Home - CRO - Usability Testing คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญต่อการ ออกแบบเว็บไซต์ให้ดีต่อ SEO

Usability Testing คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญต่อการ ออกแบบเว็บไซต์ให้ดีต่อ SEO

Usability Testing

บ่อยครั้งที่นักการตลาดต้องเจอคำถามที่ว่า ‘ทำไมเว็บไซต์ของเรามีคนเข้าชมมากมาย แต่กลับไม่เกิดการสั่งซื้อ สมัครสมาชิก หรือติดต่อเข้ามาเลย?’ หรือทำไมแคมเปญการตลาดที่ทุ่มงบไปมหาศาล กลับสร้าง Conversion ได้ไม่คุ้มกันเลย นั่นอาจเป็นเพราะผู้ใช้ “ใช้งานเว็บไซต์ของคุณไม่เป็น” หรือเจอจุดบอดบางอย่างโดยที่คุณไม่เคยรู้มาก่อน

ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการทำ Usability Testing ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าใจผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง และเปลี่ยนเว็บไซต์ที่ “แค่สวย” ให้กลายเป็นเครื่องมือทำเงินที่มีประสิทธิภาพ บทความนี้ NerdOptimize จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า Usability Testing คืออะไร และจะนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้อย่างไร

Usability Testing คืออะไร?

Usability Testing คือ กระบวนการทดสอบและประเมิน “ความง่ายในการใช้งาน” ของ Product ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือซอฟต์แวร์ โดยการให้กลุ่มผู้ใช้งานที่เป้าหมายหลัก (Target User) ของ Product ได้ลองใช้งานจริง ๆ แล้วสังเกตพฤติกรรม ปัญหา หรือความสับสนที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้งานหรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า User Test 

Usability คืออะไร

ซึ่งต้องบอกว่าเป้าหมายหลักของ User Test ไม่ใช่การทดสอบว่า User ใช้งาน Product ของคุณเป็นหรือไม่ แต่เป็นการทดสอบว่า “ผลิตภัณฑ์ของเราออกแบบมาดีพอหรือยัง” เพื่อเข้าใจ Customer Insight หาจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขให้ผู้ใช้สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างราบรื่นที่สุด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Usability Testing UX (User Experience)

ทำไมการทำ Usability Testing ถึงสำคัญ?

การยอมลงทุนทำ Usability Testing เพียงเล็กน้อย อาจช่วยประหยัดงบประมาณในการแก้ไขปัญหาใหญ่ในอนาคตได้มหาศาล จึงไม่แปลกที่บริษัทที่มี Product ด้านเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, ซอฟต์แวร์ หรือแม้แต่เอเจนซี่รับทำ SEO ให้ความสำคัญกับการทำ Usability Testing มาก ๆ และนี่คือเหตุผลสำคัญของการทำ Usability Testing ที่คุณไม่ควรมองข้าม

  • ช่วยหา Pain Point ที่แท้จริงของ Product : การทำ Usability Test จะช่วยให้เห็นว่า User ติดขัดตรงไหน กดปุ่มผิดบ่อยหรือไม่ หรือหาข้อมูลที่ต้องการไม่เจอ ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกที่การวิเคราะห์ด้วยตัวเลขเพียงอย่างเดียวให้ไม่ได้
  • เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานมากขึ้น : การทำ Usability Test ทำให้เราเห็นภาพของ User Journey ที่เกิดขึ้นจริง และเข้าใจ Customer Insight ได้อย่างลึกซึ้ง ว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจทำ (หรือไม่ทำ) สิ่งต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของเรา
  • ลดอัตราการออกจากหน้าเว็บ : เมื่อเว็บไซต์ใช้งานง่าย ผู้ใช้ก็จะอยู่ในเว็บนานขึ้น โอกาสที่ Bounce Rate จะลดลงก็มีสูง ส่งผลดีต่อ SEO โดยตรง
  • เพิ่ม Conversion Rate ให้กับการทำการตลาด : การที่คุณมีการเริ่ม Usability Testing ตั้งแต่เริ่มก็จะช่วยให้คุณสามารถลดอุปสรรคในการใช้งานของ Users ในเว็บไซต์เช่น Optimize ขั้นตอนการสั่งซื้อที่ซับซ้อน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อหรือใช้บริการได้ง่ายขึ้น
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเว็บไซต์ : การค้นพบปัญหาและแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการทำ Usability Testing ย่อมมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรื้อระบบเพื่อแก้ไขใหม่ทั้งหมดในภายหลัง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าการทำ Usability Testing นั้นควรต้องทำตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจ็กต์

5 ขั้นตอนการทำ Usability Testing (แบบเข้าใจง่าย)

หลายคนอาจคิดว่าการทำ Usability Testing Methods เป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วคุณสามารถเริ่มต้นได้ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ที่คุณก็สามารถเริ่มทำเองได้ทันที ดังนี้ 

1. กำหนดเป้าหมายและวางแผนการทำงาน

สิ่งแรกที่ต้องทำคือตอบคำถามให้ได้ว่า “เราต้องการทดสอบอะไร?” และ “เพื่ออะไร?” เช่น ทดสอบขั้นตอนการชำระเงิน เพื่อลดอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า / ทดสอบการค้นหาสินค้าบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้เจอของที่ต้องการเร็วขึ้น / ทดสอบความเข้าใจในหน้า Pricing เพื่อเพิ่มยอดสมัครใช้บริการ

2. ทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อเตรียม Usability Testing

เลือกผู้เข้าร่วมทดสอบที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจคุณมากที่สุด เช่น ถ้าคุณขายเครื่องสำอางสำหรับวัยรุ่น ก็ควรเลือกผู้ทดสอบเป็นกลุ่มวัยรุ่น ไม่ใช่กลุ่มผู้สูงอายุ เพราะพฤติกรรมการใช้งานแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยทั่วไปจะใช้ผู้ทดสอบประมาณ 5-8 คน ก็เพียงพอที่จะเห็นรูปแบบของปัญหาที่ชัดเจนแล้ว 

Usability Test

แนะนำว่ายิ่งคุณสามารถกำหนดกรอบของกลุ่มตัวอย่างได้ดีแค่ไหน ผลลัพธ์ของการทำ Usability Testing ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและตรงจุดมากขึ้น ซึ่งในการหากลุ่มตัวอย่างคุณสามารถใช้ช่องทาง Social Media ของแบรนด์ เพื่อขอความร่วมมือกับกลุ่มตัวอย่างของการทำ Usability Testing โดยอาจจะมีของรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับกลุ่มตัวอย่างเหล่านั้นด้วยเพื่อสร้างแรงจูงใจในการมาร่วมทำ Usability Testing

3. สร้างสถานการณ์จำลองและ Task (งาน) ให้กลุ่มตัวอย่าง

ออกแบบสถานการณ์จำลองและมอบหมาย “งาน” ที่ต้องการให้ผู้ใช้ทำบนเว็บไซต์ ด้วยคุณต้องควรออกแบบสถานการณ์ ให้มีความสมจริงหรือเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานจริง ๆ จะเข้ามาทำบนเว็บไซต์ของเรา ไม่ใช่ Task ที่ซับซ้อนเกินจริง เช่น “คุณกำลังมองหาของขวัญวันเกิดให้เพื่อนที่ชอบรองเท้าวิ่ง” ส่วน Task หรือสิ่งที่กลุ่มตัวอย่างต้องลองทำคือ “ลองค้นหารองเท้าวิ่งผู้ชาย ยี่ห้อ X รุ่น Y สีดำ แล้วเพิ่มลงในตะกร้าสินค้า”

4. ดำเนินการทดสอบและสังเกตการณ์

ในระหว่างที่ผู้ใช้กำลังทำ Task ให้คุณทำหน้าที่สังเกตการณ์อย่างเงียบ ๆ และจดบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงสีหน้า คำอุทาน หรือจุดที่ผู้ใช้ใช้เวลาคิดนานผิดปกติ พยายามอย่าชี้นำหรือช่วยเหลือ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นธรรมชาติที่สุด

โดยแนะนำว่าให้คุณลองเริ่มต้นด้วยเปิด Sessions ของการทำ Usability Testing ด้วยการแนะนำตัวและบอกผู้ทดสอบว่า “เรากำลังทดสอบเว็บไซต์ ไม่ได้ทดสอบคุณ” เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา

5. วิเคราะห์ผลลัพธ์และนำไปปรับปรุง

รวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสังเกตและสัมภาษณ์หลังการทดสอบ เพื่อสรุปหารูปแบบของปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด จัดลำดับความสำคัญ แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขเว็บไซต์ในส่วนนั้น ๆ ต่อไป โดยในขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทำ Usability Testing

  • รวบรวมและหาแพทเทิร์นของการทำ User Test : นำข้อมูลจากผู้ทดสอบทุกคนมาสรุป แล้วมองหารูปแบบของปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กัน เช่น “ผู้ทดสอบ 4 ใน 5 คน หาปุ่ม ‘ติดต่อเรา’ ไม่เจอ” แสดงว่าต้องทำการปรับ UX UI ให้ผู้ใช้งานเข้าใจได้ง่ายมากกว่านี้
  • จัดลำดับความสำคัญ : ไม่ใช่ทุกปัญหาที่ต้องรีบแก้ ให้ประเมินโดยใช้เกณฑ์ง่าย ๆ เช่น ผลกระทบ (Impact) กับ ความยากง่ายในการแก้ไข (Effort) ปัญหาที่มีผลกระทบสูงแต่แก้ไขง่าย (High-Impact, Low-Effort) ควรถูกนำมาแก้ไขก่อนเป็นอันดับแรก
  • สร้างแผนการแก้ไข : แปลงผลการวิเคราะห์ให้เป็น Action Plan ที่ชัดเจน ว่าใครต้องทำอะไร และจะแก้ไขเมื่อไหร่ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงเว็บไซต์อย่างชัดเจน หรือเริ่มแพลนในการทำ A/B Testing ต่อไปใน Phase หน้า

ค่าชี้วัดที่ควรต้องรู้ในการทำ Usability Testing มีอะไรบ้าง?

ค่าชี้วัดหรือ Metrics ของการทำ Usability Testing นั้นขึ้นอยู่กับเป้าหมายและผลิตภัณฑ์ที่เราต้องการวัดผล แต่สำหรับบริบทของเว็บไซต์แล้ว เรามีตัวชี้วัดที่เป็นมาตรฐานสากลซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้

Usability Metricสิ่งที่วัด (What it measures)คำจำกัดความ (Definition)
Completion rateSuccess (ความสำเร็จ)บ่งชี้ว่าผู้ใช้ทำ Task ที่ได้รับมอบหมายสำเร็จหรือล้มเหลว
Time on taskDuration (ระยะเวลา)วัดระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้ในการทำ Task หนึ่ง ๆ ให้สำเร็จ
ErrorsErrors (ข้อผิดพลาด)นับจำนวนครั้งที่ผู้ใช้ทำผิดพลาด เช่น กดผิดปุ่ม เข้าผิดเมนู
Task level satisfactionSatisfaction (ความพึงพอใจ)วัดระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ต่อความง่ายในการทำแต่ละ Task
Test level satisfactionSatisfaction (ความพึงพอใจ)วัดระดับความพึงพอใจโดยรวมต่อการทดสอบทั้งหมด

เครื่องมือน่าใช้สำหรับการทำ Usability Testing มีอะไรบ้าง?

ปัจจุบันมี Usability Testing Tools มากมายที่ช่วยให้กระบวนการทดสอบง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ทดสอบมานั่งอยู่ข้าง ๆ เสมอไป และนี่คือ 5 เครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับคนทำเว็บไซต์ที่ NerdOptimize อยากแนะนำให้คุณลองใช้

  1. Hotjar เป็นเครื่องมือยอดนิยมที่ช่วยให้เราเห็นภาพพฤติกรรมผู้ใช้ผ่าน Heat Map และ Session Recordings (วิดีโอบันทึกการใช้งาน) ทำให้รู้ว่าคนส่วนใหญ่คลิกตรงไหน หรือเลื่อนไปดูส่วนไหนของเว็บไซต์มากที่สุด
usability testing tools
ขอบคุณรูปภาพจาก blogdumoderateur.com

  1. Microsoft Clarity เป็นเครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ (Behavioral Analytics) ที่ เปิดให้ใช้ฟรี จาก Microsoft ที่สามารถทำ Heatmap, Session Recordings และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เช่น Rage Clicks (การคลิกรัวๆ ด้วยความหงุดหงิด) หรือ Dead Clicks (การคลิกในจุดที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น) ช่วยให้เราเห็นภาพจริงว่าผู้ใช้ติดขัดหรือสับสนตรงส่วนไหนของเว็บไซต์ ทำให้สามารถระบุปัญหาด้าน Usability ได้อย่างแม่นยำ
usability testing ux
ขอบคุณรูปภาพจากภาพจาก : searchengineland.com

  1. Maze เป็นเครื่องมือด้านการทำ User Researching ที่เหมาะสำหรับการทำ Remote Testing (การทดสอบทางไกล) ที่รวดเร็ว สามารถสร้าง Prototype แล้วส่งลิงก์ให้ผู้ใช้ทดสอบ พร้อมเก็บผลลัพธ์และสถิติกลับมาวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ
  2. Lookback เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการทำ Customer Engagement เพราะมีฟีเจอร์ด้านการทำ Live Test ที่สามารถพูดคุยและเห็นหน้าผู้ทดสอบได้แบบเรียลไทม์ ทำให้เราซักถามข้อสงสัยได้ทันที เหมาะกับการหา Insight เชิงลึก
  3. UserTesting.co  เป็นแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่มีกลุ่มผู้ทดสอบ (Panel) จากทั่วโลกให้เลือกใช้บริการตาม Demographic ที่เราต้องการ ช่วยประหยัดเวลาในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างได้มาก

ข้อควรระวังในการทำ Usability Testing มีอะไรบ้าง?

เพื่อให้การทดสอบได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและนำไปใช้ได้จริง มีข้อควรระวังบางอย่างที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ หากคุณต้องการเริ่มทำ Usability Testing

  • อย่าชี้นำผู้เข้าร่วมการทำ User Test : หลีกเลี่ยงการใช้คำถามนำ เช่น “ปุ่มนี้กดง่ายใช่ไหมครับ?” เพราะจะทำให้ผู้ใช้ตอบแบบเกรงใจเรา ควรใช้คำถามปลายเปิดที่ทำให้ User ตอบคำถามตามความรู้สึกจริง ๆ เช่น “คุณรู้สึกอย่างไรกับปุ่มนี้?” เป็นต้น
  • เลือกกลุ่มตัวอย่างให้ตรงเป้าหมาย : ผลลัพธ์ที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่ผู้ใช้จริง อาจทำให้เราหลงทางและแก้ปัญหาผิดจุดได้
  • แยกให้ออกระหว่าง Usability Testing กับ A/B Testing : นี่คือสิ่งที่หลายคนสับสน A/B Testing จะเน้นการเปรียบเทียบเชิงปริมาณว่า “แบบไหนดีกว่ากัน” (What) เช่น ปุ่มสีแดงกับสีเขียว แบบไหนคนคลิกเยอะกว่า แต่ Usability Testing จะเน้นการหาคำตอบเชิงคุณภาพว่า “ทำไมผู้ใช้ถึงติดขัด” (Why) ซึ่งให้ข้อมูล Insights ที่แตกต่างกัน
  • การทดสอบไม่ใช่แค่หาปัญหา แต่ต้องหาทางแก้ : จุดประสงค์สุดท้ายคือการนำข้อมูลไป “ปรับปรุง” ดังนั้นหลังการทดสอบทุกครั้ง ควรมีการสรุป Action Items ที่ชัดเจนว่าจะนำไปแก้ไขอะไรต่อ

ถึงเวลาเริ่มทำ Usability Testing เพื่อสร้างเว็บไซต์ที่เหนือกว่าได้ตอนนี้!

Usability Testing ไม่ใช่แค่ Performance Testing หรือ Functional Testing ที่ทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ แต่เป็นการทดสอบโดยมี “ผู้ใช้งาน” เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ซึ่งช่วยให้เราสร้างสรรค์เว็บไซต์ที่ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังตอบโจทย์และมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ จนนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของ Conversion และการเติบโตของธุรกิจในที่สุด

อย่างไรก็ตามการทำ Usability Testing เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลและวางกลยุทธ์ที่รอบด้าน 

หากตอนนี้คุณกำลังมองหา บริษัทรับทำ SEO ที่เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง และต้องการบริการรับทำ CRO (Conversion Rate Optimization) เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าที่เข้าเว็บไซต์ให้ดีขึ้น และเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า ทีมงาน NerdOptimize พร้อมให้คำปรึกษาและบริการคุณอย่างครบวงจร ติดต่อเราได้เลยวันนี้

ผู้เขียน

Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn
Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

Similarweb คืออะไร

Similarweb คืออะไร เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ที่ช่วยให้ ‘รู้เขา รู้เรา’ มากยิ่งขึ้น

รู้จักกับ Similarweb เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์สำหรับคนทำ SEO ที่อยากดันอันดับให้ดีมากขึ้นทำให้เรารู้จักคู่แข่ง ด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลาย ดูวิธีการใช้งานและประโยชน์ที่นี่

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top