Home - CRO - A/B Testing อะไร เจาะลึกข้อดีและวิธีทำแบบเข้าใจง่าย สำหรับนักการตลาดและเจ้าของแบรนด์

A/B Testing อะไร เจาะลึกข้อดีและวิธีทำแบบเข้าใจง่าย สำหรับนักการตลาดและเจ้าของแบรนด์

A/B Testing คืออะไร

คุณเคยสงสัยไหมว่า ลูกค้าชอบหน้าเว็บไซต์แบบไหนมากกว่ากัน? ตัดสินใจซื้อจากปุ่มสีแดงหรือสีฟ้า? ชอบอ่านข้อความแบบยาว หรือสั้นกระชับ? แล้วเราควรออกแบบเว็บไซต์อย่างไรให้ช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง? คำตอบของคำถามเหล่านี้อยู่ที่ การทำ A/B Testing

เพราะยุคนี้ คือยุคที่ทุกคลิกมีความหมาย การวัดผลเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์จึงสำคัญ โดยเฉพาะคนที่กำลังมองหาว่าจะจ้างทำเว็บไซต์ที่ไหนดี เพื่อเริ่มต้นทำเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ Customer Insight คือ การทำความเข้าใจของมูลเชิงลึกของลูกค้า ซึ่งจะยิ่งได้เปรียบเลยหากเรา เข้าใจหลักการของ A/B คืออะไร และจะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร ซึ่งในบทความนี้จะพาไปเรียนรู้การทำ A/B Testing คืออะไร ดูข้อดี ตัวอย่าง ไปจนถึงขั้นตอนการทำแบบเข้าใจง่ายที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทันที

A/B Testing คืออะไร?

A/B Testing คือ

A/B Testing คือ วิธีทดสอบแบบเปรียบเทียบหน้าเว็บไซต์ที่ช่วยให้คุณรู้ว่า หน้าเว็บไซต์แบบไหนเวิร์กกว่า โดยการแสดงเวอร์ชันของเว็บไซต์หรือแคมเปญ 2 แบบ (เช่น A กับ B) ให้ผู้ใช้เห็นแบบสุ่ม แล้ววัดผลจากพฤติกรรม เช่น คลิก, สมัคร, หรือสั่งซื้อ เช่น ถ้าคุณอยากรู้ว่า หัวข้อแบบไหนกระตุ้นให้คนกดเยอะกว่า ก็แค่ทำ A/B Testing ระหว่าง 2 หัวข้อ แล้วดูผลว่าอันไหนทำ Conversion ได้ดีกว่า เป็นต้น

การทำ A/B Testing ในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเองทั้งหมด เพราะมี A/B Testing Tools ให้เลือกใช้มากมาย ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน เช่น Google Optimize เครื่องมือ A/B Testing ฟรีจาก Google, VWO (Visual Website Optimizer) เครื่องมือที่ใช้งานง่าย เหมาะกับทีม Marketing ที่อยากทดสอบโดยไม่ต้องเขียนโค้ด, Optimizely แพลตฟอร์มระดับโปร เหมาะกับองค์กรที่ต้องการทำ Experiment แบบซับซ้อน เป็นต้น

ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณตั้งค่าการทดสอบ, กำหนดกลุ่มเป้าหมาย, ติดตามผล และสรุปข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ ทำให้ A/B Testing เป็นเรื่องที่ทำได้จริงในงาน Marketing มากขึ้น

A/B Testing มีประโยชน์อย่างไร?

เมื่อพูดถึงการทำ A/B Testing บนเว็บไซต์ หลายคนอาจนึกถึงแค่การเปลี่ยนสีปุ่มหรือแก้ข้อความให้ดูน่าสนใจขึ้น แต่จริงๆ แล้ว A/B Testing มีประโยชน์มากกว่านั้นมาก โดยเฉพาะในโลกของการตลาดที่ต้องตัดสินใจจากข้อมูล ไม่ใช่แค่ความรู้สึก และนี่คือประโยชน์ของการทำ A/B Testing ที่ควรรู้

เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Optimization)

A/B Testing ช่วยให้คุณปรับแต่งองค์ประกอบบนเว็บไซต์ได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม CTA, รูปภาพ, ฟอร์มกรอกข้อมูล หรือแม้แต่การจัดวางคอนเทนต์ ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และที่สำคัญคือ ช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า (Conversion) ได้มากขึ้นด้วย

แทนที่จะต้องเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์ทั้งหน้าแบบลองผิดลองถูก การทำ A/B Testing ช่วยให้คุณทดสอบทีละจุด แล้วดูว่าเว็บไซต์ในเวอร์ชันไหนได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เช่น ปุ่มสีไหนทำให้คนคลิกมากกว่า หรือข้อความแบบไหนทำให้คนตัดสินใจเร็วขึ้น เป็นต้น

เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้มากขึ้น

การทดสอบ A/B ทำให้คุณเห็นว่าผู้ใช้มีพฤติกรรมต่างกันกับแต่ละเวอร์ชันของเว็บไซต์ เช่น ผู้ใช้คลิกที่ไหนก่อน ออกจากหน้าตอนไหน หรือสมัครตอนที่มีปุ่มอยู่ตำแหน่งใด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณเข้าใจ User Journey ได้ดีขึ้น และสามารถปรับประสบการณ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งการจะดู User Journey ที่เกิดขึ้นจากการทำ A/B Testing สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Heatmap คือ เครื่องมือที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้คลิก ตอบสนอง หรือเลื่อนหน้าจอตรงไหนของเว็บไซต์บ่อยที่สุด 

ตัวอย่าง Heatmap UX UI

เมื่อคุณจับคู่ Heatmap เข้ากับ A/B Testing จะได้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ UX/UI ได้แม่นยำมากขึ้น เช่น ปุ่ม CTA อยู่ในตำแหน่งที่ผู้ใช้มองเห็นจริงหรือเปล่า, คนเลื่อนอ่านเนื้อหาจนจบไหม, พื้นที่ไหนของเว็บไซต์ที่คนมักจะไม่ให้ความสำคัญ เป็นต้น

ลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ

หลายคนเวลาจะปรับหน้าเว็บไซต์ มักเผลอตัดสินใจจากความรู้สึก เช่น คิดว่าเปลี่ยนสีปุ่มแล้วน่าจะดีขึ้น หรือเปลี่ยนภาพหน้าปกน่าจะดูทันสมัยกว่า แต่ความจริงคือ สิ่งที่เราคิดว่าเวิร์ก อาจไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ การทำ A/B Testing จึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้

แทนที่จะเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์ทั้งหน้าแบบวัดดวง คุณสามารถทดสอบความเปลี่ยนแปลงทีละอย่างกับผู้ใช้จริง แล้ววัดผลลัพธ์ได้อย่างเป็นระบบ เช่น เวอร์ชัน A ใช้ภาพสินค้าแบบเดิม แล้วเวอร์ชัน B ใช้ภาพสินค้าถ่ายใหม่แบบ Lifestyle หากผลออกมาว่าเวอร์ชัน B ทำให้คนกดเพิ่มขึ้นถึง 40%คุณจะมั่นใจได้ว่าการตัดสินใจเปลี่ยนภาพนั้น คุ้มค่าและมีหลักฐานรองรับ ซึ่งแบบนี้เรียกว่า ช่วยลดความเสี่ยง เพราะคุณไม่ต้องลงทุนเวลาหรือเงินไปกับการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ครั้งใหญ่อยู่ตลอดเวลา 

เพิ่ม ROI ให้แคมเปญการตลาด

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการทำการตลาดทุกช่องทาง คือ การใช้เงินให้น้อยที่สุด แต่ให้ผลลัพธ์มากที่สุด หรือที่เราเรียกว่า ROI (Return on Investment) และ A/B Testing คือหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณไปถึงจุดนั้นได้จริง เพราะเมื่อคุณรู้แล้วว่าแบบไหนเวิร์กกว่า เช่น ปุ่มบนหน้า Landing Page แบบไหนที่คนคลิกเยอะกว่า, รูปโฆษณาแบบไหนที่ทำให้ยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ฯลฯ คุณก็สามารถนำผลลัพธ์นั้นไปปรับใช้กับแคมเปญอื่นๆ ได้ทันที

ขับเคลื่อน Conversion Rate Optimization (CRO) อย่างมีทิศทาง

ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีเพิ่มยอดขายโดยไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณา การทำ A/B Testing คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยผลักดันการทำ CRO (Conversion Rate Optimization) คือ กระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์หรือแคมเปญให้เปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าได้มากที่สุด ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะการทำ A/B Testing ช่วยทำให้เห็นว่า องค์ประกอบไหนควรเปลี่ยน และเปลี่ยนแล้วดีขึ้นจริงไหม 

ซึ่งถ้าคุณยิ่งทดสอบ ยิ่งเข้าใจ Insight ของลูกค้า และสามารถปรับปรุงทุกจุดใน Funnel ได้อย่างเป็นระบบ ก็จะทำให้การทำ CRO ดีขึ้นจากการพัฒนาเว็บไซต์ด้วยหลักฐานที่วัดผลได้จริง (ถ้าคุณยังไม่มีทีมภายในหรืออยากเริ่มแบบมือโปร ลองใช้บริการรับทำ CRO จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมักรวม A/B Testing เป็นกระบวนการหลักในการวิเคราะห์และพัฒนาเว็บไซต์ให้เวิร์กยิ่งขึ้น)

A/B Testing มีกี่แบบ?

หลายคนอาจเข้าใจว่า A/B Testing คือการเปรียบเทียบแค่ 2 ตัวเลือกแล้วดูว่าอะไรเวิร์กกว่า แต่ในทางปฏิบัติ A/B Testing มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ และระดับความซับซ้อนของสิ่งที่ต้องการทดสอบ มาดูแบบละเอียดกันว่า A/B Testing แบ่งออกเป็นกี่ประเภท พร้อมตัวอย่างและข้อควรรู้ ดังนี้

Split testing

Spliting A/B Testing

Split Testing คือ กระบวนการเปรียบเทียบระหว่างองค์ประกอบบนเว็บไซต์หรือแคมเปญการตลาดใน 2 เวอร์ชันที่ต่างกัน เช่น เปรียบเทียบหน้า Landing Page, อีเมล, โฆษณา ฯลฯ เพื่อดูว่าเวอร์ชันใดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โดยการสุ่มแบ่งกลุ่มผู้ใช้งานให้เห็นเวอร์ชัน A หรือ B แล้ววัดผลจากพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การคลิก, การสมัคร, การสั่งซื้อ เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น คุณต้องการทดสอบหัวข้ออีเมลที่มีสองเวอร์ชัน โดยเวอร์ชัน A: โปรโมชั่นพิเศษสำหรับคุณ! และเวอร์ชัน B: ลดราคาสินค้าสุดพิเศษวันนี้เท่านั้น! คุณสามารถส่งอีเมลทั้งสองเวอร์ชันไปยังกลุ่มผู้รับที่แบ่งแบบสุ่ม แล้ววัดผลว่าเวอร์ชันใดมีอัตราการเปิด (Open Rate) หรือการคลิก (Click-Through Rate) สูงกว่า เพื่อเลือกใช้เวอร์ชันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในแคมเปญ

ข้อควรระวังคือ วิธีนี้ทดสอบได้ทีละตัวแปรเท่านั้น เพื่อให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือ ควรทดสอบการเปลี่ยนแปลงทีละอย่าง เช่น สีของปุ่ม, ข้อความ หรือภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง และการทดสอบต้องมีผู้เข้าชมจำนวนมากพอที่จะให้ผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติด้วย

Multivariate Testing

Multivariate Testing

Multivariate Testing (MVT) คือ กระบวนการทดสอบหลายองค์ประกอบของหน้าเว็บไซต์หรือแคมเปญพร้อมกัน เพื่อหาว่าการผสมผสานแบบไหนที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด โดยไม่ต้องทดสอบทีละองค์ประกอบเหมือน A/B Testing อย่างเช่น สมมติว่าคุณมีหน้า Landing Page และต้องการทดสอบว่าหัวข้อแบบสั้นหรือยาว, รูปสินค้าแบบฉากขาวหรือแบบใช้จริง และใช้ปุ่ม CTA สีฟ้าหรือสีส้มดีกว่ากัน

การทำ MVT จะสร้างเวอร์ชันต่างๆ จากการผสมผสานของแต่ละองค์ประกอบ เช่น เวอร์ชัน A ผสมกันระหว่างหัวข้อสั้น + รูปฉากขาว + ปุ่มสีฟ้า, เวอร์ชัน B ผสมกันหัวข้อยาว + รูปใช้จริง + ปุ่มสีส้ม, เวอร์ชัน C ผสมกันระหว่างหัวข้อสั้น + รูปใช้จริง + ปุ่มสีส้ม เป็นต้น จากนั้นระบบจะแสดงเวอร์ชันเหล่านี้ให้กับผู้ใช้แบบสุ่ม และวัดผลลัพธ์ เช่น อัตราการคลิก (CTR) หรือ Conversion Rate เพื่อหาว่าการผสมผสานแบบใดบนหน้าเว็บให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

ข้อควรระวังคือ ต้องทดสอบหลายเวอร์ชันพร้อมกัน MVT ต้องการ Traffic ในการทดสอบจำนวนมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติ และการตั้งค่า รวมถึงการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของ MVT ซับซ้อนกว่า A/B Testing จึงอาจต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางในการทำด้วย

Redirect Testing

A/B Testing เปรียบเทียบหน้า

Redirect Testing คือ กระบวนการทดสอบสองหน้าเว็บไซต์ที่มี URL แยกกันอย่างชัดเจน โดยการสุ่มแบ่งผู้ใช้งานให้เข้าชมแต่ละหน้า และวัดผลลัพธ์จากพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การคลิก, การสมัคร, การสั่งซื้อ ฯลฯ เพื่อดูว่าเวอร์ชันใดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณกำลังจะรีดีไซน์หน้า Landing Page ใหม่ทั้งหมด คุณสามารถใช้ Redirect Testing เพื่อส่งผู้ใช้งานครึ่งหนึ่งไปยังเวอร์ชัน A และอีกครึ่งหนึ่งไปยังเวอร์ชัน B จากนั้นวัดผลลัพธ์ เช่น Conversion Rate, Click-Through Rate ฯลฯ เพื่อดูว่าเวอร์ชันใดมีประสิทธิภาพมากกว่า

ข้อควรระวังสำหรับวิธีนี้คือ ต้องมีทีม Dev หรือ CMS ที่รองรับการจัดการหลายหน้า เนื่องจากต้องสร้างหน้าเว็บแยกกันสองเวอร์ชัน และวิธีนี้ไม่เหมาะกับการทดสอบองค์ประกอบเล็กๆ เช่น การเปลี่ยนสีปุ่ม หรือข้อความเล็กน้อย

A/B Test ทำอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง?

การจะทำ A/B Testing ให้เวิร์ก ไม่ใช่แค่สร้างหน้าเว็บ 2 แบบแล้วรอดูผล แต่ต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจน วางแผนอย่างมีระบบ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและนำไปใช้ได้จริง ซึ่งจะมีขั้นตอนในการทำดังนี้

ตั้งเป้าหมายให้ชัด

ก่อนจะเริ่มเปรียบเทียบอะไร คุณต้องรู้ก่อนว่าอยากทำ A/B Testing เพื่อวัดผลลัพธ์อะไร? เช่น อยากเพิ่มอัตราการคลิก (Click-Through Rate), อยากให้คนกรอกแบบฟอร์มมากขึ้น, อยากลด Bounce Rate, เพิ่มยอด Add to Cart หรือ Conversion บนเว็บไซต์ เป็นต้น ซึ่งการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณเลือกตัวแปรที่จะทดสอบได้ตรงจุด และไม่หลงประเด็นระหว่างการวิเคราะห์ผล

เลือกองค์ประกอบที่จะทดสอบ

เมื่อรู้เป้าหมายแล้ว ต่อไปคือเลือกสิ่งที่จะทดสอบ เช่น สีหรือข้อความของปุ่ม CTA, รูปภาพบนหน้าเว็บ, หัวข้อ (Headline), โครงสร้างของฟอร์ม Drop Lead เป็นต้น ซึ่งเวลาทดสอบอาจจะเลือกรูปแบบของการทำ A/B Testing อย่างเช่น ถ้าคุณเลือกทำ Split Testing ก็ควรที่จะทดสอบทีละตัวแปร เพื่อให้รู้ว่าผลลัพธ์เกิดจากอะไรจริงๆ แต่ถ้าทดสอบหลายอย่างพร้อมกันให้ทำ A/B Testing Multivariate Testing ซึ่งเหมาะสำหรับการวิเคราะห์การทำงานร่วมกันของหลายองค์ประกอบแทน

สร้างเวอร์ชันทดสอบ

สร้างเวอร์ชัน A (ต้นฉบับ) และเวอร์ชัน B (ตัวแปรที่เปลี่ยนแล้ว) เช่น ทำเวอร์ชัน A เป็นปุ่ม CTA สีเทา ส่วนเวอร์ชัน B เป็นปุ่ม CTA สีแดง หลังจากนั้นให้ใช้เครื่องมือ A/B Testing เช่น Google Optimize, VWO หรือ Optimizely ช่วยจัดการและควบคุมการแสดงผลให้ผู้ใช้เห็นแบบสุ่มต่อ

กำหนดกลุ่มเป้าหมายและระยะเวลา

แบ่งผู้ใช้งานออกเป็น 2 กลุ่มแบบสุ่ม เพื่อให้ A/B Test มีความยุติธรรม จากนั้นตั้งระยะเวลาทดสอบที่เหมาะสม เช่น 2–4 สัปดาห์ เพื่อให้มีข้อมูลมากพอในการนำมาวิเคราะห์ รวมถึงใช้เครื่องมือวิเคราะห์ Traffic เพื่อคำนวณว่าควรมีจำนวนผู้เข้าชมขั้นต่ำเท่าไรถึงจะได้ผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติ

วิเคราะห์ผลลัพธ์

เมื่อทดสอบครบระยะเวลาให้ดูว่าเวอร์ชันไหนให้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น เวอร์ชัน B ทำให้คนคลิกมากขึ้น 35% แต่เวอร์ชัน A กลับมีคนกรอกฟอร์มมากกว่า หลังจากนั้นให้ดูผลแบบมีนัยสำคัญทางสถิติ (Statistical Significance) เพื่อมั่นใจว่าผลที่ได้ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ โดยนัยสำคัญทางสถิติ คือ ความมั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ โดยทั่วไปใน A/B Testing เรามักต้องการระดับความมั่นใจอย่างน้อย 95% ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือ A/B Testing ที่มีการคำนวณให้อัตโนมัติช่วยได้

ตัดสินใจและนำไปใช้

หลังจากที่คุณวิเคราะห์ผลเรียบร้อย และรู้ว่าเวอร์ชัน A หรือ B ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายมากกว่า ขั้นตอนถัดไปคือการตัดสินใจนำเวอร์ชันที่ชนะไปใช้จริงบนเว็บไซต์หรือแคมเปญของคุณ และอย่าลืมติดตามผลต่อด้วยเช่น Conversion เปลี่ยนจริงหรือไม่ หรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งการติดตามผลหลังการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งว่าการนำไปใช้จริงยังให้ผลดีเหมือนตอนทดสอบหรือไม่จะช่วยในการปรับปรุงเว็บไซต์และพัฒนาแคมเปญการตลาดได้อย่างต่อเนื่องด้วย

ตัวอย่างการใช้งาน A/B Testing

หลายคนอาจยังสงสัยว่า A/B Testing ใช้ทำอะไรได้บ้าง เรามาดูกันว่า A/B Testing ตัวอย่างที่น่าสนใจมีอะไรบ้าง และสามารถนำไปใช้ทดสอบอะไรได้จริงในงานด้านต่างๆ เช่น เว็บไซต์, โฆษณา, อีเมล, การทำ SEO  ฯลฯ ดังนี้

การทำ A/B Testing บนเว็บไซต์ทั่วไป

A/B Testing เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ขายของ, เว็บไซต์บริการ, เว็บไซต์ข่าว หรือบล็อกส่วนตัว เพราะช่วยให้ธุรกิจรู้ว่าดีไซน์แบบไหน หรือองค์ประกอบใดให้ผลลัพธ์ดีที่สุด ยกตัวอย่างการทำ A/B Testing บนเว็บไซต์ เช่น

ตัวอย่าง A/B Testing บนหน้าเว็บไซต์ขายเสื้อผ้า

  • ใช้ทดสอบภาพบนหน้าแรก อย่างเช่น ในเวอร์ชัน A ใช้ภาพนางแบบเต็มตัว ส่วนเวอร์ชัน B ใช้ภาพสินค้าหลายชิ้นพร้อมราคา เพื่อวัดว่าภาพแบบไหนทำให้คนกดเลือกสินค้าเยอะขึ้น
  • ใช้ทดสอบรูปแบบของฟอร์มการสมัครหรือลงทะเบียน เช่น เวอร์ชัน A ฟอร์มจะมี 5 ช่อง (ชื่อ, เบอร์, อีเมล, บริษัท, ข้อความ) ส่วนเวอร์ชัน B ฟอร์มมีแค่ 2 ช่อง (ชื่อ, อีเมล) ซึ่งอาจจะใช้วัดว่าฟอร์มแบบสั้นทำให้เกิดการ Drop Lead มากขึ้นหรือไม่
  • ใช้ทดสอบปุ่ม CTA (Call-to-Action) เช่น ทดสอบและเปรียบเทียบระหว่างปุ่ม ‘สั่งซื้อเลย’ ที่เป็นสีส้ม กับปุ่ม ‘ซื้อทันที’ ที่เป็นสีเขียว เพื่อวัดว่าปุ่มสีไหนทำให้คนคลิกมากกว่า เป็นต้น
  • ใช้ทดสอบหัวข้อบทความหรือสินค้าว่า เวอร์ชันการเขียนในแบบไหนที่โดนใจลูกค้า และทำให้เกิด Conversion ได้มากกว่ากัน เช่น เวอร์ชัน A ทำเป็นข้อความสั้นๆ ส่วนเวอร์ชัน B ทำเป็นข้อความอธิบายยาวๆ เป็นต้น

การทำ A/B Testing กับงาน SEO

A/B Testing สามารถใช้ร่วมกับการทำ SEO ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทีมสายรับทำ SEO แบบ Performance หรือสาย Conversion มักใช้ A/B Testing ควบคู่กับการทำ SEO ด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์จาก SEO ไม่ใช่แค่การติดอันดับ แต่คือการได้ยอดขายหรือ Lead เพิ่มขึ้นจริงจากการวัดผลว่า องค์ประกอบไหนช่วยเพิ่ม CTR หรือควรปรับหน้าเว็บอย่างไรให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้มากขึ้น เช่น 

  • การทำ A/B Testing เพื่อทดสอบ Title Tag และ Meta Description ว่าการเขียน Title Tag และ Meta Description แบบไหนทำให้คนคลิกมากขึ้นจากหน้า Google (วัดจากว่าเวอร์ชันไหนมี CTR สูงกว่า)
  • ใช้ทดสอบโครงสร้างหน้าเพจ SEO อย่างเช่น วางหน้า A ใช้โครง H1-H3 ธรรมดา ส่วนหน้า B ใส่ Table of Contents, FAQ Schema และ Internal Link เพิ่มด้วย ซึ่งอาจจะวัดผลต่อว่า Time on Page, Bounce Rate และพฤติกรรมการอ่านแบบไหนที่มี Performance ที่ดีกว่ากัน
  • ทดสอบ Call to Action (CTA) ภายในบทความ SEO อย่างในบทความบางประเภท อาจเน้น Convert ให้คนสมัคร ดาวน์โหลด หรือขอใบเสนอราคา สามารถทำ A/B Test ช่วยวัดว่า CTA วางตรงไหนแล้วคนตอบสนองมากกว่ากันได้ด้วย
  • ทำ A/B Testing ความยาวของเนื้อหา SEO ว่า Google จัดอันดับต่างกันไหม, Time on Page เพิ่มไหม และ Conversion แตกต่างกันหรือเปล่าหากใช้ความยาวที่ต่างกัน

การทำ A/B Testing กับงานโฆษณาบน Social Media

เพราะแค่เปลี่ยนภาพ, คำโฆษณา หรือปุ่ม CTA บน Ads ก็สามารถสร้างความแตกต่างของผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการปรับปรุงอัตราการคลิก (CTR), ลดต้นทุนต่อ Conversion หรือเพิ่มยอดขายจากการทำโฆษณาบน Social Media ดังนั้น การทำ A/B Testing จึงเป็นเทคนิคหนึ่งที่เข้ามาช่วยในการวัดผลลัพธ์การทำ Ads ได้อีกทางหนึ่ง

ตัวอย่าง A/B Testing บน Social Media เช่น ใช้ทดสอบภาพโฆษณา โดยวัดว่าแบบไหนคนหยุดเลื่อนและคลิกมากกว่ากัน, ใช้​​ทดสอบข้อความบนแคปชัน (Ad Copy) เพื่อวัด CTR หรืออัตราการ Add to Cart, ทดสอบ Call to Action เพื่อดูว่า Ads แบบไหนมีจำนวนคลิกและ Conversion ที่ดีกว่ากัน, ทดสอบกลุ่มเป้าหมาย (Audience Testing) เพื่อวัดว่า Segment ไหนมี CPC ต่ำและยอดขายสูงกว่า เป็นต้น

สรุป A/B Testing คืออะไร ธุรกิจจะเริ่มต้นทำได้อย่างไร

A/B Testing คือเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจรู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่าใช่นั้นเวิร์กจริงหรือไม่ โดยเฉพาะกับเทคนิคการตลาดที่เราเลือกทำ เราสามารถใช้วิธีการทำ A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบองค์ประกอบต่างๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์ โฆษณา หรือคอนเทนต์ เพื่อดูว่ารูปแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ซึ่งวิธีการทำการทดสอบให้เวิร์กต้องอาศัยความเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้, ข้อมูลที่แม่นยำ และการวิเคราะห์ผลอย่างถูกต้อง รวมถึงเลือกวิธีการทดสอบให้เหมาะสม ก็จะช่วยทำให้ได้ผลลัพธ์ในการทำ A/B Testing ที่แม่นยำมากขึ้น

ถ้าคุณพร้อมเริ่มต้น A/B Testing อย่างมีประสิทธิภาพแล้ววันนี้ และกำลังมองหาทีมที่เข้าใจทั้งการทำ A/B Testing และ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ NerdOptimize บริษัทรับทำ SEO และ CRO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Conversion Optimization สามารถช่วยคุณออกแบบเว็บไซต์ ทดสอบองค์ประกอบต่างๆ และวางกลยุทธ์การตลาดที่วัดผลได้จริง 

เราพร้อมแล้วที่จะให้คำปรึกษากับคุณ >> ปรึกษาและรับคำแนะนำฟรีได้ที่นี่ <<

รับทำ SEO ติดหน้าแรก

ค้นหา บทความอื่นๆ

Search

ผู้เขียน

Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn
Picture of ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร
ไอซ์ - ศิริพงษ์ กลิ่นขจร

ผู้บริหารและนักการตลาดสาย SEO ที่เชี่ยวชาญเรื่อง Marketing Strategy สนใจเกี่ยวกับ Search Engine & AI Algorithms เป็นพิเศษ และเชื่อเสมอว่าทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ด้วย Data

LinkedIn

แชร์บทความนี้:

บทความที่คุณ อาจสนใจ

Keyword Research คืออะไร สอนวิธีหาคีย์เวิร์ด วิเคราะห์เชิงลึก สำหรับผู้เริ่มต้นทำ SEO [ 2025 ]

การทำ Keyword Research ที่ดีจะช่วยให้สามารถวางแผนหา Keywords ที่ทำเงินให้กับธุรกิจได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะมีวิธีการอยู่ อยากรู้คลิกอ่านเลย!

อ่านบทความ ➝
Search Engine Marketing

SEM (Search Engine Marketing) คือ

SEM (Search Engine Marketing) คือ อีกหนึ่งวิธีการทำการตลาดบน Search Engine ที่มีประสิทธิภาพ สูงมาก เพราะปัจจุบัน Google มีอัตราการค้นหากว่า 99,000 ครั้งต่อวินาที

อ่านบทความ ➝
Scroll to Top