Home - SEO - Google Trends คืออะไร พร้อมวิธีใช้เพื่อหาไอเดียทำการตลาดออนไลน์

Google Trends คืออะไร พร้อมวิธีใช้เพื่อหาไอเดียทำการตลาดออนไลน์

หลายคนคงสงสัยว่า Google Trends คืออะไร? และจะใช้ทำอะไรได้บ้าง? เพราะนี่คือ หนึ่งในเครื่องมือใช้งานได้ฟรีจาก Google ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบแต่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ (บอกเลยว่าไม่ได้มีดีแค่ใช้เพื่อดูกระแสหรือเทรนด์ตามชื่อของผลิตภัณฑ์หรอกนะครับ!) 

ดังนั้น อย่ารอช้าเลยครับ ตาม NerdOptimize มาดูเลยดีกว่าว่า Google Trends ที่เรารู้จักชื่อกันดีนี้มีฟีเจอร์เจ๋งๆ อะไรให้นำมาใช้งานได้บ้าง 

บอกเลยครับว่า นักการตลาดและคนทำคอนเทนต์ห้ามพลาดบทความนี้เลย!

Google Trends คืออะไร

Google Trends คือ เครื่องมือใช้งานได้ฟรีจาก Google ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความนิยม ความสนใจ หรือที่เรียกกันว่า ‘เทรนด์’ ที่คนทำการค้นหากันบน Google ผ่าน Keywords ต่างๆ ในหลากหลายแบบ เช่น หาชื่อคน ชื่อสินค้า ชื่อแบรนด์ ค้นหาจากหัวข้อ เป็นต้น 

นอกจากนี้ยังสามารถทำการค้นหาบนสื่อต่างๆ แบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้นได้ทั้งการค้นหาบนเว็บไซต์ (Web Search), ค้นหารูป (Image Search), ค้นหาข่าว (News Search), ค้นหาบน YouTube (YouTube Search) และค้นหาบน Google Shopping โดยสามารถค้นหาย้อนหลังได้สูงสุดถึงปี 2004 ทำให้หลายคนนำ Google Trends มาประยุกต์ใช้ได้กับการค้นหา Insight, ไอเดียในการทำคอนเทนต์ ไปจนถึงการทำ SEO ซึ่งผมจะบอกรายละเอียดว่าทำได้อย่างไรบ้างในหัวข้อต่อๆ ไปนะครับ

Google Trends เป็นเครื่องมือฟรีสารพัดประโยชน์จาก Google ด้วยข้อมูลที่รวบรวมมาได้จำนวนมาก จึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายด้าน ใครที่ยังไม่อยากเสียเงินให้กับเครื่องมือทำ Digital Marketing ต่างๆ แนะนำให้ลองมาเล่น Google Trends ดูครับ น่าจะพอทดแทนกันได้ไม่มากก็น้อย

และนี่คือประโยชน์ของ Google Trends จากมุมมองของคนใช้งานจริง ผมรวบรวมมาให้เป็น 5 เรื่องด้วยกัน ได้แก่

  • ใช้ดูแนวโน้มของเทรนด์ที่เกิดขึ้น

ชื่อก็บอกแล้วว่า Google Trends แน่นอนว่า สามารถใช้งานเพื่อดูกระแสของเทรนด์ในช่วงนี้ หรือช่วงที่ผ่านมาได้ โดยดูได้ว่า มีอะไรที่คนกำลังพูดถึงอยู่บ้าง หรือทำไมสิ่งนี้เริ่มเป็นที่นิยม ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2023 มีเทรนด์ขึ้นอันดับต้นๆ คือ ฟุตบอลโลก หรืออย่างในช่วงนี้มีประเด็นข่าวของดาราสาวอย่าง “ใบเฟิร์น” ซึ่งอาจทำให้สงสัยว่า ทำไมถึงติดเทรนด์ ก็สามารถตามไปดูได้ว่า เกิดอะไรขึ้นได้ด้วย 

ใช้ดูแนวโน้มของเทรนด์ที่เกิดขึ้น
  • ใช้ในการทำ SEO

ใครที่ทำ SEO แต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้เครื่องมือไหนดี สามารถใช้ Google Trends เพื่อเปรียบเทียบ Keyword ที่กำลังสนใจอยู่ได้ แต่อาจจะไม่ละเอียดเท่ากับการใช้ Seo tool ตัวอื่นๆ ในด้านเมตริกสำคัญอื่นๆ ที่ต้องใช้วิเคราะห์ในการทำอันดับ แต่ก็พอช่วยทำให้เห็นแนวโน้มของ Keywords ที่จะนำมาใช้ในการทำ SEO ได้ (ส่วนใครที่ตามหา SEO Tool ใช้งานฟรีอยู่ ผมแนะนำให้เริ่มต้นใช้ Google Keyword Planner ซึ่งผมเคยเขียนรีวิวการใช้งานไว้แล้วที่ สอนใช้ Google keyword planner เครื่องมือหา Keyword ฟรี ใช้ง่าย)

  • ใช้หา Customer Insight 

เนื่องจาก Google Trends สามารถรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานบน Google ได้ จึงมีส่วนที่แสดงผลลัพธ์เกี่ยวกับ Customer Insight ให้เห็นด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำโฆษณาอย่างการทำ Paid Search บน Google ได้อีกด้วย

  • ใช้หาไอเดียทำคอนเทนต์ 

คนทำคอนเทนต์สามารถใช้  Google Trends ในการสำรวจหาไอเดียในการทำคอนเทนต์ทั้งในรูปแบบ Real-Time คอนเทนต์หรือใช้ในการวางแผนการเขียนด้วยก็ได้ 

  • ใช้หาโอกาสในการทำธุรกิจ

ใครที่ไม่รู้ว่าจะขายอะไร ช่วงนี้มีอะไรน่าสนใจให้หยิบมาทำธุรกิจบ้าง สามารถใช้ Google Trends ในการหาแนวโน้มการทำธุรกิจได้ โดยเปรียบเทียบสินค้าว่าอะไรควรที่จะขายในช่วงไหน เช่น ค้นหามาแล้วว่า มีคนค้นหาเกี่ยวกับของขวัญช่วงธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ค่อนข้างสูง แสดงว่าช่วงนั้นมีคนสนใจมาก การขายสินค้าที่เกี่ยวข้องก็อาจจะมีโอกาสขายดีในช่วงนี้ เป็นต้น

  1. เริ่มต้นใช้งาน Google Trends
เริ่มต้นใช้งาน Google Trends

สามารถพิมพ์ค้นหาบน Google ได้เลยว่า “Google Trends” ก็จะปรากฏผลการค้นหาขึ้นมา หรือคลิกที่ลิงก์นี้เพื่อเริ่มต้นการใช้งานได้เลย https://trends.google.co.th/trends

  1. ดูฟีเจอร์โดยรวมของ Google Trends
ดูฟีเจอร์โดยรวมของ Google Trends

เมื่อคลิกเข้ามาแล้วจะเข้าสู่ ‘หน้าแรก’ ซึ่งเป็นหน้ารวมของฟีเจอร์ต่างๆ ทั้งการสำรวจ, การค้นหาที่มาแรง และหนึ่งปีกับการค้นหา ซึ่งคุณสามารถเข้าใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ จากหน้านี้ได้เลย หรือจะกดตัวแสดงแถบเครื่องมือ (Toolbar) เพื่อเลือกใช้งานบางฟีเจอร์ที่ต้องการ มาดูกันดีกว่าครับว่าจะใช้งานแต่ละฟีเจอร์ได้อย่างไรบ้าง

  1. สอนใช้ฟีเจอร์สำรวจ (Explore)
สอนใช้ฟีเจอร์สำรวจ (Explore)

ฟีเจอร์สำรวจ (Explore) จะใช้สำหรับค้นหาแนวโน้มการค้นหาของหัวข้อหรือคำต่างๆ โดยจะมีทั้งการค้นหาเฉพาะคำที่พิมพ์อย่าง Search Term ซึ่งจะแสดงข้อมูลของคำนี้เพียงอย่างเดียว อย่างเช่น เราค้นหาคำว่า “บราซิล” Google Trends ก็จะแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำนี้ขึ้นมาให้ หรือจะค้นหาเฉพาะหมวดหมู่ที่ต้องการรู้ เช่น ค้นหาคำว่าบราซิลเฉพาะข้อมูลที่เป็นเมืองใน South America, ค้นหาชื่อทีมเล่น Soccer เป็นต้น

ฟีเจอร์สำรวจ (Explore) เมื่อกดค้นหา จะแสดงผลลัพธ์การค้นหา

เมื่อกดค้นหาก็จะเจอกับหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหา โดยสามารถทำการใส่คำเปรียบเทียบเพิ่มเติมได้ ส่วนฟิลเตอร์ของหน้านี้จะมีทั้งการระบุประเทศ, เลือกระยะเวลาที่ต้องการค้นหา (ใช้ย้อนหลังได้ถึงปี 2004), มีการเลือกหมวดหมู่เฉพาะของเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เช่น คุณต้องการค้นหาเกี่ยวกับบราซิลเฉพาะในหัวข้ออาหารและเครื่องดื่ม อสังหาฯ ความบันเทิง เป็นต้น และเลือกแหล่งที่มาของข้อมูลได้

ฟีเจอร์สำรวจ (Explore) เมื่อกดค้นหา จะแสดงผลลัพธ์การค้นหา ในรูปแบบกราฟ

ส่วนแรกข้อมูลจะเป็นกราฟแสดงระยะเวลาและจำนวนของการค้นหาเกี่ยวกับคำ Keyword ที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่ โดยจะแสดงข้อมูลจาก 0-100 หากมีคนสนใจคำนี้ในช่วงไหนมากๆ กราฟก็จะพุ่งสูงไปจนแตะที่ 100 ได้ และถ้าใครทำการเปรียบเทียบคำ 2 คำขึ้นไป กราฟก็จะแสดงผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบคำให้ดูด้วย 

ฟีเจอร์สำรวจ (Explore) สามารถดูได้ด้วยว่าพื้นที่ไหนมีที่คนค้นหาคำนั้นๆ เยอะ

สามารถดูได้ด้วยว่าพื้นที่ไหนมีที่คนค้นหาคำนั้นๆ เยอะ และถ้าใช้โหมดเปรียบเทียบก็จะมีบอกด้วยว่าทั้ง 2 คำมีเปอร์เซ็นต์การค้นหามากกว่ากันอยู่เท่าไหร่

ฟีเจอร์สำรวจ (Explore) มี Related Topic อื่นที่เกี่ยวข้องคือเรื่องอะไรบ้าง

มีหัวข้อที่บอกด้วยว่า คำนี้มี Related Topic อื่นที่เกี่ยวข้องคือเรื่องอะไรบ้าง แถมยังดูระหว่างสิ่งที่คนกำลังสนใจ กับสิ่งที่คนสนใจมากที่สุดได้จากการกด Dropdown เปลี่ยนไปมาระหว่าง Rising และ Top ที่อยู่บริเวณขวามือได้

  1. สอนใช้ฟีเจอร์การค้นหาที่มาแรง (Trending Searches)
สอนใช้ฟีเจอร์การค้นหาที่มาแรง (Trending Searches)

ฟีเจอร์การค้นหาที่มาแรง (Trending Searches) จะใช้ค้นหาสิ่งที่กำลังเป็นเทรนด์โดยจะแสดงข้อมูลของเทรนด์ให้ดูได้แบบรายวันเลย อย่างเช่น ในช่วงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2023 คนพูดถึงอุรุกวัย VS เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นเทรนด์ของคู่แข่งฟุตบอลโลก ส่วนในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2023 เทรนด์นิยมจะเป็นเรื่อง Black Friday เพราะเป็นวันศุกร์ที่ 25 ซึ่งหลายคนเงินเดือนออก ทำให้เกิดการจับจ่ายมากขึ้น

  1. สอนใช้ฟีเจอร์หนึ่งปีกับการค้นหา (Year in Search)
สอนใช้ฟีเจอร์หนึ่งปีกับการค้นหา (Year in Search)

ฟีเจอร์หนึ่งปีกับการค้นหา (Year in Search) จะเป็นฟีเจอร์ที่สรุปให้ว่าในช่วงปีก่อนหน้านี้มีเทรนด์อะไรที่น่าสนใจบ้าง โดยทำการแบ่งเป็นหมวดหมู่ประเภทต่างๆ และเทรนด์ยอดนิยมโดยรวมให้ด้วย

Google Trends เป็นเครื่องมือฟรีสารพัดประโยชน์ จึงสามารถนำมาใช้เพื่อทำ SEO ได้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น…

  • ใช้สำหรับทำ Seasonal Content
วิธีใช้ Google Trends เพื่อช่วย SEO ใช้สำหรับทำ Seasonal Content

Seasonal Content คือ คอนเทนต์ตามเทศกาล หลายเว็บไซต์สามารถทำคอนเทนต์ประเภทนี้ล่วงหน้าเพื่อทำให้ยอด Traffic มีเข้ามาจาก Keyword ที่ต้องการในช่วงเดือนที่เป็นเป้าหมาย อย่างเช่น คุณทำเว็บไซต์ขายของตกแต่งบ้าน คุณอยากที่จะทำ Seasonal Content ก็อาจจะลองคิด Topic ที่อยากเขียน อย่างการให้ของตกแต่งบ้านเป็นของขวัญ ดังนั้น คำว่า ‘ของขวัญ’ อาจจะเป็น Keyword ที่น่าสนใจ เมื่อนำมาลองค้นหาก็จะเห็นว่า คนเสิร์ชคำว่าของขวัญในช่วงเวลาเดิมทุกๆ ปี นั่นคือ เดือนธันวาคม คุณก็อาจจะเริ่มทำคอนเทนต์ล่วงหน้าก่อนสัก 2-3 เดือน เผื่อให้ Google จัดอันดับ หากเนื้อหาของคุณมีคุณภาพและเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Google ก็จะมีโอกาสติดหน้าแรกจาก Keyword เหล่านี้ได้ แถมยังมีโอกาสช่วยให้คุณขายสินค้าเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

  • ใช้ทำ Local SEO
ใช้ทำ Local SEO

การทำ Local SEO คือ การทำเนื้อหาของเว็บไซต์ให้เชื่อมโยงกับพื้นที่อย่างจังหวัด อำเภอ หรือย่านนั้นๆ ซึ่งจะได้ผลดีกับร้านค้าที่เปิดหรือให้บริการในพื้นที่นั้นๆ ได้ด้วย โดยการทำ Local SEO ผ่าน Google Trends สามารถทำได้โดยใช้ฟีเจอร์ Subregion เพื่อดูว่าจังหวัดไหน มีความสนใจใน Keyword ดังกล่าว เช่น คำว่าบ้านมือสอง มีคนสนใจแค่ในบางจังหวัดอย่าง นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ฯลฯ หากคุณเลือกทำการตลาดผิดที่ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถสร้างยอดขายได้

  • ใช้ Google Trends เพื่อเปรียบเทียบ Keyword
ใช้ Google Trends เพื่อเปรียบเทียบ Keyword

สมมติว่าคุณกำลังวิเคราะห์ว่าจะเริ่มต้นทำเว็บไซต์ด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่แน่ใจว่า บ้าน คอนโด หรือ ทาวน์เฮาส์จะมีแนวโน้มการค้นหาเป็นแบบไหน ช่วงนี้ Keyword ไหนควรที่จะหยิบมาทำ SEO มากกว่า ก็สามารถใช้ Google Trends ดูได้ อย่างกราฟตัวอย่าง ก็จะเห็นว่า “บ้าน” เป็นคำที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงปี 2016 เป็นต้นไปจะเห็นว่าคนสนใจซื้อบ้านเพิ่มขึ้นจากปี 2015 ค่อนข้างมาก ก็อาจจะต้องมาสำรวจต่อว่า บ้านแบบไหนที่น่าจะนำมาทำเป็น Long Tail Keyword ต่อได้

หลังจากที่คุณได้ Keyword ที่มีแนวโน้มในการจะนำมาทำคอนเทนต์แล้ว ก็อาจจะเลื่อนลงมาดูด้านล่างเพื่อแตกประเด็นให้กลายเป็น Long Tail Keyword ที่สามารถทำไปใช้งานได้มากขึ้นจากฟีเจอร์ Related Queries 

รู้จักกับ Related Keyword

อย่างเช่น คุณรู้แล้วว่า ‘บ้าน’ เป็นคำที่ยังมีกระแสอยู่ตลอด และอยากจะนำมาทำเป็นคีย์เวิร์ดให้กับเว็บไซต์ แต่คำนี้อาจจะมีคู่แข่งมาก เลยลองค้นหาประเภทของบ้านที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น อย่างคำว่า ‘บ้านมือสอง’ และเมื่อเลื่อนลงมาก็จะเห็นว่ามีคนเสิร์ชเกี่ยวกับบ้านมือสองที่เป็น Long Tail Keyword ซึ่งสามารถนำไปแตกเป็นประเด็นคอนเทนต์อื่นๆ ได้มากมายหลายคำเลยทีเดียว

รู้จักลูกค้าโดยการหา Customer Insight

Google Trends สามารถใช้หาข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายที่เราจะอยากได้มาเป็นลูกค้า (Customer Insight) โดยนำมาสำรวจพฤติกรรมความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเป้าหมายได้ โดยทาง Google เคยนำเสนอไว้เป็นตัวอย่างบ้างแล้ว เช่น

รู้จักลูกค้าโดยการหา Customer Insight

Google ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมการค้นหาของผู้บริโภคในประเทศไทย พบว่า คนไทยมีพฤติกรรมความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นออกได้ 3 รูปแบบ คือ

  • เริ่มแล้วเลิก (Start and Stop) หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปแล้วกลับมาสู่พฤติกรรมเดิม
  • เริ่มแล้วทำต่อไป (Step and Change) หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปแล้วลดลง แต่ยังคงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
  • กระแสรองเป็นกระแสหลัก (Speed up) หรือพฤติกรรมที่ค่อยๆ เปลี่ยน

ซึ่งเรื่องนี้เห็นชัดมากยิ่งขึ้นในช่วงที่มีสถานการณ์โรคระบาด Covid-19

การค้นหาของผู้บริโภคในประเทศไทย ในช่วงสถานการณ์โรคระบาด Covid-19

Google ใช้ Google Trends สำรวจได้ว่าช่วง Covid-19 จะเป็นช่วงที่มีการค้นหาเกี่ยวกับการป้องกันและดูแลสุขภาพด้วยวิธีต่างๆ สูงมากขึ้น แต่เทรนด์นี้จะเป็นไปในรูปแบบเริ่มแล้วเลิก (Start and Stop) คือ เปลี่ยนแปลงในรูปแบบสั้นๆ ไม่ถาวร เช่น คนค้นหาเกี่ยวกับหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ฯลฯ และเทรนด์นี้ก็เริ่มลดลงแล้วเพราะเป็นช่วงที่คนตระหนักรู้และมีวิธีการปฏิบัติตัวที่ค่อนข้างพร้อมมากขึ้น

การค้นหาของผู้บริโภคในประเทศไทย เกี่ยวกับความงามบน Google ในช่วงที่มี Covid-19

Google ยังบอกอีกว่า เทรนด์การค้นหาเกี่ยวกับความงามบน Google ในช่วงที่มี Covid-19 ลดลงประมาณ 5% แต่การค้นหาข้อมูลในเรื่อง DIY (Do It Yourselft) กลับเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นเทรนด์ในช่วงหนึ่งและจะกลับมาเป็นปกติเหมือนช่วงก่อนสถานการณ์ COVID-19

การค้นหาของผู้บริโภคในประเทศไทย พฤติกรรมเริ่มแล้วทำต่อไป (Step and Change)

หรืออย่างพฤติกรรมเริ่มแล้วทำต่อไป (Step and Change) ก็สามารถค้นหาได้ ยกตัวอย่างเช่น การซื้อสินค้าออนไลน์โดยเฉพาะในหมวด Grocery Online มีการค้นหาเพิ่มขึ้นมากถึง 6 เท่า แต่เป็นการเพิ่มขึ้นเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง Covid-19 

การค้นหาของผู้บริโภคในประเทศไทย ส่วนการเปลี่ยนกระแสรองเป็นกระแสหลัก (Speed up)

ส่วนการเปลี่ยนกระแสรองเป็นกระแสหลัก (Speed up) จะเห็นเทรนด์ของผู้บริโภคที่มีต่อการสั่ง Food Delivery ซึ่งมีอัตราการเติบโตก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 อยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ช่วยเร่งอัตราการเติบโต โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 4 เท่า และเกิดในจังหวัดที่มีความพร้อมเรื่องการขนส่งเท่านั้น ส่วนการค้นหาเมนูอาหารใน Google Search และ Youtube ก็มีเพิ่มขึ้นมา 2 เท่าเช่นกัน

การค้นหาของผู้บริโภคในประเทศไทย ค้นหาอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในการสร้างเมนูอาหาร

รวมไปถึงการค้นหาอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในการสร้างเมนูอาหารมีการค้นหาสูงมากขึ้นเช่นกัน อย่างหม้อทอดไร้น้ำมันมีการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 2400% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่จะเกิดโรคระบาด

จะเห็นว่าหากใช้ Google Trends อย่างเชี่ยวชาญก็สามารถสรุปข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ เพราะฟีเจอร์ส่วนใหญ่ก็ออกแบบมาให้สามารถค้นหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบและดูแนวโน้มของพฤติกรรมได้อยู่แล้ว แต่อาจจะต้องอาศัยความเข้าใจในเรื่องของการดึงข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมจึงจะทำให้สามารถเจาะลึกถึง Insight ได้มากยิ่งขึ้น

Google Trends สามารถนำมาต่อยอดไอเดียเพื่อนำไปสร้าง Content ลงใน Social Media เพื่อเกาะกระแส หรือจะใช้สำหรับเขียนคอนเทนต์ที่อยู่ยงคงกระพันอย่าง Evergreen Content ก็ได้ ดังนี้

  • ใช้ Google Trends ทำ Topical Content

Topical Content หมายถึง คอนเทนต์ที่ทำเพื่อเกาะกระแส โดยอาจจะเขียนเป็นข่าวหรือทำลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งฟีเจอร์ที่เหมาะจะนำมาใช้ก็คือ Trending Searches (การค้นหาที่มาแรง) ซึ่งจะมีรายละเอียดบอกด้วยว่า ในช่วงที่เรื่องนั้นเป็นที่สนใจ คนค้นหาเกี่ยวกับคำนั้นว่าอะไรบ้าง เช่น ช่วงที่มีฟุตบอลโลก คนสนใจ ช่องทางการดูบอลโลก การถ่ายทอดสด หากทำเพจเกี่ยวกับฟุตบอลก็อาจจะต้องทำ รวม…ช่องทางดูบอลโลกปี 2023 เป็นต้น

เทคนิคหาไอเดียต่อยอด Content จาก Google Trends ใช้ Google Trends ทำ Topical Content
  • ใช้ Google Trends ทำ Evergreen Content

Evergreen Content คือ คอนเทนต์ที่มีเนื้อหาสดใหม่อยู่ตลอด กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรคอนเทนต์เหล่านี้ได้ จึงมักนำมาใช้ในการทำ SEO เช่น บทความประเภทนิยาม (คือ หมายถึง อ่านว่า) บทความ How to (20 วิธีไล่มด หนู แมลงสาบ) เป็นต้น ซึ่งการค้นหาเทรนด์ของ Keyword ที่มีโอกาสจะเป็นกระแสในระยะยาวก็นับเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยทำให้คุณติดอันดับจากคำคีย์เวิร์ดแบบ Evergreen ได้เช่นเดียวกัน

ใช้ Google Trends ทำ Evergreen Content

ยกตัวอย่างเช่น คำว่า มินิมอล – Minimal ที่ในอดีตไม่ใช่คำที่คนค้นหากันเยอะ และในระยะหลังมานี้มีแนวโน้มเติบโตขึ้น และคนทำคอนเทนต์เองก็สามารถทำ Evergreen Content ที่เกี่ยวข้องกับคำนี้ เพื่อดึง Traffic จากกระแสที่ยังคงฮิตเอาไว้ก่อนได้ โดยนำมาจับกับประเด็นที่เข้ากับเว็บไซต์ เช่น คุณทำเว็บขายเสื้อผ้าแบบ Plus Size ก็อาจจะเขียน วิธีการแต่งตัวแบบมินิมอลสำหรับสาวอวบ หรือทำเกี่ยวกับการตกแต่งบ้าน ก็อาจจะเขียน รวมสไตล์การแต่งบ้านแบบมินิมอล เป็นต้น

คุณสามารถนำข้อมูลจาก Google Trends มาใช้ในการสำรวจทิศทางการทำธุรกิจ แผนการตลาด รวมถึงทิศทางการทำคอนเทนต์สำหรับธุรกิจได้ โดยเริ่มต้นจากการดูเทรนด์ของปีที่แล้วประกอบจาก Year in Search ยกตัวอย่างเช่น 

ใช้ Google Trends เพื่อวางกลยุทธ์สำหรับธุรกิจ

สมมติว่า หมวดหมู่ของเทรนด์ที่เป็นที่สนใจในปี 2021 มีหมวดหนึ่งเกี่ยวข้องกับต้นไม้ หากคุณสนใจทำธุรกิจด้านนี้ก็อาจจะนำ Keyword ที่ได้ไปค้นหาดูรายละเอียดเพิ่มเติมต่อ

นำ Keyword ที่ได้ไปค้นหาดูรายละเอียดเพิ่มเติม

เมื่อนำมาค้นหาจะเห็นว่าปี 2021 ที่ผ่านมาคนเพิ่งมาสนใจคำค้นหาต้นไม้เหล่านี้ แสดงว่ามีเทรนด์ของการเติบโตอยู่ไม่น้อย และเมื่อนำรายชื่อต้นไม้ต่างๆ มาเปรียบเทียบจะเห็นว่าคนค้นหาเกี่ยวกับต้นบอนสีมากที่สุด ก็อาจจะนำต้นไม้นี้มาทำเป็นสินค้าต่อได้

ใช้ Google Trends เพื่อวางกลยุทธ์สำหรับธุรกิจ บอกตำแหน่งคนส่วนใหญ่ที่สนใจ

สำหรับกลุ่มผู้คนที่สนใจค้นหาเกี่ยวกับต้นบอนสีจะเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร คุณสามารถนำผลลัพธ์การค้นหาในพื้นที่ต่างๆ ไปตั้งเป็น Location ในการยิงแอดโฆษณาได้

ใช้ Google Trends เพื่อวางกลยุทธ์สำหรับธุรกิจ ในส่วนของ Related queries

ส่วน Related queries ก็จะช่วยวางแผนในเรื่องของการทำ Keyword Research ไปจนถึงการวางหัวข้อของคอนเทนต์ เช่น หยิบคำว่า ต้นบอนสีราคา มาทำเป็นหัวข้อที่จะเขียนเป็นบทความให้ความรู้ เป็นต้น

เพราะนี่คือยุคโลกาภิวัตน์ที่อะไรก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากกระแสของการใช้อินเทอร์เน็ต การใช้เครื่องมืออย่าง Google Trends ซึ่งเป็น MarTech ตัวหนึ่งจาก Google ที่ทำการรวบรวมข้อมูลจาก Google มาให้ได้ใช้งานได้ฟรีจึงมีประโยชน์สำหรับการทำการตลาดหรือทำธุรกิจที่จะต้องก้าวไปข้างหน้าให้ทัน เพราะเครื่องมือนี้ไม่ได้มีดีแค่เอาไว้ใช้ตามเทรนด์เท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้งานได้หลากหลาย เช่น ใช้ทำ SEO, ใช้ทำคอนเทนต์, ใช้ทำ Research เป็นต้น แถมยังเป็นเว็บไซต์ที่ใช้งานได้ง่ายมากๆ 

ใครที่ยังหลงทางไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตลาดบนโลกออนไลน์อย่างไร แนะนำให้ลองใช้ Google Trends เพื่อฝึกพื้นฐานด้านการใช้เครื่องมือและการอ่านข้อมูลได้เลย

ผู้เขียน

Picture of NerdOptimize Team
NerdOptimize Team
Tag:

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

duck duck go

DuckDuckGo เสิร์ชเอนจินที่ช่วยให้คุณค้นหาข้อมูลได้อย่างปลอดภัย

DuckDuckGo คือเสิร์ชเอนจินทางเลือกที่เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ไม่เก็บข้อมูลการค้นหามาดูกันว่าแพลตฟอร์มนี้แตกต่างจาก Google อย่างไร

อ่านบทความ ➝
WordPress คืออะไร แนะนำตัวช่วยทำเว็บไซต์ เขียนโค้ดไม่เป็นก็มีเว็บได้!

WordPress คืออะไร แนะนำตัวช่วยทำเว็บไซต์ เขียนโค้ดไม่เป็นก็มีเว็บได้!

คนอยากมีเว็บไซต์ต้องรู้! WordPress คืออะไร พร้อมแนะนำการใช้ WordPress เบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มต้น ทำตามได้ง่ายๆ ในบทความเดียว

อ่านบทความ ➝
Keyword Cannibalization คืออะไร

Keyword Cannibalization คืออะไร? ทำไมคนทำ SEO ถึงไม่ควรมองข้าม

Keyword Cannibalization สถานการณ์ที่หน้าเว็บหลายหน้าในเว็บไซต์เดียวกัน แย่งชิงอันดับการค้นหาสำหรับ Keyword เดียวกัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์โดยรวมลดลง

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top