หลายคนที่เพิ่งเข้าวงการทำเว็บไซต์อาจจะสงสัยว่า วิธีทําให้ Google หาเพจเราเจอนั้นคืออะไร นอกจากการทำให้เว็บไซต์ดูดี ดูสวยแล้วมีอะไรที่ต้องทำบ้าง เว็บไซต์จึงจะติดอันดับบนหน้า Google คำตอบคือ “การทำ SEO” ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพและนำขึ้นสู่หน้าแรกของผลการค้นหา
ในบทความนี้ เราจึงจะพาคุณไปเรียนรู้ว่าต้องทำอย่างไร Google ถึงจะหาเว็บไซต์ของเราเจอ พร้อมกับพารู้จักกับ 5 เทคนิคง่ายๆ ในการทำ SEO สำหรับมือใหม่ ที่ช่วยให้พัฒนาอันดับจนติดหน้าแรก Google ได้ทันที อย่ารอช้า มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ!
เริ่มทำ SEO ทำไมถึงต้องให้ Google หาเว็บเราเจอให้ได้ก่อน ?
เมื่อพูดถึงการทำ SEO จุดมุ่งหมายของการทำคือ การเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของเราได้ Traffic จากการทำให้ Google มองเห็นบนหน้าผลการค้นหา และยังได้ประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น
- Search Engine คือ พื้นที่การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ เพราะ Algorithm ของ Google ที่ใช้ในการประเมินทั้งด้านคุณภาพของเนื้อหาและประสบการณ์ใช้งานเว็บไซต์ หากเว็บไซต์ของเราสามารถขึ้นอันดับบนหน้า Google ได้ แสดงว่าผ่านเกณฑ์ที่ Google วางเอาไว้
- การทำ SEO จะช่วยทำให้ Google เข้าใจและทำการจัดทำดัชนี (Indexing) อย่างรวดเร็วมากขึ้น เว็บไซต์ก็จะเริ่มปรากฏในผลการค้นหาและมีโอกาสดึงดูดคนเข้ามายังเว็บไซต์โดยไม่ต้องพึ่งการทำโฆษณา
- ช่วยสร้างโอกาสในการแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพราะการขึ้นอันดับต้นๆ ของ Google จะทำให้เพิ่มโอกาสในการที่กลุ่มเป้าหมายหาเว็บของคุณเจอและคลิกเข้ามายังเว็บไซต์มากกว่าคู่แข่ง เนื่องจากคนที่ส่วนใหญ่มักจะเลือกคลิกเข้าเว็บไซต์ในอันดับต้นๆ ก่อน
Google ใช้เครื่องมืออะไร ในการตรวจสอบเว็บไซต์ ?
Google ใช้สิ่งที่เรียกว่า Google Bot ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือนกับรถสำรวจ โดยจะเข้าไปค้นดูเว็บไซต์ต่างๆ ผ่าน Sitemap ซึ่งเป็นเหมือนกับแผนที่ของเว็บไซต์ โดยคุณสามารถส่ง Sitemap ให้กับ Google wfhด้วยเครื่องมือที่ชื่อว่า Google Search Console ซึ่งกระบวนการนี้ถือเป็นหนึ่งใน Technical SEO ที่ต้องทำ แล้วหลังจากนั้น Google Bot จะทำตามขั้นตอนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- Crawling หรือการสำรวจโครงสร้างเว็บไซต์ เช่น เนื้อหาบนเว็บไซต์ ลิงก์ต่างๆ ไฟล์ ฯลฯ เพื่อทำความเข้าใจว่าเว็บไซต์นี้เกี่ยวกับอะไร
- Indexing หรือการจัดทำดัชนี ในฐานข้อมูลของ Google
- Ranking หรือการจัดอันดับ เป็นการประเมินข้อมูลต่างๆ จาก Google Algorithm เพื่อจัดอันดับเว็บไซต์ที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่สุดขึ้นผลการค้นหาอันดับแรกๆ
ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ตามไปอ่านกันได้ในหัวข้อถัดไปเลยครับ
เข้าใจหลักการทำงานของ SEO ทั้ง 3 ขั้นตอน Crawling, Index, Ranking
มาดูกันดีกว่าว่า Google Bot นั้นมีลักษณะการทำงานอย่างไร เพื่อให้เข้าใจถึงวิธีการและสามารถนำเทคนิคต่างๆ มาปรับใช้เพื่อให้ Google หาเว็บเราเจอและจัดเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
Crawling
การ Crawling เป็นกระบวนการสำคัญที่ Google Bot จะทำเพื่อเข้าไปค้นหาเว็บและสำรวจเว็บเหล่านั้นในส่วนต่างๆ เพื่อนำไปประเมินว่าเว็บไซต์นั้นควรได้รับการจัดทำดัชนี หรือ Index หรือไม่ ซึ่ง Google Bot จะเริ่มต้นการสำรวจจากลิงก์ที่อยู่ในฐานข้อมูลของ Google ซึ่งอาจมาจากหน้าเว็บที่เคย Index ไว้ก่อนหน้านี้, ลิงก์ที่ส่งผ่าน Google Search Console, การได้ Backlink มาจากเว็บไซต์อื่น หลังจากนั้น Bot จะทำการสแกนเนื้อหาในหน้าเว็บนั้นเพื่อค้นหา Internal Link และ External Link โดยจะสำรวจและเก็บข้อมูลหน้าเว็บใหม่ๆ ต่อไปเรื่อยๆ
Index
หลังจากที่ Google Bot ได้ทำการ Crawling และเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณแล้ว ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการ Index ซึ่งถือเป็นขั้นตอนในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล เพื่อให้เว็บไซต์สามารถแสดงผลในหน้าการค้นหา (SERPs) เวลาที่มีคนค้นหาเว็บไซต์ใน Keyword ที่เกี่ยวข้อง โดย Bot จะจัดเก็บข้อมูลที่ผ่านการ Crawling ลงในฐานข้อมูลของ Google ตามหมวดหมู่เพื่อให้ค้นหาได้ง่าย ยกตัวอย่างหมวดหมู่ของการ Index เช่น
- หัวข้อ (Topic)
- คำค้นหา (Keywords)
- วันที่เผยแพร่ (Publish Date)
- ลิงก์เชื่อมโยง (Internal และ External Links)
Ranking
หลังจากที่ Google รู้จักเว็บไซต์ผ่านการ Crawling และ Index มาแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการ Ranking หรือจัดอันดับเว็บไซต์ให้ขึ้นบนหน้าผลการค้นหาของ Google ซึ่งวิธีทําให้ Google หาเว็บเราเจอและจัดขึ้นไปในหน้าแรกของการค้นหาก็จะประเมินจาก 7 เรื่องสำคัญ ดังนี้
- วิเคราะห์ Keyword ที่ใช้ว่าคนค้นหาเพื่อหาอะไร โดยดูจากประเภทของเนื้อหาว่าเป็น Q&A, บทความ, วิดีโอ ดู Search Intent ของคนที่ทำการค้นหา และดูว่าคำที่ใช้นั้นสัมพันธ์กับเนื้อหาที่ Index ไว้ในระบบหรือไม่
- Google จะเรียกข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ได้จากการ Indexing ด้วย Algorithm หรือสูตรการคำนวณที่ซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น
- ความเกี่ยวข้อง (Relevance) โดยดูว่า Keyword กับเนื้อหาบนหน้านั้นสอดคล้องกันหรือไม่
- คุณภาพ (Quality) โดยดูความน่าเชื่อถือและประโยชน์ของข้อมูล
- ความนิยม (Popularity) โดยดูจาก Backlinks และ Social Signals ว่ามีการกล่าวถึงหน้าเว็บไซต์นั้นๆ หรือไม่
- ประเมินว่าหน้านั้นๆ ทำ On-Page SEO ได้ดีพอหรือไม่
- ประเมินว่าหน้านั้นๆ มีการทำ Off-Page SEO ที่มีคุณภาพหรือไม่
- ประเมินว่า User Experience ในการใช้เว็บไซต์ดีหรือไม่ โดยดูจากหลายปัจจัย เช่น Responsive Design, Core Web Vitals เป็นต้น
- มีการทำ Local SEO หรือไม่
- วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น ดูว่า CTR เป็นอย่างไร เป็นต้น
ซึ่งการจัดอันดับนี้ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดอันดับไปบ้างไม่มากก็น้อยในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับ Google Core Update หรือก็คือ การประเมินภาพรวมของคอนเทนต์ทั้งหมดที่มีในระบบของทุกเว็บไซต์ ซึ่งจะเป็นเหมือนการจัดอันดับคอนเทนต์ใหม่ในทุกปี
แชร์ 5 เทคนิควิธีทำให้ Google หาเว็บเราเจอได้ง่ายขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะอยากรู้กันแล้วว่า วิธีทำให้ Google หาเว็บเราเจอได้ง่ายขึ้นนั้นมีอะไรบ้าง วันนี้ Nerd หยิบเทคนิคดีๆ ที่ใช้บ่อยๆ มาฝากถึง 5 วิธีด้วยกัน ซึ่งจะต้องทำอะไรบ้างนั้น ตามไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่าครับ
Keyword Research หาคำค้นหาที่ใช่ที่สุด
การทำ Keyword Research คือ การวางแผน Keyword ที่เป็นคำที่คนใช้ในการค้นหาข้อมูล สินค้า หรือบริการบน Search Engine อย่าง Google โดยการทำ Keyword Research ที่ดีจะช่วยทำให้ Google จัดอันดับหน้าเว็บไซต์ขึ้นไปอยู่ในหน้าแรกๆ ของผลการค้นหา ซึ่งวิธีการวางแผน Keyword ที่มีคุณภาพนั้นก็มีอยู่หลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็น…
- ความเกี่ยวข้อง (Relevance) คือ Keyword ที่เลือกมาทำ SEO จะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจ สินค้า หรือบริการที่ทำอยู่ เช่น ถ้าทำบริการทัวร์ ก็ควรจะทำ Keyword ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เป็นต้น
- ประเภทของ Keyword เพราะ Keyword นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท เช่น Head Terms, Body Keywords, Long tail Keywords ฯลฯ ถ้าเป็นช่วงเริ่มต้นทำเว็บไซต์ใหม่ก็ควรจะเลือกใช้เป็น Long tail Keywords ที่มีปริมาณการค้นหาอยู่บ้างแต่คู่แข่งไม่สูง
- ปริมาณการค้นหา (Search Volume) คือ เลือก Keyword ที่มีปริมาณการค้นหาที่เหมาะสม โดยอาจจะเลือกที่มี Search Volume ในหลัก 1,000 ขึ้นไป แต่มีคู่แข่งไม่มากมาทำก่อน
- ระดับการแข่งขัน (Keyword Difficulty: KD) ควรเลือก Keyword ที่ KD ไม่สูงมาก ซึ่งสามารถดูคะแนน KD ได้จาก SEO Tools ต่างๆ เช่น Google Keyword Planner, Ahrefs เป็นต้น
- ดูเจตนาในการค้นหา (Search Intent) ของกลุ่มเป้าหมาย คือ ดูว่าเขามีเหตุผลอะไรถึงได้ค้นหา Keyword นั้นๆ เช่น ค้นหาเพราะอยากรู้ข้อมูล (Informational Intent), ค้นหาเพราะต้องการซื้อ (Transactional Intent) เป็นต้น
- แนวโน้มของ Trend ที่คนจะค้นหา Keyword นั้นๆ ว่ามีเป็นอย่างไร เช่น คนจะค้นหาว่า ซื้อกุหลาบจำนวนมากในช่วงใกล้ๆ กับวันวาเลนไทน์ หากต้องการทำ Keyword นี้ก็ควรที่จะทำคอนเทนต์เอาไว้บนเว็บไซต์ล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 เดือน เป็นต้น
เริ่มทำ XML Sitemap
XML Sitemap คือไฟล์ที่ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ถูก Crawling และ Indexing ได้ครบมากขึ้น ส่วนวิธีการทำจะมีดังต่อไปนี้
- วางแผนโครงสร้างของเว็บไซต์
ก่อนเริ่มสร้าง XML Sitemap ควรมีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ชัดเจน เพราะ Bot จะทำการสำรวจและเก็บข้อมูลว่าเว็บไซต์นี้มีจำนวนเนื้อหาทั้งหมดกี่หน้า มีกี่ URL บนเว็บไซต์และแต่ละเพจมีการอัปเดตล่าสุดเมื่อไหร่ หากวางโครงสร้างไว้ไม่ดี อาจทำให้ Bot ทำการ Crawling ได้ไม่ครบ ยกตัวอย่างการจัดประเภทของหน้าเพจต่างๆ ออกเป็นหมวดหมู่บนเว็บไซต์ เช่น
– หน้าแรก (Homepage)
– บทความ (Blog Posts)
– หน้าสินค้า/บริการ (Product/Service Pages)
– หน้าติดต่อเรา (Contact Page)
- ใช้เครื่องมือสร้าง XML Sitemap
สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ด้าน Coding แนะนำให้ทำ XML Sitemap จาก XML-Sitemaps.com ซึ่งใช้งานง่ายที่สุด เพียงกรอก URL ของเว็บไซต์ในช่อง > กด Start > รอ > ดาวน์โหลดไฟล์ .xml มาใช้งานได้ทันที หรือใครที่ใช้ WordPress ก็สามารถใช้ปลั๊กอินที่ชื่อว่า Yoast SEO ในการสร้าง XML Sitemap ก็ได้เช่นกัน
รีเควส Indexing ผ่านการใช้ Google Search Console
การรีเควสต์ Indexing คือการแจ้งให้ Google รู้ว่ามีหน้าเว็บใหม่หรือหน้าเว็บที่ได้รับการแก้ไขที่ต้องการให้ Google Bot เข้ามา Crawling และ Indexing เร็วขึ้น ซึ่งคุณสามารถ add url google ฟรี เพื่อเรียกให้ Google Bot เข้ามา Crawling และ Indexing ได้เพียงแค่ลงทะเบียนเว็บไซต์ กับ Google Search Console
- เข้าไปที่ Google Search Console และล็อกอินด้วยบัญชี Google ที่ผูกกับเว็บไซต์
- เพิ่ม URL ของคุณ ลงใน Google search console ในช่อง Inspect any URL
- หลังจากกด Enter ระบบจะแสดงสถานะของ URL นั้นว่าได้รับการ Index หรือยัง ถ้ายังให้ทำการคลิกที่ Request Indexing
- หลังจากกด Request Indexing ไปแล้ว Google จะเริ่ม Crawling และ Indexing หน้าเว็บนั้นให้ และถ้าหน้านั้นได้รับการ Index แล้วสถานะหลังจากที่กลับเข้ามาเช็กอีกครั้งจะแสดงข้อมูลว่า URL is on Google
ออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับทุกอุปกรณ์ (Responsive Design)
อย่างที่บอกไปแล้วว่า Google ให้ความสำคัญกับ User Experience ในการใช้งานเว็บไซต์ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น วิธีทําให้ Google หาเว็บเราเจออีกหนึ่งอย่างก็คือ การทำให้เว็บไซต์สามารถเข้าใช้งานได้จากทุกอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น Desktop Tablet หรือ Mobile โดยคุณสามารถทำการตรวจสอบได้ว่าเว็บไซต์ของคุณตอนนี้ทำ Responsive Design แล้วหรือไม่ ได้ที่ https://search.google.com/test/mobile-friendly > ใส่ URL เว็บไซต์ของคุณ > คลิก Test URL เพื่อดูว่าเว็บไซต์รองรับมือถือหรือไม่ได้เลย
ซึ่งถ้าคุณยังไม่ได้ทำให้เว็บไซต์ให้สามารถรองรับได้ทุกอุปกรณ์อาจจะต้องปรึกษาทีม Developer ในการปรับปรุง หรือถ้าคุณใช้ CMS ในการทำเว็บไซต์ เช่น WordPress ก็อาจจะต้องเลือกธีมที่รองรับ Responsive Design เช่น Astra หรือ OceanWP มาใช้งานแทน
เริ่มทำ Backlink ให้เว็บไซต์
การทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์เป็นเทคนิคด้านการทำ Off-Page SEO โดยเป็นวิธีทําให้ Google หาเว็บเราเจอจากการที่เห็นว่ามีเว็บไซต์อื่นๆ ที่น่าเชื่อถือและมีเนื้อหาอยู่ในประเภทเดียวกันกับเว็บไซต์ของคุณทำการส่งลิงก์ที่อ้างอิงถึงกลับมา ส่งผลให้อันดับในหน้าผลการค้นหาสูงขึ้นได้ด้วย
สำหรับวิธีเริ่มต้นทำ Backlink ให้เว็บไซต์นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี แต่ในที่นี้จะแนะนำวิธีที่นิยมทำกันและเป็นวิธีแบบ SEO สายขาวที่เป็นการได้ Backlink มาแบบธรรมชาติ เช่น
- สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง เช่น บทความเชิงลึก อินโฟกราฟิก หรือวิดีโอ มีโอกาสสูงที่จะได้รับ Backlink จากเว็บไซต์อื่นจากการที่เว็บเหล่านั้นนำเนื้อหาไปอ้างอิง
- เขียนบทความ Guest Post ให้กับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
- ติดต่อและสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์ในวงการเดียวกัน แล้วแลกเปลี่ยนด้วยการทำ Backlink หากัน
- โปรโมตคอนเทนต์ของคุณบน Social Media และกรุ๊ปต่างๆ ถึงแม้ว่าโซเชียลมีเดียจะไม่ใช่ Backlink แบบ DoFollow แต่ก็ช่วยเพิ่มการมองเห็นและโอกาสที่เว็บไซต์อื่นจะลิงก์กลับมาหาได้เหมือนกัน
สรุปวิธีทําให้ google หาเว็บเราเจอได้ดีที่สุด
สรุปแล้ววิธีทําให้ Google หาเว็บเราเจอได้ดีที่สุด คือ การทำให้เว็บไซต์มีคุณภาพไม่ว่าจะเป็นการทำ Om-Page SEO, Off-Page SEO หรือ Technical SEO ที่ควรจะปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์ที่ Google กำหนดในทุกๆ ด้าน แน่นอนว่า นี่อาจจะใช้เวลาและเป็นเรื่องที่ซับซ้อนสำหรับมือใหม่ ซึ่งถ้าคุณประเมินแล้วว่า ต้องการที่จะทำอันดับบน Google ให้ได้เร็วขึ้นและไม่ต้องการเสียเวลาในการลองผิดลองถูกเพื่อหาวิธีทําให้ Google หาเว็บเราเจอด้วยตัวเอง ก็สามารถใช้บริการบริษัทรับทำ SEO ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของ Google เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำและให้คำปรึกษาในการทำ SEO ได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้นนั่นเอง