลการใช้งานเว็บไซต์ เพราะหากเลือก Bandwidth ไม่เหมาะสม หรือประเมิน Speed ผิดพลาด อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้า มีปัญหาการเข้าถึง ส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX) และยังลดโอกาสในการทำอันดับ SEO ซึ่งอาจกระทบถึงยอดขายและความน่าเชื่อถือของธุรกิจได้ในระยะยาว
Bandwidth มีการทำงานอย่างไร ?
เวลามีคนเปิดเว็บไซต์จะเหมือนกับการขอข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะถูกส่งกลับมาเป็นไฟล์ รูปภาพ หรือวิดีโอ ซึ่ง Bandwidth จะทำหน้าที่เป็นถนนขนข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ไปหาผู้ใช้งาน ถ้าถนนกว้าง (Bandwidth เยอะ) ข้อมูลก็วิ่งได้พร้อมกันหลายชุด เว็บจึงโหลดเร็ว แต่ถ้าถนนแคบ (Bandwidth น้อย) ข้อมูลต้องรอคิว เว็บจึงโหลดช้า ซึ่งขั้นตอนการทำงานนั้นจะแบ่งออกเป็นอะไรแบบละเอียดบ้างนั้น ตามไปดูพร้อมกันเลยดีกว่า
- มีคำขอจากผู้ใช้เว็บไซต์ (User Request) เมื่อมีคนคลิกเปิดเว็บไซต์ เบราว์เซอร์จะส่งคำขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ เพื่อเรียกข้อมูลจาก Web Page นั้นๆ
- เกิดการส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ เช่น HTML, รูปภาพ, CSS, JavaScript ฯลฯ ไปยังอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน ซึ่ง Bandwidth จะเป็นตัวควบคุมว่าในแต่ละวินาทีว่าจะส่งได้มากน้อยแค่ไหน
- ยิ่ง Bandwidth สูง ข้อมูลยิ่งถึงเร็ว ทำให้หน้าเว็บโหลดไว แต่หาก Bandwidth ต่ำ หรือมีผู้ใช้งานจำนวนมากในเวลาเดียวกัน การโหลดเว็บไซต์อาจช้าลง หรือเกิดการดีเลย์ได้
เห็นถึงการทำงานไปแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า Bandwidth ดูตรงไหน?
คำตอบคือ คุณสามารถดู Bandwidth ที่เว็บไซต์ใช้ได้ผ่านแผงควบคุมของผู้ให้บริการโฮสติ้ง เช่น cPanel, DirectAdmin ฯลฯ หรือใช้เครื่องมือวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ เช่น GTmetrix, PageSpeed Insights ฯลฯเพื่อดูปริมาณข้อมูลที่โหลดในแต่ละหน้า และประเมิน Bandwidth ที่ใช้ไปได้ด้วย
Bandwidth มีความสำคัญอย่างไรกับเว็บไซต์และ SEO ?
Internet bandwidth ไม่ได้มีผลแค่เรื่องความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้งาน และโอกาสในการทำอันดับบน SERPs จากการทำ SEO อีกด้วย โดย Bandwidth จะส่งผลกระทบในเรื่องอะไรบ้างนั้น ลองดูในแต่ละหัวข้อดังต่อไปนี้ได้เลย
- ส่งผลต่อความเร็วในการโหลด URL ของหน้าเว็บนั้นๆ หาก Bandwidth ต่ำ การโหลด URL ของแต่ละหน้าเว็บไซต์จะใช้เวลานาน ส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้งาน และยังลดคะแนนด้าน Core Web Vitals ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ SEO
- รองรับผู้ใช้งานจำนวนมากพร้อมกัน เว็บไซต์ที่มี Internet bandwidth ที่เพียงพอ จะสามารถรองรับผู้เข้าใช้งานจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกัน โดยไม่ทำให้เว็บช้าหรือโหลดล่ม ช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้เสถียรในช่วงเวลาที่มี Traffic สูง
- สร้างประสบการณ์ใช้งาน (UX) ที่ดีขึ้น เว็บที่โหลดไว ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกดี ใช้งานได้นานขึ้น ลด Bounce Rate และเพิ่มโอกาสในการเกิด Conversion มากกว่าเว็บที่โหลดช้า
- มีผลต่อการจัดอันดับ SEO เพราะ Google ให้ความสำคัญกับความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Page Speed) ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจาก Bandwidth หากเว็บไซต์มี Bandwidth เพียงพอและระบบโดยรวมทำงานดีจะช่วยให้หน้าเว็บโหลดไว มีคะแนน Core Web Vitals ที่ดี และยังเอื้อต่อการที่ Google Bot จะสามารถเข้า Index หน้าเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการเลือก Bandwidth ให้เหมาะกับเว็บไซต์ ต้องพิจารณาอะไรบ้าง ?
การเลือก Bandwidth สำหรับเว็บไซต์ไม่ใช่แค่เลือกให้มากที่สุดเท่าที่มี แต่ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เพื่อไม่ให้เสียค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ และนี่คือ 5 เทคนิคการเลือก Bandwidth ให้เหมาะกับเว็บไซต์ที่คุณควรพิจารณาก่อน ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น เราได้สรุปไว้ให้แล้วด้านล่างนี้
วิเคราะห์ปริมาณ Traffic ที่คาดว่าจะเข้าเว็บไซต์
อย่างแรกที่ควรประเมินเลยคือ ปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ในแต่ละวันหรือเดือน รวมถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เช่น จำนวนหน้าที่เปิดต่อครั้ง ขนาดโดยเฉลี่ยของหน้าเว็บแต่ละหน้า ฯลฯ เพราะทุกครั้งที่มีคนเข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น HTML, รูปภาพ, วิดีโอ หรือสคริปต์ต่างๆ จะถูกส่งออกจากเซิร์ฟเวอร์ และกิน Bandwidth ไปด้วย
ดังนั้น จึงควรคำนวณสิ่งเหล่านี้ก่อนเพื่อพิจารณาปริมาณข้อมูลแล้วเลือก Bandwidth ให้เหมาะสม โดยมีสูตรการคำนวณเป็น Bandwidth (Mbps) ≈ (จำนวนผู้เข้าชม x จำนวนหน้าที่ดู x ขนาดเฉลี่ยของหน้าเว็บ (MB)) ÷ เวลาใช้งานสูงสุด (วินาที)
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีผู้เข้าชม 5,000 คนต่อวัน โดยแต่ละคนเปิดเฉลี่ย 3 หน้า และขนาดเฉลี่ยของแต่ละหน้าเว็บคือ 2MB ช่วงเวลาใช้งานสูงสุดคือ 1 ชั่วโมง (3600 วินาที)
Bandwidth คือ (5,000 x 3 x 2) ÷ 3600 = 8.33 Mbps
หมายความว่า ในช่วงเวลาที่มีคนเข้าใช้งานมากที่สุด เว็บควรมี Bandwidth อย่างน้อย 8.33 Mbps เพื่อรองรับการโหลดข้อมูลได้อย่างราบรื่นนั่นเอง
พิจารณาเนื้อหาประเภทของเว็บไซต์
ประเภทของเนื้อหาที่แสดงบนเว็บไซต์มีผลต่อการเลือก Bandwidth ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเว็บไซต์เน้นแสดงเนื้อหาที่มีความละเอียดสูง เช่น วิดีโอ รูปที่ต้องแสดงผลแบบละเอียด การทำสตรีมมิ่ง ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ต้องใช้ Bandwidth มากในการส่งให้ผู้ใช้งาน จึงควรเตรียม Bandwidth ให้เพียงพอ โดยเฉพาะช่วงที่มีผู้เข้าใช้งานพร้อมกันหลายคน
หรือถ้าหากเว็บไซต์มีไฟล์ให้ดาวน์โหลด เช่น PDF, ZIP, เป็นสื่ออื่นๆ หรือเป็นเว็บไซต์ประเภท E-Commerce ที่มีรูปสินค้า ระบบตะกร้า และข้อมูลหลังบ้านจำนวนมาก ก็ควรเตรียม Bandwidth ไว้เผื่อการส่งข้อมูลในแต่ละกิจกรรมของผู้ใช้งานด้วย
ในทางกลับกันเว็บไซต์ประเภท บล็อก, ข่าว หรือคอนเทนต์ที่เน้นข้อความเป็นหลัก โดยไม่มีไฟล์ขนาดใหญ่ มักใช้ Bandwidth น้อยกว่า เพราะข้อมูลที่ต้องโหลดมีขนาดเล็กและไม่ซับซ้อนมากนัก
เผื่อ Bandwidth สำหรับช่วงพีค (Peak Traffic)
แม้เว็บไซต์จะมีการประเมิน Bandwidth จากจำนวนผู้ใช้งานปกติแล้ว แต่สิ่งที่หลายคนมักมองข้ามคือ การเผื่อ Bandwidth สำหรับช่วงเวลาที่มีการใช้งานสูงผิดปกติ หรือที่เรียกว่า Peak Traffic ที่มักจะเกิดในช่วงที่เป็นหน้าเทศกาลหรือการทำแคมเปญการตลาดต่างๆ เช่น ช่วงที่ออกโปรโมชันพิเศษ ฯลฯ ในช่วงเวลาเหล่านี้ ปริมาณ Traffic ที่เข้ามาใช้งานเว็บไซต์อาจจะสูงมากกว่าปกติหลายเท่า ถ้าไม่มีการเผื่อ Bandwidth ไว้ล่วงหน้า อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลงหรือถึงขั้นล่ม
เพื่อป้องกันปัญหานี้ โดยทั่วไปควรเผื่อ Bandwidth เพิ่มจากค่าเฉลี่ยประมาณ 30–50% เพื่อให้เว็บไซต์สามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้ในช่วงเวลา Peak Traffic
เลือกโฮสติ้งที่สามารถปรับ Bandwidth ได้ตามต้องการ
การเลือกบริการโฮสติ้งที่ดีไม่ใช่แค่ดูเรื่องราคาหรือความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงความสามารถในการขยาย Bandwidth ได้แบบยืดหยุ่นด้วย เพราะเมื่อเว็บไซต์เริ่มมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น หรือเกิดช่วงที่มี Traffic สูงผิดปกติ หากโฮสติ้งไม่สามารถปรับ Bandwidth ให้ทันเวลา เว็บไซต์อาจล่มหรือโหลดช้าได้ทันที
ดังนั้น จึงควรเลือกโฮสติ้งแบบ Cloud Hosting หรือ VPS (Virtual Private Server) เพราะสามารถ Scale ระบบให้อัตโนมัติตามการใช้งานจริง ไม่จำเป็นต้องย้ายเซิร์ฟเวอร์ใหม่ หรือสั่งซื้อแพ็กเกจใหม่ทุกครั้งที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้น
ใช้ระบบ Cache และ CDN เพื่อลด Bandwidth
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดการใช้ Bandwidth ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การใช้ระบบแคช และ Content Delivery Network (CDN) เพื่อเก็บข้อมูลไว้ให้ใกล้กับผู้ใช้งานมากที่สุด
โดย CDN จะเป็นเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ทำหน้าที่เป็นที่เก็บสำเนาไฟล์จากเว็บไซต์ เช่น รูปภาพ, JavaScript, CSS, วิดีโอ ฯลฯ และจะส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ผู้ใช้งานที่สุด แทนที่จะโหลดข้อมูลซ้ำๆ จากต้นทางทุกครั้ง
ส่วนระบบ Cache จะเป็นการตั้งค่าให้เบราว์เซอร์ของผู้ใช้งานเก็บไฟล์บางอย่างไว้ในเครื่องชั่วคราว เช่น โลโก้เว็บไซต์ ไอคอน หรือโครงสร้างพื้นฐานของหน้าเว็บทำให้เวลาเข้ามาใช้งานในหน้าเว็บเดิม ระบบก็จะโหลดจากเครื่องของผู้ใช้งานโดยตรง แทนที่จะต้องดึงจากเซิร์ฟเวอร์ใหม่ทั้งหมด
สรุป Bandwidth คืออะไร เกี่ยวกับการทำ SEO แค่ไหน?
อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงรู้แล้วว่า Bandwidth คืออะไร และเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับการทำเว็บไซต์แค่ไหน เพราะเป็นสิ่งที่ส่งผลโดยตรงกับความเร็วของเว็บ ประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX) ไปจนถึงการทำอันดับ SEO ซึ่งถ้าหากจะเลือก Bandwidth ให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ก็ควรพิจารณาตั้งแต่ปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ ประเภทของเนื้อหาในแต่ละหน้า การเผื่อ Bandwidth สำหรับช่วง Peak Traffic ความยืดหยุ่นในการปรับขยาย และการใช้เครื่องมือเสริม เช่น CDN และระบบ Cache
หากคุณวางแผนเรื่อง Bandwidth ได้ดีตั้งแต่ต้น จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็ว ไม่ล่มง่าย รองรับผู้ใช้งานได้พร้อมกันจำนวนมาก และมีโอกาสทำอันดับ SEO ได้เหนือกว่าคู่แข่ง
ซึ่งถ้าคุณมองหาบริษัทรับทำ SEO ที่เข้าใจในด้านเทคนิคการทำเว็บไซต์ตั้งแต่ระดับการเลือก Hosting ไปจนถึงคอนเทนต์ NerdOptimize คือ ผู้ช่วยที่พร้อมให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ทั้งด้านการวางแผนโครงสร้างเว็บ, ความเร็ว, UX และ กลยุทธ์ SEO ที่เห็นผลจริงเลือกรับทำ SEO กับทีมที่เข้าใจเทคโนโลยีและเบื้องหลังการทำเว็บไซต์อย่าง NerdOptimize ได้เลย คลิกที่นี่