การที่จะทำให้เว็บไซต์ทำอันดับได้ดีขึ้นจนถึงเรียกได้ว่าเป็นลูกรักของ Search Engine อย่าง Google จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำ SEO Analysis ที่เป็นกลยุทธ์ในการวิเคราะห์คู่แข่ง เพื่อการทำอันดับ SEO ให้เว็บไซต์ของเราก้าวสู่อันดับ 1 ได้แบบมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น
ดังนั้น บทความนี้จึงเป็นการรวบรวมกลยุทธ์และเทคนิคที่คนทำ SEO ต้องรู้ ทั้งการวิเคราะห์คู่แข่ง, วางแผน Keyword ไปจนถึงการปรับปรุงเว็บไซต์ว่าควรที่จะต้องเริ่มต้นทำอย่างไรบ้าง และควรที่จะใช้เครื่องมืออะไรในการวิเคราะห์ SEO ตามไปอ่านเนื้อหาที่นัก SEO ต้องรู้ไปพร้อมๆ กันได้เลย
SEO Analysis คืออะไร ?
SEO Analysis คือ กระบวนการวิเคราะห์หรือประเมินเว็บไซต์ ที่ช่วยให้เราปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ Google กำหนด จนสามารถเอาชนะคู่แข่งที่ทำอันดับใน Keyword เดียวกัน และขึ้นอันดับไปยังหน้า 1 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำ SEO Analysis จะเป็นส่วนหนึ่งของการทำ SEO คือ การทำให้ Google มองว่า เว็บไซต์มีคุณภาพมากพอให้จัดขึ้นไปอยู่ใน Ranking ที่ดีทั้งในฝั่ง On-Page SEO, Off-Page SEO และ Technical SEO
SEO Analysis สำคัญอย่างไรต่อการทำอันดับบน Google ?
หากเว็บไซต์มีการทำ SEO Analysis อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ จะสามารถเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกของ Google และสร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น และนี่คือเหตุผลที่คนทำเว็บไซต์ควรให้ความสำคัญกับการทำ SEO Analysis
- ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยการช่วยตรวจสอบว่าเว็บไซต์มีปัญหาอะไรหรือไม่ เช่น ปัญหาความเร็วในการโหลด ปัญหาด้านโครงสร้าง ฯลฯ เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเกณฑ์ที่ Google กำหนด
- ใช้วิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บคู่แข่งและสร้างความแตกต่าง เช่น การดูว่าคู่แข่งใช้ Keyword อะไร, อยู่ในอันดับที่ดีหรือไม่, ทำคอนเทนต์แบบไหน ฯลฯ เพื่อนำมาพัฒนากลยุทธ์ในการนำเสนอเว็บไซต์และสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นมากกว่าคู่แข่ง
- ช่วยเพิ่มปริมาณ Traffic จากการค้นหาแบบ Organic Search เพราะการทำ SEO Analysis จะช่วยทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับบน Google ได้มากขึ้น ส่งผลให้คนที่ค้นหาทำ Keyword ที่เราทำ มองเห็นและคลิกเข้าเว็บไซต์ได้มากขึ้นด้วย
- ช่วยในการพัฒนาคอนเทนต์ให้ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายค้นหามากขึ้น เพราะการวิเคราะห์ Keyword จะช่วยทำให้เข้าใจ Search Intent ของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น จึงช่วยให้คอนเทนต์ที่ทำออกมาตอบโจทย์กับการค้นหามากขึ้นนั่นเอง
- ช่วยในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกับ SEO ได้อย่างรวดเร็ว เช่น ปัญหา Broken Links, Duplicate Content ฯลฯ ทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพในสายตาของ Google
เริ่มต้นทำ SEO Analysis อย่างไรดี? ต้องทำอะไรบ้าง?
เข้าใจถึงความสำคัญของการทำ SEO Analysis กันไปแล้ว มาดูว่าเราจะวิเคราะห์เว็บไซต์และปรับปรุงการทำ SEO ให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง โดยเรารวบรวมมาให้ 5 ด้านที่ถือว่าเป็น SEO Check ที่สามารถทำตามได้ง่ายๆ ดังนี้
ทำ Keyword Research ในคำที่สร้าง Traffic
หากต้องการทำ SEO Analytics ที่มีประสิทธิภาพ อย่างแรกที่ต้องเริ่มทำเลยก็คือ การทำ Keyword Research โดยการวิเคราะห์และวางแผนการเลือก Keyword มาใช้ในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นในหน้า บทความ SEO หรือ Landing Page ต่างๆ ที่ต้องการทำอันดับบนหน้า Search Engine ซึ่งควรที่จะเลือกให้ Keyword นั้นมีคุณภาพใน 3 ด้านนี้ คือ
- มีปริมาณการค้นหา (Search Volume)
เพราะการที่มีปริมาณคนค้นหาใน Keyword นั้นๆ พอสมควร จะช่วยให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO ใน Keyword เหล่านั้นได้ Traffic กลับมายังเว็บไซต์
- มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
การทำ Keyword Research ที่ดี เราจะต้องหา Keyword ที่มีคนเสิร์ชและมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจด้วย เพื่อให้ Traffic ที่เข้ามาในเว็บเป็นกลุ่มของคนที่มี Search Intent ที่น่าจะสนใจสิ่งที่ธุรกิจเรากำลังขายอยู่ เช่น NerdOptimize ทำเว็บไซต์เกี่ยวกับการรับ SEO Analyzer และทำ SEO ในแง่ของการปรับปรุง On-Page, Off-Page และ Technical SEO ให้กับเว็บไซต์ต่างๆ แบบครบวงจร ก็จะทำ Keyword ของบทความในกลุ่มของ SEO และ Website ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจให้ติดอันดับ เป็นต้น
- ทำการแข่งขันได้
นอกจากจะเป็น Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและมีปริมาณคนค้นหาแล้ว ยังต้องเป็น keyword ที่ทำการแข่งขันได้ ซึ่งในที่นี้คือ การดู Keyword Difficulty จาก SEO Tools ต่างๆ ที่จะบอกว่า Keyword ที่ต้องการทำอันดับนั้น มีคู่แข่งที่ทำเว็บไซต์ใน Keyword ที่เกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน
ตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์ (Website Structure Audit)
การวิเคราะห์โครงสร้างเว็บไซต์จะช่วยให้เข้าใจว่าการจัดวางหน้าเพจ ลิงก์ และเมนูต่างๆ ของเว็บไซต์ที่ทำอยู่นั้นเหมาะสมหรือไม่ เพราะ Website Structure มีผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานและการจัดอันดับใน Google ดังนั้น จึงควรที่จะทำ SEO Checker เพื่อตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์ว่ามีประสิทธิภาพที่ตรงกับที่ Search Engine กำหนดหรือไม่ เช่น
- ตรวจสอบ URL Structure ว่ามีความกระชับ ชัดเจน และมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาอยู่ใน URL หรือไม่
- ตรวจสอบการทำ Internal Links ว่าทำการเชื่อมโยงไปยังหน้าที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันหรือไม่ เพราะการทำลิงก์ไปยังหน้าที่มีความเกี่ยวข้องกันในเว็บไซต์จะช่วยให้ Google Bot และผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ง่ายขึ้น
- มีการทำ Breadcrumbs ที่ช่วยให้คนใช้เว็บไซต์และ Google Bot เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
- มีการทำเมนู Navigation ที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน ทำช่วยลด Bounce Rate และเข้าไปหาข้อมูลในเว็บไซต์ได้อย่างสะดวก
- มีการทำ XML Sitemap เพื่อให้ Google รู้จักหน้าเพจต่างๆ ในเว็บไซต์
- ทำ Robots.txt เพื่อบอก Bot ว่าส่วนไหนของเว็บไซต์ที่ควรหรือไม่ควรจัดทำดัชนี (Index)
วิเคราะห์ประสิทธิภาพเว็บไซต์ (Technical SEO Audit)
การทำ Technical SEO ช่วยให้เว็บไซต์มีความพร้อมในการทำ SEO Score ที่ดี และช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการทำ SEO Analysis ได้ โดยควรที่จะตรวจสอบในเรื่องต่างๆ เหล่านี้
- ทำ HTTPs เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ และช่วยให้ข้อมูลที่ส่งระหว่างผู้ใช้งานและเว็บไซต์ถูกเข้ารหัส ป้องกันการถูก Hack ข้อมูล ซึ่ง Google จะให้คะแนนในส่วนนี้ด้วย
- หนึ่งในการทำ SEO Audit ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยหรือ Ranking Signal คือ การทำให้เว็บไซต์เร็วขึ้นด้วยการปรับ Page Speed ของเว็บ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งาน (User Experience) ที่ดี และทำให้ลดอัตราการเกิด Bounce Rate ซึ่งปรับปรุงได้หลายอย่าง เช่น
- ลดขนาดของรูปภาพและไฟล์ (Image & File Compression)
- ลดการใช้ปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น
- จัดระเบียบโค้ดให้สะอาด
- ใช้ Content Delivery Network (CDN) เพื่อกระจายโหลดเซิร์ฟเวอร์
- ทำให้เว็บไซต์เป็น Mobile-Friendly คือ ออกแบบให้ Responsive รองรับหน้าจอทุกขนาด และปรับแต่ง UX/UI ให้เหมาะสม
- ตรวจสอบและแก้ไข Broken Links หรือลิงก์เสียที่ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ขาดการดูแลและทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี
- ตรวจสอบ Core Web Vitals ที่ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ Largest Contentful Paint (LCP), First Input Delay (FID) และ Cumulative Layout Shift (CLS)
เปรียบเทียบคุณภาพของคอนเทนต์ของคู่แข่ง
การวิเคราะห์เนื้อหาคอนเทนต์ที่คู่แข่งทำลงบนเว็บไซต์ก็เป็นวิธีหนึ่งของการทำ SEO Analysis เพราะช่วยทำให้เรารู้ว่าควรที่จะปรับปรุงเนื้อหาในจุดไหนเพื่อเอาชนะคู่แข่ง เช่น
- ด้านการทำ On-Page SEO ควรดูว่า คู่แข่งปรับปรุงประสิทธิภาพของการทำ On-Page ดีแค่ไหน และมีอะไรอีกบ้างที่เรายังไม่ได้ทำ เช่น
- การปรับ Title & Description
- การใส่ Keyword ในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น Title & Description, URL, Heading 1 ฯลฯ
- การเรียง Heading Tag อย่างเป็นระเบียบ
- การใส่ ALT
- การกระจาย Keyword Density อย่างเหมาะสม
- เนื้อหามีคุณภาพและตรงกับ Search Intent ของกลุ่มเป้าหมายแค่ไหน โดยดูว่าคู่แข่งทำได้ดีในเรื่องเหล่านี้หรือไม่ และเราสามารถปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้โดดเด่นกว่าได้แค่ไหน เช่น
- ด้านรายละเอียดของเนื้อหา เช่น ให้ข้อมูลที่มีแหล่งอ้างอิงชัดเจน น่าเชื่อถือ, มีการตอบ FAQ ที่ช่วยแก้ปัญหา ฯลฯ,
- ด้านการใช้สื่อที่หลากหลาย เช่น ในหนึ่งบทความมีทั้งวิดีโอหรือภาพที่ช่วยให้บทความน่าสนใจ
- ด้านการเรียบเรียงที่ทำให้อ่านแล้วเจอคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่คนค้นหาจาก Keyword
- การสร้าง Content Hub เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ควรตรวจสอบว่า คู่แข่งรวมบทความและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไว้ในหน้าเดียวและมีการทำ Internal Link หรือไม่ หากยังไม่ทำ เราสามารถทำ Content Hub เพื่อรวมเนื้อหาที่ครอบคลุมหัวข้อเฉพาะเจาะจงให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างครบถ้วนและสะดวก เช่น รวบรวมคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับ “SEO สำหรับธุรกิจเล็ก” พร้อมลิงก์ไปยังบทความย่อยที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
วิเคราะห์คุณภาพและปริมาณ Backlinks
การวิเคราะห์คุณภาพของ Backlinks คือ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการทำ SEO Analysis เพราะ Backlink ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่ม Authority ให้กับเว็บไซต์ได้ ดังนั้น การตรวจสอบว่ามี Backlink จากแหล่งไหนบ้าง และคู่แข่งมี Backlink จากที่ไหน จะช่วยให้วางแผนกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้นในแง่ของการทำ Off-Page SEO
ซึ่งการจะได้ Backlink ที่มีคุณภาพนั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น ทำเว็บบล็อกที่น่าเชื่อถือจนคนทำไปอ้างอิง, ไปเขียนบล็อกให้กับเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์, การทำ Sponsership กับเว็บไซต์ที่มี Traffic สูงๆ เป็นต้น
3 เครื่องมือที่ใช้ทำ SEO Analysis ที่เราอยากแนะนำ
การทำ SEO Analysis ให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เราจึงจะมาแนะนำ 3 เครื่องมือยอดนิยมที่ตอบโจทย์ทุกขนาดธุรกิจและเว็บไซต์ที่จะช่วยให้การทำ SEO นั้นสะดวกและทำการ Check SEO Website ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
Ahrefs
Ahrefs เป็นหนึ่งในเครื่องมือทำ SEO Analysis ที่ครบเครื่องและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิเคราะห์เว็บไซต์แบบเต็มรูปแบบ โดยมีฟีเจอร์เด่นๆ ดังนี้
Site Explorer
หากต้องการวิเคราะห์เว็บไซต์ของตัวเองหรือคู่แข่งแบบละเอียดสามารถใช้ Site Explorer ในการวิเคราะห์ได้ เพราะจะช่วยทำให้เราเห็นข้อมูลของเว็บไซต์ในหลากหลายมิติ เช่น
- Overview จะเป็นหน้าสรุปข้อมูล SEO Score Checker ว่า Performance ในภาพรวมของเว็บไซต์ที่นำมาตรวจสอบนั้นเป็นอย่างไร โดยมีคะแนนหลายอย่างที่ใช้ตรวจสอบได้ เช่น DR, UR, จำนวน Backlinks, จำนวน Keyword ที่ทำอันดับได้, จำนวน Traffic เป็นต้น
- Organic Traffic Performance ตรวจสอบว่าเว็บของเราหรือคู่แข่งกำลังทำอันดับด้วยคีย์เวิร์ดอะไร และหน้าเพจไหนที่ดึงดูด Traffic จาก Search Engine ได้มากที่สุด
- Backlink Profile ใช้ในการดูว่า เว็บไซต์ไหนบ้างที่ทำ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ของคู่แข่ง และประเมินคุณภาพของลิงก์เหล่านั้นได้ว่ามีคุณภาพมากแค่ไหน
- Paid Traffic Performance ใช้ในการวิเคราะห์ว่า คู่แข่งทำการซื้อ Paid Ads หรือไม่ เช่น ยิง Search Ads และยังเจาะไปได้ว่า ทำ Paid Ads ไปยังหน้าเว็บไซต์ไหนได้อีกด้วย
- Website Structure ตรวจสอบได้ว่าเว็บไซต์นั้นๆ มีจำนวนหน้าเท่าไหร่ จัดระเบียบหน้าเพจแบบไหน และทำ Internal Link ไปหน้าไหนบ้าง
Keyword Explorer
- Keyword Explorer จะใช้ในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Keyword Research) โดยจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับคีย์เวิร์ด เช่น ปริมาณการค้นหา (Search Volume), ความยากของการทำอันดับ (Keyword Difficulty) และศักยภาพของคีย์เวิร์ด (Traffic Potential) ให้รู้ พร้อมมีคำแนะนำสำหรับการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายให้ด้วย
- ใช้ตรวจสอบว่าคู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้างและจัดอันดับได้ในลำดับที่เท่าไหร่
- ดูข้อมูลเกี่ยวกับหน้าเพจที่ทำอันดับใน Keyword นั้นๆ ได้ด้วยว่า มีคะแนนอะไรบ้าง
แพ็คเกจ Ahrefs ราคาเท่าไหร่
แผน | ราคา (ต่อเดือน) | รายละเอียด |
Starter | $29 | เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นทำ SEO ที่ต้องการฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น SEO Dashboard, Site Explorer, Keywords Explorer, Site Audit, Rank Tracker และ Ahrefs SEO Toolbar |
Lite | $129 | เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เพราะรวมฟีเจอร์ทั้งหมดในแผน Starter และเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานให้อีก เช่น ดึงข้อมูลย้อนหลังได้ 6 เดือน, 500 credits per user, 750 tracked keywords, สร้างโปรเจกต์เพิ่มได้ 5 projects เป็นต้น |
Standard | $299 | เหมาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO และ Marketing Consultants เพราะรวมฟีเจอร์ทั้งหมดในแผน Lite พร้อมเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานให้อีก เช่น ดึงข้อมูลย้อนหลังได้ 2 ปี, Unlimited credits per user, 2,000 tracked keywords, สร้างโปรเจกต์เพิ่มได้ 20 projects เป็นต้น |
Advanced | $599 | เหมาะสำหรับการทำการตลาดภายในองค์กร เพราะรวมฟีเจอร์ทั้งหมดในแผน Standard และเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานให้อีก เช่น Looker Studio Connector, HTTP Authentication ใน Site Audit และอื่นๆ |
Enterprise | $999 | เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการฟีเจอร์ครบครันและขีดจำกัดการใช้งานสูงสุด รวมถึงการเข้าถึง API, SSO, Audit Log และอื่นๆ |
Ubersuggest
Ubersuggest เป็นเครื่องมือทำ SEO Analysis ที่เหมาะสำหรับมือใหม่หรือเป็นนักทำ SEO ที่มีโปรเจกต์ที่อยู่ในการดูแลไม่เยอะ เพราะสามารถทำ SEO Website Checker ได้ในราคาที่ไม่สูงใช้งานง่าย และมีให้ทดลองใช้ในรูปแบบ Free SEO Tools มาดูกันว่ามีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้าง
- Keyword Research
Keyword Research เป็นเมนูที่ใช้ในการทำ Check SEO ที่เกี่ยวกับ Keyword โดยจะใช้ในการตรวจสอบดูว่า Keyword ที่เราสนใจนั้นมีข้อมูลอะไรที่สามารถใช้ในการทำ SEO Analysis ได้บ้าง เช่น มีปริมาณการค้นหา (Search Volume) เท่าไหร่, คนค้นหาในประเทศไหนบ้าง, ความยากของการทำอันดับ (Keyword Dificulty) ฯลฯ โดยจะแยกการแสดงผลของข้อมูลออกไปเป็น Module เช่น
Keyword Ideas จะเป็นหนึ่งใน Module ของ Keyword Research ใช้แตกไอเดียของ Long-tail keyword จาก Seed Keyword ที่เราค้นหา โดยจะสรุปให้ด้วยว่า Keyword แต่ละคำที่แนะนำให้นั้นมี ปริมาณการค้นหา (Search Volume) เท่าไหร่, ทำอันดับยากหรือไม่, ถ้าจะซื้อ Google Ads จะต้องเสีย CPC อยู่ที่เท่าไหร่ เป็นต้น
Traffic Estimation
Traffic Estimation จะใช้สำหรับส่อง Performance ของเว็บไซต์คู่แข่งว่า มี Traffic เป็นอย่างไร, มีการใช้ช่องทาง Paid Ads ในการทำการตลาดบนเว็บไซต์หรือไม่, มี Organic Keyword ที่ติดอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่ และเป็น Keyword อะไรบ้าง ไปจนถึงดูได้ว่ามี Top Pages ที่ทำ Traffic สูงที่สุดเป็นหน้าไหน ซึ่งช่วยในการทำ SEO Analysis ของเว็บไซต์คู่แข่งได้เป็นอย่างดี
แพ็คเกจ Ubersuggest ราคาเท่าไหร่
แผน | ราคา (ต่อเดือน) | รายละเอียด |
Individual Plan | $12 | เหมาะสำหรับผู้ใช้ 1 คน และดูข้อมูลของ 1 เว็บไซต์ โดยมีข้อจำกัดในการใช้งาน คือจำกัดการค้นหา 150 คำต่อวัน ส่อง 5 คู่แข่ง/โดเมน สามารถสแกนเพจบนเว็บได้ 1,000 เพจ/โดเมน ติดตามคีย์เวิร์ด 125 รายการ/โดเมน รองรับ 20 Locations/โดเมน |
Business Plan | $20 | เหมาะสำหรับผู้ใช้ 2 คน และดูแลได้ 2-7 เว็บไซต์ โดยมีข้อจำกัดในการใช้งาน คือจำกัดการค้นหา 300 คำต่อวัน ส่อง 10 คู่แข่ง/โดเมน สามารถสแกนเพจบนเว็บได้ 5,000 เพจ/โดเมน ติดตามคีย์เวิร์ด 150 รายการ/โดเมน รองรับ Locations แบบไม่จำกัด |
Enterprise Plan | $40 | เหมาะสำหรับทีมงานหรือเอเจนซี่ที่ดูแล 8-15 เว็บไซต์ โดยมีข้อจำกัดในการใช้งาน คือจำกัดการค้นหา 900 คำต่อวัน ส่อง 15 คู่แข่ง/โดเมน สามารถสแกนเพจบนเว็บได้ 10,000 เพจ/โดเมน ติดตามคีย์เวิร์ด 300 รายการ/โดเมน รองรับ Locations แบบไม่จำกัด |
Google Search Console
Google Search Console เป็น SEO Tools Free ที่พัฒนาขึ้นมาโดย Google ทำให้สามารถเข้าใช้งานได้ฟรี รวมถึงใช้เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการตรวจสอบประสิทธิภาพของการทำ Website SEO Checker ร่วมกับ SEO Tools ตัวอื่นๆ สำหรับฟีเจอร์เด่นๆ นั้นจะมี 2 ด้านด้วยกัน คือ
- การเช็ก Performance ของการทำ SEO
คนทำเว็บไซต์สามารถใช้ Google Search Console ในการตรวจสอบว่ามี Traffic ที่เข้ามาจาก Organic Search เท่าไหร่ เป็น Keyword อะไรบ้าง รวมถึงมี Avg.CTR หรือค่าเฉลี่ยของการคลิกอยู่ที่เท่าไหร่ และมี Avg. ของตำแหน่งอยู่ที่อันดับไหนได้จากหน้า Search Results
นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจสอบสถานะการเก็บข้อมูล (Indexing) ของแต่ละหน้าภายในเว็บไซต์ได้จากหน้า URL inspection ซึ่งช่วยให้รู้ว่า ในแต่ละ URL มีปัญหาหรือไม่ และทำการจัดทำดัชนี (Index) หรือยัง
- การเช็ก Performance ของเว็บไซต์
นอกจากจะตรวจสอบ Performance ของการทำอันดับได้แล้ว ยังสามารถดู Performance ของเว็บไซต์ได้ด้วย โดยสิ่งที่สามารถดูได้จะมีอยู่หลายด้านด้วยกัน เช่น
- Core Web Vitals และ Mobile Usability ใช้ดูว่าหน้าเว็บทำงานได้ดีแค่ไหนเป็นไปตามที่ Google กำหนดไว้หรือไม่ และใช้งานบนมือถือได้ดีแค่ไหน
- Sitemaps จะเป็นการส่ง XML sitemap ไปยัง Google ทำให้ Bot ของ Google เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ได้มากขึ้น
- Coverage เป็นฟีเจอร์ที่ใช้ตรวจสอบปัญหาภายในเว็บไซต์ เช่น มี Page Not Found หรือไม่, Server Error หรือเปล่า เป็นต้น
สรุปแล้ว SEO Analysis สำคัญแค่ไหน? ควรทำตอนไหน?
SEO Analysis เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์เติบโตได้อย่างยั่งยืน เพราะเป็นการทำ SEO Site Checkup ที่ช่วยให้เข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของเว็บไซต์ รวมถึงหาโอกาสปรับปรุงในด้านต่างๆ เช่น โครงสร้างเว็บไซต์, เนื้อหา, การวางแผนทำ Keyword Research ฯลฯ เพื่อให้เหมาะสมกับการจัดอันดับใน Google และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด ดังนั้น จึงควรทำ SEO Analysis อย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่ก่อนสร้างเว็บไซต์ ก่อนวางแผนกลยุทธ์ SEO ก่อนปรับปรุงเว็บไซต์ ไปจนถึงช่วงของการ Optimize เว็บไซต์ให้ดีขึ้น
ซึ่งถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะสามารถ SEO Analysis ได้ครบถ้วนมากพอที่จะช่วยทำอันดับบน Google แบบคุ้มค่าและไม่เสียเวลาไปกับการลองผิดลองถูก แนะนำให้ปรึกษากับทีมผู้เชี่ยวชาญที่รับทำ SEO ก็จะช่วยทำให้การวางแผนและวิเคราะห์ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ ไปจนถึงวิเคราะห์เว็บไซต์ของคู่แข่งเพิ่มอัตราประสบความสำเร็จได้มากขึ้นในระยะยาว
อยากทำ SEO Analysis ให้เว็บไซต์คุณอยู่หรือเปล่า? ให้ NerdOptimize ช่วยได้!
อยากทำ SEO Analysis ให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบน Google ใช่ไหม? แนะนำให้ปรึกษาเรา NerdOptimize
เพราะเราคือบริษัทรับทำ SEO ที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์แบบครบวงจร เรามีบริการ Website Health Check ที่เจาะลึกในด้านการปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ช่วยวิเคราะห์การทำ SEO Analysis ไปจนถึงปั้นเว็บไซต์ให้ติดอันดับด้วยกลยุทธ์ SEO ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ
สนใจติดต่อเพื่อปรึกษาเราก่อนแบบฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย