Content Pillar หนึ่งในกลยุทธ์นำเสนอคอนเทนต์ให้เข้าใจง่าย ดึงดูดให้เป้าหมายสามารถอยู่บนหน้าเว็บไซต์ของคุณได้นานขึ้น อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการทำ SEO เพื่อการทำอันดับบน Search Engine ด้วยการจัดระเบียบเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณให้เป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ไปทำความเข้าใจ Content Pillar ในวงการ SEO ให้มากขึ้นเพื่อให้เนื้อหาภายในเว็บไซต์ถูกใจทั้ง User และ Google Algorithm
Content Pillar คืออะไร ?
Content Pillar คือ กลยุทธ์หนึ่งในการสร้างคอนเทนต์ภายในเว็บไซต์ เพื่อให้การแสดงเนื้อหาเป็นระเบียบตามหลัก SEO โดยมีหัวข้อหลัก (Core Topic) เป็นแกนกลาง และมีเนื้อหาย่อย (Sub Topics) ที่เชื่อมโยงกันอยู่ ซึ่งหัวข้อหลักมักจะเป็นคอนเทนต์กว้าง ๆ และมีเนื้อหาเชื่อมโยงไปสู่หน้าอื่น ๆ ที่มีเนื้อหาย่อย ลักษณะของคอนเทนต์กลุ่มนี้จะมีความจำเพาะเจาะจงยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ User ที่สนใจเนื้อหาในกลุ่มนี้สามารถตามเนื้อหาที่สนใจได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง Google Algorithm ก็ยังสามารถเข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายเช่นกัน
ประโยชน์ของการวาง Content Pillar มีอะไรบ้าง ?
Content Pillar มีประโยชน์ทั้งกับ User และ Google Algorithm มากกว่าที่คิด ไปทราบถึงประโยชน์ของการวาง Content Pillar ก่อนทำคอนเทนต์เพื่อเผยแพร่ลงเว็บไซต์กันได้เลย
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ
สำหรับการทำ SEO แล้ว การวาง Content Pillar จะช่วยให้ Bot ของ Search Engines ต่าง ๆ (เช่น Google) สามารถเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาภายในเว็บไซต์ง่ายขึ้น เมื่อ Bot เข้าใจเนื้อหาที่คุณต้องการจะสื่อสารไปยังเป้าหมาย ก็จะนำหน้าเว็บไซต์ของคุณขึ้นไปแสดงผลเป็นอันดับแรก ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ User ที่สุด
เพิ่มความเชื่อมโยงและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา
กลยุทธ์ Content Pillar ที่ทำการจัดหมวดหมู่ของเนื้อหาคอนเทนต์อย่างเป็นระบบระเบียบนั้นจะทำให้เนื้อหาเกิดความเชื่อมโยงกัน ทั้งหัวข้อหลักโยงไปยังหัวข้อย่อย หัวข้อย่อยโยงไปยังหัวข้อหลัก หรือหัวข้อย่อยในหมวดหมู่เดียวกันโยงเนื้อหาไปสู่กันและกัน ทั้งหมดนี้เป็นผลดีต่อเว็บไซต์ของคุณ สามารถให้เว็บไซต์ได้คะแนนจาก Google Algorithm มากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น NerdOptimize บริษัทที่ให้บริการรับทำ SEO ต้องการทำคอนเทนต์ภายในเว็บไซต์ อันดับแรก หัวข้อหลักของเว็บไซต์นี้ควรจะเกี่ยวข้องกับบริการที่บริษัทมี ก็คือ ‘SEO’
ต่อมา เนื้อหาย่อยของ SEO ก็จะเป็นเนื้อหาเจาะลึกที่เกี่ยวข้องกับ SEO เช่น
- On-Page SEO คืออะไร
- Off Page SEO คืออะไร
- SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร
- วิธีการเขียนบทความ SEO
จากตัวอย่างดังกล่าว การทำ Content Pillar จากเนื้อหาเหล่านี้สามารถทำได้โดยการโยงเนื้อหาไปมาระหว่างเนื้อหาหลัก SEO กับเนื้อหาย่อยต่าง ๆ (On-Page SEO คืออะไร, Off Page SEO คืออะไร, SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร, วิธีการเขียนบทความ SEO) และสามารถโยงเนื้อหาระหว่างเนื้อหาย่อยด้วยกัน เช่น On-Page SEO คืออะไร กับ Off Page SEO คืออะไร ได้เช่นกัน
เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจได้กว้างขึ้น
เพราะการทำ Content Pillar สามารถสร้างเนื้อหาคอนเทนต์ที่ครอบคลุมถึงหัวข้อนั้น ๆ ที่เป้าหมายสนใจ ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในการค้นหาได้หลากหลายรูปแบบในหัวข้อเดียวกัน เพิ่มโอกาสการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้เป็นกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น
ช่วยให้ผู้อ่านได้รับความรู้อย่างเต็มที่
การวางเนื้อหาเป็นอย่างดีด้วยการใช้หลัก Content Pillar จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเรียนรู้และเข้าถึงข้อมูลที่ครบถ้วนกว่าเดิม สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้อ่าน (User Experience) นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มเวลาการเข้าชมเว็บไซต์ ดึงให้ User อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น
นอกจากนี้ Content Pillar ยังช่วยให้หน้าบทความของเว็บไซต์เป็นไปตามหลักเกณฑ์ EEAT ของ Google Algorithm เพราะเนื้อหาที่มีการนำเสนออย่างเป็นระเบียบจะช่วยให้ Google มองว่าเนื้อหานี้มีคุณภาพ สามารถตอบโจทย์ของ User ได้ตรงจุด ซึ่งส่งผลอย่างมากในการทำอันดับบน Search Engine นั่นเอง (แต่ที่สำคัญ เนื้อหาภายในเว็บไซต์จะต้องแสดงถึงความเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือด้วยนะ)
ขั้นตอนการวาง Content Pillar ที่ส่งผลดีต่อ SEO มีอะไรบ้าง?
ทราบถึงประโยชน์ของการใช้หลัก Content Pillar ในการทำคอนเทนต์กันไปแล้ว ต่อมาไปดูขั้นตอนการวาง Content Pillar ที่ส่งผลดีต่อการทำ SEO กันว่าต้องทำอะไรบ้าง?
กำหนดหัวข้อหลักของเนื้อหา (Core Topic)
สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อวาง Content Pillar คือการกำหนด Core Topic หรือหัวข้อหลักของเนื้อหา ซึ่งหัวข้อหลักที่เลือกจะต้องสอดคล้องกับธุรกิจของคุณ อีกทั้งยังต้องสามารถขยายความเพื่อโยงไปยังส่วนเนื้อหาย่อยได้อย่างเป็นระบบ
การเลือกหัวข้อหลักของเนื้อหาสามารถทำได้ด้วยการทำ Keyword Research โดย Keyword ที่เลือกมานั้นควรจะเป็น Keyword ที่มี Search Volume สูง สามารถสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลาย และตรงกับลักษณะของธุรกิจของคุณ จึงจะนับว่าเป็น Keyword ที่เหมาะกับการเป็น Core Topic นั่นเอง
สร้างเนื้อหาย่อย (Sub Topic)
การวาง Content Pillar นั้นจะต้องประกอบไปด้วย Core Topic และ Sub Topic เมื่อเรากำหนด Core Topic ได้แล้ว ต่อมาจะต้องวางแผนต่อว่า แล้ว Sub Topic ที่จะมาเชื่อมกับ Core Topic ไหนดีที่เหมาะสม สามารถเชื่อมกลับไปมาระหว่างกันได้ด้วย Internal linking ซึ่งปกติแล้วเนื้อหาย่อยมักจะเป็น Sub Keyword ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword หลัก
ยกตัวอย่างเช่น การสร้างเว็บไซต์เกี่ยวกับหัตถการเพื่อความงาม และเราเลือก Core Topic คือ “ฟิลเลอร์” ดังนั้น Sub Topic ที่สามารถทำได้ควรจะต้องเกี่ยวข้องกับฟิลเลอร์ เช่น ฟิลเลอร์ฉีดตรงไหนได้บ้าง, ฟิลเลอร์มีกี่แบบ, ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี, ฟิลเลอร์ราคา ฯลฯ
ซึ่งการวาง Content Pillar ให้เข้าใจง่ายสามารถใช้ Content Pillar Template เพื่อให้คุณวางแผนอย่างเป็นระเบียบ เริ่มสร้างคอนเทนต์อย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังทำปรับปรุงเนื้อหาและติดตามผลได้ง่ายขึ้น
เชื่อม Internal Links กับบทความที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน
บริษัทรับทำ SEO และเหล่า SEO Specialist หลายคนยืนยันว่าการวาง Content Pillar ก่อนเริ่มงานนั้นสำคัญอย่างมากสำหรับงาน SEO โดยเนื้อหาภายในเว็บไซต์ทั้งหมดควรจะต้องมี Internal link เชื่อมกับบทความที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน ทุก Sub Topic ควรจะต้องเชื่อม Internal link กลับไปยัง Core Topic ได้ทั้งหมด เพื่อเพิ่มคะแนน Page Authority หรือผลวัดความน่าเชื่อถือและได้รับความนิยมของหน้าเพจนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับใน Search Engine นั่นเอง
หมั่น Optimize บทความอย่างสม่ำเสมอ
เนื้อหาที่เผยแพร่ตามหลัก Content Pillar ไปแล้วก็ควรที่จะต้องมีการ Optimize บทความอยู่เสมอ เพื่อให้เนื้อหามีความสดใหม่และเป็นข้อมูลล่าสุดอยู่เสมอ อีกทั้งเพื่อให้โครงสร้างเนื้อหาในเว็บไซต์ตรงกับ SEO Trends ในขณะนั้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ
ติดตามเช็กผลลัพธ์การทำอันดับของเว็บไซต์
การทำ Content Pillar อย่างมีประสิทธิภาพควรจะต้องมีการติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์เป็นประจำ เพื่อที่จะได้ทราบถึงประสิทธิภาพในการทำ Content Pillar ว่าสามารถส่งผลดีต่อเว็บไซต์และธุรกิจอย่างไร หรือมีจุดไหนที่ต้องปรับปรุงหรือไม่ หากจะต้องแก้ไขก็สามารถวางแผนแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
ตัวอย่างการสร้าง Content Pillar สำหรับงาน SEO
ในสายงาน SEO จะต้องมีการวาง Content Pillar Template เพื่อเป็นแนวทางให้คุณสามารถสร้างคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องและครอบคลุมที่สุด เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เราจะมายกตัวอย่าง Content Pillar สำหรับงาน SEO กัน
อย่างแรก เราต้องทราบว่าเว็บไซต์ธุรกิจนั้นเกี่ยวกับอะไร ซึ่งในที่นี้ขอยกตัวอย่างเป็น “คลินิกเสริมความงาม” ที่มีบริการฉีดฟิลเลอร์
ดังนั้น การวาง Content Pillar สำหรับเว็บไซต์นี้จะต้องเลือก Core Topic ที่เกี่ยวข้องกับบริการ ซึ่งก็คือ “ฟิลเลอร์”
ต่อมา เพื่อสร้างเนื้อหาที่ครอบคลุม จะต้องทำการสร้าง Sub Topic ขึ้นมาเพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายยิ่งขึ้น ในที่นี้อาจเลือกจาก Sub Keyword ที่เกี่ยวข้องจาก SEO Tools เช่น Ahrefs หรือ Google Keyword Planner ยกตัวอย่างเช่น
- ฟิลเลอร์ ยี่ห้อไหนดี
- ประเภทของฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์อยู่ได้นานไหม
- ฟิลเลอร์ที่ไหนดี
- ฟิลเลอร์ราคาเท่าไหร่
เมื่อได้ Core Topic และ Sub Topic แล้ว ให้วางกำหนดการเผยแพร่ลงเว็บไซต์ โดยไม่ทิ้งระยะห่างของแต่ละบทความนานเกินไปเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง การวางแผนทำ Content Pillar อย่างเป็นระบบจะเป็นประโยชน์ต่อการทำ SEO เพื่อติดอันดับเว็บไซต์อย่างแน่นอน
สรุป Content Pillar สำคัญต่อการทำ SEO จริงไหม?
การทำ Content Pillar สำคัญต่อการทำ SEO อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เนื้อหาภายในเว็บไซต์เป็นหมวดหมู่ สามารถเข้าถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ง่าย สามารถเลือกใช้ Keyword หลักและรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงเนื้อหาได้ครอบคลุม ทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านของ User ที่สามารถเข้าถึงเนื้อหาที่มีคุณภาพ และในด้าน SEO ที่ช่วยให้การจัดอันดับเว็บไซต์ดียิ่งขึ้นนั่นเอง