เขียนคอนเทนต์ยังไงให้เสิร์ชเจอง่าย? สามารถไต่ขึ้นอับดับบน Search Engine ได้ แถมไม่ตกอันดับง่ายๆ ?
แน่นอนครับว่า ข้อสงสัยทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คนทำเว็บไซต์และทำ SEO ตามหาคำตอบมาตลอด
จริงๆ แล้วการทำเว็บไซต์ให้ติด Search Ranking ที่ดีขึ้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำ Keyword Research ที่มีคุณภาพ, การปรับปรุง On-Page/Off-Page ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ หรือแม้แต่การทำตาม Checklist ที่เป็น Technical SEO ได้แบบครบถ้วน ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว
บทความนี้ ผมเลยจะมาบอกอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดี แถมยังช่วยเพิ่ม Traffic & Authority ให้กับเว็บไซต์ได้แบบยั่งยืน ซึ่งเทคนิคที่ว่านี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำคอนเทนต์ที่เรียกกันว่า “Pillar Page”
[divider]เลือกอ่านตามหัวข้อ
- Pillar Page คืออะไร?
- Pillar Page ช่วยธุรกิจและการตลาดในเรื่องอะไรบ้าง?
- Pillar Page สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO?
- รูปแบบการทำ Pillar Page
- เทคนิคการทำ Pillar Page ให้ติดอันดับ SEO
- วิธีปรับปรุง Pillar Page ให้ดีกว่าเดิม
Pillar Page คืออะไร?
Pillar Page หรือ Pillar Content คือ หนึ่งในกลยุทธ์การสร้าง Hero Page ซึ่งเป็นหน้าเว็บไซต์หนึ่งที่ถูกทำขึ้นมาแบบเฉพาะ พร้อมจัดทำเนื้อหาขึ้นมาเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อรวบรวมบทความหรือเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกันไว้ในที่เดียว เท่านั้นยังไม่พอ Pillar Page นี้จะต้องทำหน้าที่เป็นเหมือน ‘ประตู’ ที่นำพาคนอ่านไปยังบทความอื่นๆ ในประเด็นเดียวกันผ่านการเชื่อมโยงด้วยสิ่งที่เรียกว่า Hyperlink ครับ
[ux_image id=”36182″ image_size=”original”]อธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นสักเล็กน้อย วงกลมสีดำตรงกลางของภาพด้านบน คือ Pillar Page หรือ Pillar Content ทำหน้าที่เชื่อมโยงคอนเทนต์ (Cluster Content) ที่เกี่ยวข้องกันภายในเว็บไซต์และทำเป็นหมวดหมู่ ในรูปแบบของ Topic Cluster
ดังนั้น Pillar Page จึงเปรียบเสมือนหน้าเว็บไซต์กลางที่จะสรุปเนื้อหาของเว็บไซต์ทั้งหมดไว้ด้วยกัน ทำหน้าที่คล้ายกับสารบัญของหนังสือที่ทำให้ Bot ของ Google และคนอ่าน มองเห็นเนื้อหาที่เชื่อมโยงถึงกันได้ง่าย เข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ แถมยังเป็นประเภทคอนเทนต์ที่สามารถโน้มน้าวใจผู้อ่านให้เกิด Conversion มาสู่ธุรกิจได้ดีอีกด้วย
[ux_image id=”36183″ image_size=”original”]จากตัวอย่างรูปภาพของเว็บไซต์ HubSpot จะเห็นว่า Pillar Page ในเว็บไซต์อาจจะมีมากกว่าหนึ่งหัวข้อก็ได้ แต่ก็ควรเป็นเนื้อหาในหมวดที่ใกล้เคียงกัน และเป็น Topic ที่ควรบ่งบอกว่า เว็บไซต์ของคุณมีจุดประสงค์อย่างไร เช่น คุณต้องการทำเว็บไซต์ด้าน Digital Marketing การทำ Pillar Page ก็อาจจะเป็นเรื่อง SEO ซึ่งแตกคอนเทนต์ออกมาเป็น การทำ Keyword Research, การสอนใช้ Yoast SEO, วิธีการเช็ตอันดับเว็บไซต์ ส่วน Pillar Page อื่นๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องการทำเว็บไซต์, การทำ Ads หรือการสอนเขียนบทความออนไลน์ เป็นต้น
ยกเว้นในกรณีที่คุณต้องการทำให้ Pillar Page เพื่อสร้าง Conversion หรือหา Lead โดยเฉพาะ คุณอาจจะโฟกัสการทำ Pillar Page ในหัวข้อเดียวไปเลย เช่น คุณต้องการทำเว็บไซต์ขายอาหารเสริม อาจจะทำเป็น Pillar Page ที่รวบรวมคอนเทนต์เกี่ยวกับวิธีการลดน้ำหนักด้วยการกินในแบบต่างๆ เป็นต้น
[divider] [scroll_to title=”Pillar Page ช่วยธุรกิจและการตลาดในเรื่องอะไรบ้าง?” link=”topic2″]Pillar Page ช่วยธุรกิจและการตลาดในเรื่องอะไรบ้าง?
แน่นอนว่า เป็นเว็บไซต์กลางที่รวบรวมเนื้อหาไว้ในหน้าเดียวแบบนี้ จะต้องมีประโยชน์สำหรับธุรกิจและการตลาดในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น…
- เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
เพราะการจะสร้าง Pillar Page ได้หนึ่งหน้าจะต้องประกอบไปด้วยคอนเทนต์มากมาย โดยคุณจะต้องวางแผนให้คอนเทนต์มีความเกี่ยวข้องกัน แต่ก็ต้องมีหัวข้อที่หลากหลาย ทั้งนี้ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วย Search Intent ที่น่าสนใจแตกต่างกัน หากทำได้เว็บไซต์ของคุณก็จะได้ Traffic ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นจากการที่คนเข้าไปอ่านคอนเทนต์ที่มีอยู่หลากหลาย Topic นั่นเอง
- ลด Bounce Rate เพิ่ม Average time on page
การทำ Pillar Page ให้สามารถลิงก์ไปยังบทความที่เกี่ยวข้องได้จากหน้าเดียว ถือเป็นการกระจาย Traffic ไปยังคอนเทนต์อื่นๆ ทำให้ Bounce Rate (อัตราตีกลับ) ของเว็บไซต์ดีขึ้น แถมยังทำให้ผู้อ่านใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น จึงเป็นการเพิ่ม Average time on page ไปด้วยครับ
- สร้าง Authority ให้กับเว็บไซต์
หน้า Pillar Page ที่มีเนื้อหาดีมากๆ ส่วนใหญ่มักถูกหยิบไปพูดถึง หรืออ้างอิงในเว็บไซต์อื่น ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่จะทำให้คุณได้ Backlink จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกลับมา
- เพิ่มโอกาสในการเกิด Conversion
คุณสามารถตั้งเป้าหมายในการทำ Pillar Page เป็น Conversion ได้ เนื่องจากเป็นหน้ารวมคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาครบถ้วนมากพอที่จะโน้มน้าวใจให้ผู้อ่านกระทำบางอย่างที่คุณต้องการได้ เช่น กรอกฟอร์มให้ข้อมูล, ดาวน์โหลดบางสิ่ง, กดซื้อสินค้า, กดจองสถานที่ เป็นต้น
- ตอบโจทย์ Marketing Funnel เป็นอย่างดี
ตามหลักกลยุทธ์ Marketing Funnel ที่มุ่งหน้าหาเพียงลูกค้าตัวจริง จากการค่อยๆ สร้างการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อหาลูกค้าที่ใช่ไปทีละขั้นตอน ตั้งแต่ Awareness, Interest, Consideration และ Conversion การทำ Pillar Page ให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ช่วยตอบสนองต่อปัญหาที่ลูกค้าเป้าหมายกำลังเผชิญ อยากได้คำตอบ สนใจ ช่วยในการตัดสินใจ ไปจนถึงกระตุ้นให้อยากซื้อ ก็จะช่วยทำให้แผนทำการตลาดผ่านคอนเทนต์ของคุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้นด้วย
[scroll_to title=”Pillar Page สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO?” link=”topic3″]Pillar Page สำคัญอย่างไรกับการทำ SEO?
นอกจากจะช่วยในด้านธุรกิจและการตลาดแล้ว Pillar Page ยังสำคัญกับ SEO มากๆ ครับ เนื่องจากเป็นเทคนิคหนึ่งที่จะช่วยให้ Bot ของ Google เห็นถึงความสัมพันธ์กันของคอนเทนต์บนเว็บไซต์จากการทำ Internal Link ไว้ในบทความ ทำให้ Google มองว่าคอนเทนต์ของคุณมีคุณภาพและให้คะแนน SEO เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ได้ เนื่องจากเว็บไซต์มีเนื้อหาที่มีคุณภาพมากพอที่เว็บไซต์อื่นๆ นำไปอ้างอิงและทำการ Backlink ส่งกลับมา ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ E-A-T Factor ที่เป็น Algorithm หรือระบบประมวลผลของ Google Search นำมาใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสจะขึ้นสู่ลำดับแรกๆ เมื่อทำการค้นหาผ่าน Google อีกด้วย
[divider] [scroll_to title=”รูปแบบการทำ Pillar Page” link=”topic4″]รูปแบบการทำ Pillar Page
การทำ Pillar Page ที่เห็นกันบ่อยๆ จะมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ ดังนี้
- หน้ารวม Blog
เป็นหน้าเพจที่ทำขึ้นมาเพื่อรวม List คอนเทนต์ แล้วทำ Internal Link ออกไปยังบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน้าตาส่วนใหญ่จะเป็นกล่อง Card ให้คลิกต่อไปยังบทความที่สนใจได้ ซึ่งคุณสามารถแบ่งย่อยออกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจนได้ จากการออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ที่สวยงาม
[ux_image id=”36184″ image_size=”original” depth=”2″] [ux_text text_align=”center”]ยกตัวอย่าง Pillar Page แบบหน้ารวม Blog ที่พูดถึงเรื่อง SEO ของ HubSpot
[/ux_text]- หน้า Product & Service
Pillar Page ประเภทนี้จะทำเพื่อนำเสนอ Product & Service เป็นหลัก ส่วนใหญ่จะเน้นเชื่อมโยงไปยังคอนเทนต์ที่สนับสนุนการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง
[ux_image id=”36185″ image_size=”original” depth=”2″] [ux_text text_align=”center”]ยกตัวอย่าง Pillar Page แบบหน้า Product & Service ของ vtldesign
[/ux_text]อย่างเว็บไซต์ vtldesign ที่ทำหน้า Pillar Page ออกมาเพื่ออธิบายถึง Pay-Per-Click (PPC) Management Service ของธุรกิจ ซึ่งไม่ได้ทำการแค่นำเสนอรายละเอียดของ Service เท่านั้น แต่ยังทำการใส่คอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องลงมาด้วย เช่น E-book ที่เปิดให้ดาวน์โหลด, การทำลิงก์แบบ Anchor Text (การทำ Hyperlink บนข้อความ) ไปยังบทความที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
- Guideline Page
เป็น Pillar Page แนว How-to, ให้ความรู้ หรือสรุปเนื้อหาของคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เว็บไซต์อยากจะมอบให้ผู้อ่านในเชิงลึกแบบไม่มีกั๊ก โดยคอนเทนต์ประเภทนี้มักจะได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดี เพราะแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญแบบเจาะลึกของผู้เขียน และยังเป็นมิตรกับ Google มากๆ ด้วยครับ
[ux_image id=”36186″ image_size=”original” depth=”2″] [ux_text text_align=”center”]ยกตัวอย่าง Pillar Page แบบ Guideline Page ของ Slack
[/ux_text] [divider] [scroll_to title=”เทคนิคการทำ Pillar Page ให้ติดอันดับ SEO” link=”topic5″]เทคนิคการทำ Pillar Page ให้ติดอันดับ SEO
หากคุณอ่านมาจนถึงหัวข้อนี้ แล้วอยากทำ Pillar Page ให้กับธุรกิจ ผมได้รวบรวมวิธีสร้าง Pillar Page ที่มีประสิทธิภาพมาให้คุณแล้วครับ โดยสามารถทำได้ด้วยวิธีการเหล่านี้
-
กำหนดภาพรวมของคอนเทนต์ (Cluster Content) ให้ชัดเจน
คุณจะต้องกำหนด Topic ของ Cluster Content เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อ SEO และการกดเข้ามาอ่านของกลุ่มเป้าหมาย โดยหัวข้อที่คุณรวบรวมมาทำคอนเทนต์นั้นจะต้องประกอบขึ้นมาเป็น Pillar Page ที่สอดคล้องคล้อง เพื่อจัดโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณให้เป็น Topic Clusters ที่สมบูรณ์ ซึ่งวิธีการกำหนด Topic ของคอนเทนต์ใน Pillar Page สามารถทำได้ 2 วิธีดังนี้
- กำหนดจากประเด็น
แบ่งออกเป็น ประเด็นหลัก ประเด็นรอง และประเด็นย่อยที่จะสื่อสาร โดยประเด็นหลักจะเป็น Main Pillar Page ของเว็บไซต์ ส่วนประเด็นรองคือ หัวข้อที่คุณจะนำมาทำ Pillar Page แยกย่อยเฉพาะเรื่องนั้นๆ และสุดท้ายประเด็นย่อยก็คือ คอนเทนต์ต่างๆ ที่ประกอบเข้าเป็น Topic Clusters ภายในเว็บไซต์ของคุณ
ยกตัวอย่างเช่น
- ประเด็นหลักของ Pillar Page ที่คุณต้องการสร้างคือ SEO
- ประเด็นรองของคุณก็จะเป็น Specific Topic ที่ชัดเจนที่เกี่ยวข้องกับ SEO เช่น สอน SEO, คอร์ส SEO, ทำ SEO
- ประเด็นย่อยที่เกี่ยวข้อง เช่น คุณต้องการทำ Pillar Page สำหรับคอร์ส SEO ก็อาจจะต้องมีสื่อการสอน วิดีโอ หน้าเข้าเรียนคอร์ส และเนื้อหาที่ประกอบขึ้นมาเป็น คอร์ส SEO
- กำหนดจากสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายอยากรู้และคุณอยากบอก
ยกตัวอย่างเช่น
- หาจาก Search Intent ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณแล้วนำมาทำ Keyword Research
- ทำจาก Pain Points ของกลุ่มเป้าหมาย แล้วเขียนเนื้อหาที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นให้พวกเขาได้
- ทำให้กลุ่มกลุ่มเป้าหมายเห็นว่า คุณคือกูรู และพวกเขาจะได้รับประโยชน์อะไรจากสินค้า/บริการของคุณ
- บอกสิ่งที่สินค้าและบริการของคุณทำได้ คุณต้องการขายอะไร และมันช่วยแก้ปัญหาให้กลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร
-
วางโครงสร้างของ Pillar Page แบบเห็นภาพ
เพื่อเป็นการป้องกันการหลงทาง หรือตกหล่นคุณควรที่จะทำ Mapping ที่ชัดเจน เพื่อให้เห็นว่าคอนเทนต์ทั้งหมดสามารถเชื่อม Hyperlink ถึงกันทั้งหมด โดยคุณสามารถใช้ HubSpot ในการช่วยวางกลยุทธ์นี้ได้ เพราะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Mapping Template ที่คุณสามารถกำหนด Topic และคอนเทนต์ได้ค่อนข้างเห็นภาพ แถมยังมีระบบวัดผลที่ชัดเจนอีกด้วยครับ
[ux_image id=”36187″ image_size=”original” depth=”2″]-
เริ่มต้นทำคอนเทนต์
สำหรับคอนเทนต์ที่มักจะใช้ได้ผลดีใน Pillar Page ทั้งในแง่ของการทำอันดับและในด้านการสร้าง Engagement เลยก็คือ
- การเขียนบทความ Long-Form โดยจะต้องทำการเรียบเรียงเนื้อหาให้น่าสนใจ มีความยาวเกิน 1000 คำขึ้นไป และตรงกับวิธีการทำ On-Page SEO เช่น
- การทำ Keyword Research
- การใส่ Keyword ลงไปใน Meta title, Meta Description และ Slug
- ใส่ Image Title และ Image Alt Text ให้รูปภาพในหน้าเว็บไซต์
- การทำ HTML Tag ซึ่งใช้เป็น “หัวข้อบทความ” <H1, H2, H3,…>
- การทำ Internal Link และ External Link ในหน้าที่เกี่ยวข้อง
- กระจาย Keyword ให้ทั่วบทความ โดยให้มี Keyword Density ในปริมาณที่เหมาะสม
- การทำ Lead Generation เช่น EBook, Paper หรือ Presentation โดยคอนเทนต์ประเภทนี้จะเป็นคอนเทนต์ Premium ที่คุณนำ Topic ใด Topic หนึ่งมาเขียนในเชิงลึก หรือสรุปเป็นภาพรวมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ซึ่งคุณสามารถเปิดให้ผู้อ่านดาวน์โหลดได้ฟรีแลกกับข้อมูลบางอย่างที่ผู้อ่านจะมอบให้กับคุณได้ เช่น ชื่อ-สกุล, เบอร์, ที่อยู่ ฯลฯ
-
สร้างช่องทางที่ทำให้เกิด Conversion มายังหน้า Pillar Page
เรื่องสำคัญที่ทำให้การทำ Pillar Page ได้ผลหรือติดอันดับ SEO คือ การทำให้ผู้อ่านรับรู้ว่า เว็บไซต์ของคุณได้มีคอนเทนต์ที่ช่วยแก้ปัญหาของพวกเขาด้วยวิธีการทำ Conversion Path จากหน้าเว็บไซต์อื่นๆ มายังหน้า Pillar Page เพื่อให้เกิด Traffic เข้ามายังหน้านี้ เช่น การทำ Call-To-Action อย่างแบนเนอร์/ปุ่มต่างๆ/การทำ Slide Bar, การทำ Navigation Menu เป็นต้น
-
วัดผลคอนเทนต์ที่ทำให้เกิด Conversion มากที่สุด
หลังจากทำ Pillar Page เสร็จ คุณต้องอย่าลืมทำระบบการเก็บข้อมูล เพื่อวัดผลคอนเทนต์ทั้งหมด และหาให้เจอว่า คอนเทนต์ไหนเป็นคอนเทนต์ที่นำพาคนมาหน้า Pillar Page มากที่สุด เพื่อปรับปรุงให้หน้านั้นมีประสิทธิภาพและเชื่อมโยงกับ Pillar Page มากขึ้น ซึ่งการวัดผลนี้สามารถทำได้ด้วยการ Tracking ผ่าน UTM Parameters ที่จะใช้เป็น Tags เพื่อนำไปเพิ่มเติมในส่วนท้ายของลิงก์ URL ใช้ในการติดตาม Traffic นั้นนั่นเอง
[divider] [scroll_to title=”วิธีปรับปรุง Pillar Page ให้ดีกว่าเดิม” link=”topic6″]วิธีปรับปรุง Pillar Page ให้ดีกว่าเดิม
สำหรับใครที่เริ่มทำ Pillar Page แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ วันนี้ผมมีเคล็ดลับในการปรับปรุง Pillar Page มาฝากกันครับ
- ใช้เครื่องมือช่วย
เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณปรับปรุงหน้า Pillar Page ให้ดีขึ้นได้นั้นมีอยู่หลายตัวด้วยกันเลยครับ เช่น
- Yoast SEO เป็น Plugin ที่ช่วยปรับแต่งองค์ประกอบที่สำคัญในการทำ SEO (Technical SEO) ให้ Checklist ของเนื้อหาและโครงสร้างบนหน้าเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Google มากที่สุด
- เครื่องมือ Heatmap อย่างเช่น Hotjar ตัวช่วยที่ทำให้คุณเห็นถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานเว็บไซต์ว่า พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับ Pillar Page อย่างไร อ่านตรงไหน คลิกอะไรบ้าง หลังจากนั้นก็นำผลลัพธ์ที่ได้มาวิเคราะห์และปรับปรุงคอนเทนต์เพิ่มเติม
- Google Search Console เครื่องมือฟรีจาก Google ที่จะช่วยคุณในการตรวจสอบและดูแลให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาของ Google นอกจากนี้ยังแสดงผลลัพธ์ของหน้าเว็บไซต์ในแต่ละเพจว่า ติด SEO ใน Keyword อะไร อยู่ใน Avg. Position ที่เท่าไหร่ได้อีกด้วย ซึ่งคุณสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการเลือกหยิบคอนเทนต์มาเชื่อมโยงกันเป็น Pillar Page ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
- Google Analytics เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ และเก็บข้อมูลสถิติของเว็บไซต์ คุณสามารถเจาะลึกได้ถึงกลุ่มผู้ใช้งาน ไปจนถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่พวกเขาเข้ามาทำในเว็บไซต์ ซึ่งคุณนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ดูภาพรวม Performance ของ Pillar Page ได้ด้วย
- ปรับปรุงคอนเทนต์ให้มีสื่อที่หลากหลายมากขึ้น
Pillar Page เป็นคอนเทนต์แบบ Long-Form ดังนั้น จะเขียนแค่ตัวหนังสืออย่างเดียวอาจทำให้น่าเบื่อได้ จึงควรจะปรับปรุงเนื้อหาในคอนเทนต์ให้มีสื่อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ไฟล์เสียง คลิปวิดีโอ หรือภาพอินโฟกราฟิก เพื่อให้ผู้อ่านอยู่บนเว็บไซต์ได้นานมากขึ้น และ Google ยังจะมองเห็นถึงรายละเอียดที่มากขึ้นภายใน Pillar Page ของคุณด้วย
- การสร้าง Lead Generation แจกฟรี
ไม่มีใครไม่ชอบของฟรีครับ ดังนั้น หากคุณทำ Lead Generation ประเภท Presentation หรือ E-book แจกฟรีแล้วแปะช่องทางการดาวน์โหลดไว้ใน Pillar Page ด้วยก็จะช่วยทำให้มี Traffic เข้ามายังหน้านี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเรื่อง Traffic นี่ก็ส่งผลต่ออันดับ Ranking ด้วยเช่นเดียวกันครับ
- ทำ Call to Action เสริมให้คนอยากคลิกไปต่อ
Call to Action เป็นปุ่มต่างๆ กล่องข้อความ Banner หรือการกรอกแบบฟอร์ม ที่คุณเห็นเวลาอ่านบทความบน Website หากคุณสามารถออกแบบสิ่งเหล่านี้ที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม Pillar Page นั้นได้ Take Action หรือมี Engagement ได้ ก็จะช่วยทำให้พวกเขาใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ได้นานขึ้น และทำให้เกิด Conversion ในหน้า Pillar Page ได้ง่ายขึ้นด้วย
คุณสามารถปรับปรุง Call to Action ให้ดีขึ้นได้ จาก 3 องค์ประกอบหลักนี้
- ทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน
- ทำให้สีสันโดดเด่นสะดุดตา
- ทำให้รูปแบบ หรืออักษรมีขนาดใหญ่พอ
การทำ Pillar Page เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ ‘คอนเทนต์’ กลายเป็นเครื่องมีที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นสำหรับธุรกิจ เพราะถือเป็นการทำคอนเทนต์ให้กลายเป็น ‘สื่อกลาง’ ที่ส่งผ่านคุณค่าของธุรกิจไปยังผู้อ่านได้อย่างครบถ้วน และทรงพลัง แถมยังสร้างโอกาสที่ดีที่ Google จะช่วยผลักดันเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นไปในอันดับต้นๆ เนื่องจากเนื้อหาบนเว็บไซต์มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ เพื่อให้ได้คุณภาพตรงตามหลักเกณฑ์ที่ Google กำหนด
[/col] [/row]